ใกล้ถึงวันที่ผลไม้ชิงลัวสุกงอมแล้ว ผู้คนยังคงหลั่งไหลเข้ายังเทือกเขาอู๋หยิน เมื่อมีจำนวนมาก มีข้อพิพาทก็มากตามทุกวัน บางคนต่อสู้เพื่อ่ชิงฐานที่มั่น บางคนก็เจอศัตรูเก่า ยังมิทันได้เอื้อนเอ่ยอะไรก็ลงมือแล้ว เกือบจะทุกวันที่มีคนตาย ในโลกนี้ที่ความแข็งแกร่งอยู่สูงสุด ชีวิตมนุษย์มีค่าน้อยที่สุด การตายของคนจึงเป็เื่ธรรมดา และเห็นจนชิน
แต่ทว่า คนที่ทำลายล้างกลุ่มทหารรับจ้างสิงโตคลั่งนับพันคนด้วยพลังของคนๆ เดียวอย่างจุนห่าว ทำให้ผู้คนที่หลั่งไหลมาเทือกเขาอู๋หยินต่างตกตะลึง บัดนี้แพร่สะพัดไปว่า มีชายโเี้ในเทือกเขาอู๋หยินปรากฏตัวขึ้น ชายผู้โเี้ผู้นั้นทรงพลังมาก สังหารคนอย่างไม่ทันได้กระพริบตา หากได้พบ การซ่อนตัวคือหนทางที่ดีที่สุด เกิดเขาหงุดหงิด ไม่แน่ว่าอาจพบจุดจบอย่างกลุ่มทหารรับจ้างสิงโตคลั่ง
หลายวันมานี้ จุนห่าวและหานรุ่ยสังเกตฐานที่มั่นขององค์ชายสามอย่างใกล้ชิด พวกเขาเชื่อว่าองค์ชายสามจะไม่ยอมให้เื่นี้ผ่านไปอย่างเงียบๆ แน่ การกระทำของจุนห่าวเป็การยั่วยุในอำนาจขององค์ชายสาม ไม่ว่าจะลงมือวิธีทางใด องค์ชายสามต้องไม่ยอมปล่อยจุนห่าวแน่ หากเขาไม่อาจจัดการจุนห่าวในเื่นี้ได้ งั้นศักดิ์ศรีของเขาคงได้รับผลกระทบ คนที่ยอมจำนนต่อเขาจะลังเลในอนาคตว่า องค์ชายสามจะปกป้องพวกเขาได้หรือไม่ เหตุผลที่พวกเขาลี้ภัยอยู่ในอาณัติขององค์ชายสาม เพื่อให้องค์ชายสามเป็ที่พึงพิง หากองค์ชายสามไม่อาจปกป้องพวกเขาได้ การลี้ภัยของพวกเขาก็คงไร้ความหมาย
“เสี่ยวรุ่ย เ้าว่าองค์ชายสามออกไปทำอะไร?” จุนห่าวเอ่ยถามขึ้น จุนห่าวทราบเื่องค์ชายสามจากหยุนจ่านเฮ่อว่า หลายวันก่อนองค์ชายสามพาลูกสมุนออกไปอย่างเร่งรีบ
หานรุ่ยคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “คงไปจับสัตว์ทำพันธะสัญญาด้วย สัตว์อสูรที่ทรงพลังล้วนอยู่ที่นี่ นี่เป็โอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต ข้าเชื่อว่าองค์ชายสามคงไม่ยอมทิ้งโอกาสนี้แน่” พูดจบก็ชะงักไป แล้วกล่าวว่า
“เมื่อไม่นานมานี้ เราเพิ่งสังหารผู้อาวุธโสหวังมิใช่หรือ? ข้าคิดว่าผู้อาวุธโสหวังต้องรับคำสั่งจากองค์ชายสามแน่ จึงไปจับลูกของาาเสือดาว น่าเสียดาย ที่ผู้อาวุธโสหวังโชคไม่ดีนัก าาเสือดาสจุยเฟิงมิได้อ่อนแออย่างที่พวกเขาคิด และพ่ายแพ้ด้วยกันทั้งคู่ สุดท้ายเป็เราที่ได้ง่ายๆ”
“ใช่ ทำให้เราได้ลูกชายเพิ่มอีกหนึ่ง” จุนห่าวพูดอย่างปลงๆ
ฟังคำของจุนห่าว หานรุ่ยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “การคิดว่าสัตว์อสูรคือลูกชาย เ้าไม่กลัวถูกคนดูิ่ดูแคลนหรือ?” ในใจคิดว่า ผู้คนบนแผ่นดินชางหลานต่างมองว่าสัตว์อสูรคือสัตว์ร้าย หากพวกเขาล่วงรู้ว่าสายฟ้าและเสือดาวน้อยอยู่ในฐานะบุตร ต้องดูิ่ดูแคลนพวกเขาแน่ และคงกล่าวขานว่าพวกเขาเป็พวกต่ำช้า
“ข้าไม่สนใจสายตาผู้อื่นหรอก สายตาของผู้คนบนแผ่นดินชางหลานนั้นสั้นนัก ไม่เคยเห็นอสูรที่เบิกปัญญามาก่อน อันที่จริง เมื่อสัตว์อสูรเบิกปัญญาแล้วก็เหมือนมนุษย์ สัตว์อสูรบางตัวยังฉลาดและมีไหวพริบกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ” จุนห่าวกล่าวจบก็หยุดชั่วขณะหนึ่ง พูดยิ้มๆ ว่า “ที่บ้านเกิดของข้า หลายคนต่างให้สัตว์เลี้ยงเรียกตนเองว่าพ่อและแม่ ผู้คนบนแผ่นดินชางหลานต่่งหากที่แปลก”
“บ้านเกิดของเ้าช่างเป็สถานที่ที่วิเศษเสียจริง?” หานรุ่ยพูดพลางมองไปยังที่ไกลๆ ดวงตาของหานรุ่ยราวกับจะทะลุกำแพงแห่งมิติ เขาอยากเห็นสถานที่ที่จุนห่าวเคยใช้ชีวิต เขาได้ฟังจุนห่าวเล่าเื่ชีวิตก่อนหน้าของเขา อยากไปสำรวจมันยิ่งนัก
“ใช่แล้ว เป็สถานที่วิเศษที่เดียว แต่น่าเสียดาย ดูเหมือนข้าจะกลับไปไม่ได้แล้ว” จุนห่าวพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย อย่างไรก็ตาม จุนห่าวปรับอารมณ์และความคิดของเขาอย่างรวดเร็ว คิดในใจ จดจำอดีตไว้ในใจก็พอแล้ว เขาไม่จำเป็ต้องจดจำอดีตตลอดเวลา ยามนี้เขามีภรรยาและลูก มีชีวิตที่มีความสุขยิ่งนัก
จุนห่าวเปลี่ยนหัวข้อและพูดว่า “ผลไม้ชิงลัวคงจะสุกงอมในวันสองวันนี้ ไม่เห็นองค์ชายสามกลับมา เ้าว่าเขาคงไม่ตายอยู่ในรังของสัตว์อสูรใช่ไหม? ยังไงก็คงไม่ใช่สัตว์อสูรทั้งหมดที่มาแย่งชิงผลไม้ชิงลัวที่นี่”
ผลไม้ชิงลัวต้องดูดซับพลังิญญาจาก์ให้เพียงพอ ถึงจะสุกงอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลไม้ชิงลัวกำลังจะสุกงอม ณ เวลานั้น มันต้องดูดซับพลังิญญาให้มาก เพื่อให้ผลชิงลัวสุกงอมจนได้ หลายวันมานี้ เห็นได้ชัดว่าผลไม้ชิงลัวดูดซับพลังิญญามากกว่าเดิม พลังิญญาในหุบเขายังคงหลั่งไหลไปตรงที่ผลไม้ชิงลัวดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง
“เป็ไปไม่ได้หรอก องค์ชายสามมียอดฝีมือจำนวนหนึ่งอยู่ข้างกายเสมอ เขารักชีวิตของตัวเองยิ่งนัก ต่อให้ตกอยู่ในอันตราย ต้องมีคนเป็เกราะกำบังให้แก่เขา” หานรุ่ยกล่าว คิดลับๆ ว่า จุนห่าวเป็คนฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง เหตุใดถึงคิดเื่ที่ไม่สมจริงเช่นนี้ได้
หานรุ่ยหยุดครู่หนึ่ง กล่าวต่อไปว่า “ข้าได้ยินจากพี่รองหยุนว่า เขาเชิญประธานสมาคมผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรมาด้วย เช่นนี้คงจับสัตว์อสูรที่ทรงพลังมากได้แน่ มิฉะนั้นคงไม่ให้ประธานสหภาพผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรได้ประลองฝีมือหรอก” คิดถึงตรงนี้ หานรุ่ยขมวดคิ้วและพูดว่า “เป็เช่นนี้ หากเขาทำสำเร็จ เขาจะมีกำลังช่วยเหลือเพิ่มขึ้น ทั้งยังจงรักคงภักดี ซึ่งเชื่อถือได้มากกว่ามนุษย์อยู่มาก”
“จะเก่งกาจแค่ไหนก็เป็สัตว์อสูรที่มีลมปราณขั้นสิบสองระดับหนึ่ง ข้าไม่ได้รู้สึกอะไรนัก” หลังจากฟังหานรุ่ยแล้ว จุนห่าวเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส จากนั้นก็พูดกับหานรุ่ยอย่างลังเลว่า “ข้าคิดว่า บัดนี้ข้าต่อสู้กับผู้มีลมปราณขั้นที่สิบสองได้แล้ว ครั้งล่าสุดที่ข้าสังหารชายชราที่มีลมปราณขั้นสิบเอ็ดผู้นั้น ข้าแค่ออกหมัดที่มิใช่ได้ครอบคลุมพลังิญญามากนัก ตอนนี้มาคิดๆ ดู ข้าแค่อาศัยพละกำลังทางกายก็รับมือกับชายชรานั่นได้แล้ว อีกอย่าง ข้ายังคิดว่าไม่มีอาวุธมีคมสามัญใดๆ เจาะทะลุิัของข้าได้” พูดจบก็ควักกริชออกมา ยื่นให้หานรุ่ย เอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวรุ่ย เ้าลองเใช้กริชนี้แทงที่แขนของข้า”
หานรุ่ยรับกริชไว้ พลางมองกริชที่คมกริบ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เ้าแน่ใจนะว่าจะไม่เป็อันใด? กริชนี้มิใช่ของปลอมนะ”
จุนห่าวเอ่ยขึ้นพร้อมยิ้มอย่างมั่นใจว่า “แน่ใจ ข้าไม่มีงานอดิเรกที่ทำร้ายตัวเองหรอกนะ”
ได้ฟังคำของจุนห่าว หานรุ่ยจึงไม่ลังเล เขาก็อยากรู้ว่าร่างกายของจุนห่าวจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาปล่อยพลังิญญาเข้าสู่กริช และแทงตรงแขนของจุนห่าว ผลที่ได้คือ แขนของจุนห่าวไม่ได้รับาเ็ใดๆ ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
หานรุ่ยตกตะลึง จุนห่าวยิ้มพอใจ หลังจากหานรุ่ยตกตะลึงแล้ว ก็ยื่นกริชให้จุนห่าวและพูดว่า “เ้าลองแทงข้าดู”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจุนห่าวแน่นิ่งไป เขาคิดไม่ถึงว่าหานรุ่ยจะคิดเช่นนี้ เขามองกริชในมือของเขาที่ไม่อาจขยับได้ มิใช่ว่าเขาจะตัดใจทำหานรุ่ยไม่ได้ แต่เขารู้สึกว่าพละกำลังของเขา ต้องทำร้ายหานรุ่ยแน่
หานรุ่ยเห็นจุนห่าวมองกริชอย่างเหม่อๆ คะยั้นคะยออย่างกระวนกระวายว่า “เร็วสิ เ้าเหม่ออะไรอยู่? เ้าเป็ชายมิใช่หรือ?”
ฟังคำของหานรุ่ย จุนห่าวพูดกับหานรุ่ยอย่างคลุมเครือว่า “ข้าเป็ชายหรือไม่ เสี่ยวรุ่ย เ้ายังไม่รู้ชัดอีกหรือ? หรือเพราะหลายวันมานี้เขามิได้ทำอะไร เ้าถึงลืมไป” พูดจบก็หยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดข้างหูของหานรุ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้น เรามาทำตอนนี้ไหม?”
หานรุ่ย : ...... คิดในใจ จุนห่าวเป็พวกหมกมุ่นในกามเสียจริง เหตุใดถึง้าได้ทุกที่ทุกเวลา เขามิได้มีงานอดิเรกเกี่ยวกับเื่อย่างว่าไปวันๆ
เห็นหานรุ่ยหูแดงก่ำ จุนห่าวยิ่งได้ที เขาอยากให้หานรุ่ยปัดเป่าความคิดเมื่อครู่นี้พอดี ทันใดนั้น พลันเห็นการเคลื่อนไหว ณ ฐานที่มั่นขององค์ชายสาม มีทีมที่สวมชุดเกราะเดินเข้าไปในฐานที่มั่น และมีคนที่ขี่เสือตัวสีเหลืองอยู่ข้างหน้า มิใช่องค์ชายสามสุ่ยเย่ว์หรูหวาแล้วจะเป็ใครล่ะ มองร่างที่ขี่เสืออยู่ นั่นคือองค์ชายสามที่ดูกระฉับกระเฉง แสงส่องประกายแวววับในดวงตาของจุนห่าว
หานรุ่ยเห็นเช่นเดียวกัน สายตาสงบนิ่ง มองสุ่ยเย่ว์หรูหวาราวกับมองคนตาย คิดในใจ แค้นเก่ายังไม่สะสางแค้นใหม่ก็มาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องกำจัดเขาแน่ ปล่อยให้เขายโสโอหังได้อีกสักพัก
“เห็นที ปัญหาของเรากำลังมาแล้ว” จุนห่าวเห็นหงอวี้หรูผู้เคราะห์ร้ายนั้นกำลังวิ่งออกมา จึงพูดกับหานรุ่ยว่า เขาไม่อยากเชื่อว่าหญิงผู้นั้นจะปล่อยเขาไปง่ายๆ
“ใช่ ข้าคิดอยู่แล้วว่า พอหญิงผู้นั้นร้องไห้เสร็จ ปัญหาของเราก็คงมา” หานรุ่ยเอ่ยขึ้น สายตาของเขาดูตื่นเต้น แอบคิดในใจ ตอนนี้ยังแตะต้ององค์ชายสามไม่ได้ ทว่าการสังหารคนของเขาทั้งคู่ คงทำให้เขาเ็ปได้บ้าง
เห็นหานรุ่ยดูตื่นเต้น จุนห่าวยิ้มอย่างจนปัญญา เขารู้ว่าหานรุ่ยมิได้ประหม่า คิดในใจ หานรุ่ยรักเขามากที่สุด รองลงมาก็คือการต่อสู้ หากหานรุ่ยล่วงรู้ความคิดของจุนห่าว คงพูดว่า เ้าคิดมากเกินไป ที่ข้ารักมากที่สุดคือลูก รองลงมาคือการต่อสู้ สุดท้ายถึงจะเป็เ้า
“เสี่ยวรุ่ย เตรียมตัวต่อสู้ ข้าคิดว่าสักพักต้องมีคนมาแน่” จุนห่าวเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา พูดกับหายรุ่ย จุนห่าวจะไม่มองข้ามใครแม้แต่คนเดียว ลูกทั้งสองผูกติดกับหน้าอกของพวกเขา และตื่นตัวอยู่เสมอ จุนห่าวเอ่ยกับลูกทั้งสองว่า “กลัวไหม?”
ทั้งสองคนพูดอย่างแจ่มแจ้งว่า “ไม่กลัว เราจะร่วมมือกับท่านพ่อและท่านแม่เอาชนะคนเลว”
จุนห่าวและหานรุ่ยเตรียมตัวแล้ว ครู่หนึ่งพวกเขาก็เห็นชายชราสองคนที่มีลมปราณระดับสิบสอง มิได้หลบซ่อนแม้แต่น้อย เข้ามายังฐานที่มั่นของจุนห่าวและหานรุ่ย โดยมีกลุ่มคนที่เรียงรายอยู่ข้างหลัง จะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ได้
เห็นคนที่กำลังมา จุนห่าวและหานรุ่ยหาได้เกรงกลัวไม่ พวกเขารู้ว่าชายชราสองคนนี้มาเพื่อกำจัดพวกเขา
“องค์ชายสาม มีกองกำลังยิ่งใหญ่เสียจริง อุตส่าห์ส่งยอดฝีมือลมปราณขั้นสิบสองมากำจัดข้า” จุนห่าวพูดกับหานรุ่ย
จากนั้นก็ยิ้มยกที่มุมปาก พูดกับหานรุ่ยยิ้มๆ ว่า “เ้าว่าหากเราสังหารชายชราสองคนนั่นแล้ว องค์ชายสาม เ้าคนชั่วนั่นจะทำยังไง?”
“แน่นอนว่าต้องเ็ปเจียนตาย แม้ว่าราชวงค์จะมีคนที่มีลมปราณขั้นที่สิบสองอยู่มาก แต่การตายไปหนึ่งย่อมน้อยลงไปหนึ่ง”
“นักพรตที่มีลมปราณขั้นที่สิบสองจะอยู่ในอาณัติของราชวงศ์สุ่ยเย่ว์ โดยปกติแล้วจะยิ่งใหญ่มาก น้อยนักที่เราจะได้พบพวกเขา วันนี้เราได้พบถึงสองคน ต้องบอกว่านี่เป็พรที่องค์ชายสามมอบให้เรา” หานรุ่ยกล่าวพลางมองชายชราสองคนที่ออกจากฐานที่มั่นขององค์ชายสาม
ผู้าุโจ้าวและผู้าุโโจวไม่พอใจกับงานที่องค์ชายสามเตรียมไว้สำหรับพวกเขานัก รู้สึกว่าเป็งานเล็กน้อย ใน่หลายปีที่ผ่านมา พวกเขามีหน้ามีตามาตลอด ถูกหน้าตาทางสังคมครอบงำ พลังปราณเพิ่มขึ้นไม่เท่าไหร่ ทว่าอารมณ์กลับร้ายขึ้นมาก แต่ต่อให้พวกเขาจะไม่พอใจ พวกเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ ยังไงพวกเขาก็ต้องทำงานให้องค์ชายสาม การมีหน้ามีตาในปัจจุบันของเขานั้นได้มาจากราชวงศ์สุ่ยเย่ว์ ดังนั้น นี่คือการแลกเปลี่ยน พวกเขาได้แต่คำตามคำสั่ง
เนื่องจากพวกจุนห่าวยังอาศัยในฐานที่มั่นของกลุ่มทหารรับจ้างสิงโตคลั่ง ซึ่งไม่ไกลจากฐานที่มั่นขององค์ชายสาม เมื่อชายชราสองคนมาถึงฐานที่มั่นของจุนห่าว ะโอย่างโอ้อวดแสนยานุภาพว่า “สัตว์ร้ายน้อย ออกมาตายซะดีๆ” เสียงะโของนักพรตที่มีลมปราณระดับสิบสองทำให้นักพรตจำนวนมากในเทือกเขาอู๋หยินตื่นตระหนก แม้แต่สัตว์อสูรที่อยู่ข้างหน้ายังหงุดหงิด พวกเขาเจตนาให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
พวกเขา้าให้นักพรตทั้งหมดในเทือกเขาอู๋หยินได้ทราบ ว่าอำนาจองค์ชายสามมิอาจท้าทายได้
เมื่อได้ยินเสียงะโ จุนห่าวและหานรุ่ยพุ่งไปที่ชายชราทั้งสองคน ไม่เอ่ยอะไรทั้งสิ้น ลงมือต่อสู้กับพวกเขาในทันที
