Chapter 10
โจไซอาเพิ่งใช้พลังอำนาจทำให้เอเดนหลับ
ร่างสูงนอนบนเตียงด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่แห้งดี และหลับสนิท หายใจเป็จังหวะสม่ำเสมออย่างมนุษย์ โจไซอายืนกอดตัวเองจ้องมองอีกฝ่าย แล้วรีบไปสะสางเื่เร่งด่วนก่อนที่เทพอารักษ์กฎจะมาเอาตัวเอเดนไป
เขาควานหาห่อผ้าสีซีดในกระเป๋าถือ แล้วกางมันออกบนโต๊ะทำงานในห้องนอน ในนั้นมีแท่งเหล็กเรียวยาวปลายแหลมสีดำ และกระดาษหนาแผ่นใหญ่พับทบไว้จนเหลือชิ้นเล็ก โจไซอาฉีกออกมาขนาดพอเหมาะ แล้วเริ่มจรดปลายแหลมลงบนกระดาษแผ่นหนา ลากเป็เส้นอักขระเทพ
โจไซอาต้องรีบส่งจดหมายนี้ไปให้เหล่าเทพอารักษ์กฎเื่การเปิดเผยตัวตนกับมนุษย์ หากเป็การเผยตัวตนกับมนุษย์เพียงคนเดียว และด้วยเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอ เทพอารักษ์จะไม่รีบเร่งมาเอาตัวมนุษย์ผู้นั้นไปส่งต่อให้เทพแห่งความทรงจำจัดการ พวกเทพหลายองค์เปิดเผยตัวตนกับมนุษย์หนึ่งคนด้วยวิธีนี้เป็เื่ปกติ แล้วให้เหตุผลกับเทพอารักษ์ว่ารักมนุษย์ผู้นี้ และ้าใช้ชีวิตด้วยกันอย่างคู่ชีวิต เพียงเท่านั้นก็จะไม่มีผู้รับใช้ของเทพอารักษ์มาเอาตัวมนุษย์ผู้นั้นไป
แต่มีหลายครั้งที่เทพสะเพร่าลืมส่งจดหมายด่วน ทำให้มนุษย์ถูกลบความทรงจำเกี่ยวกับเทพทั้งหมดก่อน
เขาจึงเร่งมือเขียนอักขระเทพลงบนกระดาษ พลางหันมองเอเดนและนอกหน้าต่างเป็ระยะว่ายังไม่มีใครมาเอาตัวอีกฝ่ายไป มือของเขาสั่นจนแทบอ่านอักขระในจดหมายไม่ออก แต่พวกเทพอารักษ์กฎคงไม่ได้โง่งมจนตีความไม่ได้ โจไซอาควานหาของในกระเป๋าถืออีกครั้ง คว้าขวดโหลแก้วเล็กกว่าฝ่ามือออกมาเปิดฝา เพื่อหยิบหลอดเชือกสีแดงที่หมายถึงจดหมายด่วนพิเศษ เขาดึงความยาวพอเหมาะแล้วผูกเป็เงื่อนตายรอบจดหมายที่เพิ่งเขียนเสร็จ
โจไซอาวางม้วนกระดาษผูกเชือกสีแดงไว้บนฝ่ามือ และคิดถึงบ้านที่เมืองเทพอย่างเช่นยามที่ต้องเดินทางกลับไป เพื่อส่งจดหมายฉบับนี้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งผู้ส่งจดหมายเทพที่ทำงานช้ากว่าแต่แม่นยำกว่า
โจไซอาถอนหายใจยาวเมื่อจดหมายหายไปจากฝ่ามือในที่สุด เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ หันมองเอเดนอีกครั้ง และฉีกกระดาษออกมาอีกแผ่นเพื่อเขียนจดหมายถึงพ่อ ให้ช่วยย้ำเตือนเทพอารักษ์กฎเื่จดหมายด่วนของเขา เพราะกลัวว่าจดหมายจะสุมรวมอยู่ในกองงาน และถูกปัดทิ้งเป็ขยะ
เสียงครางในลำคอจากเอเดนทำให้โจไซอาละสายตาจากสายฝนด้านนอกหน้าต่างที่ตนเหม่อมองอยู่นาน เพราะกลัวเทพอารักษ์กฎจะบุกมาพร้อมบริวาร เขารีบเดินไปที่เตียงและใจนตาเบิกโพลง เพราะเม็ดเหงื่อที่ไหล่ซึมตามหน้าผากของเอเดน แม้อากาศในห้องนอนปกติดี
“เอเดน เอเดน ให้ตายเถอะ” ความร้อนรนทำให้โจไซอากลายเป็คนโง่ เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายทั้งที่เป็คนใช้พลังสั่งให้หลับเอง มือเรียววางแนบหน้าผากชื้น และใกับอุณหภูมิที่ร้อนจนต้องชักมือกลับ
โจไซอาไม่เข้าใจว่าทำไม เขาเดินวนรอบห้องมองหายาแก้ไข้ของมนุษย์ แต่ต้องทุบตีหัวของตัวเองแด่ความโง่เขลา และะโขึ้นนั่งบนเตียง ดึงร่างสูงตัวร้อนจี๋มากอดแนบอกแทน เพราะตัวเขาเองก็มีอำนาจรักษา
“ทำไมถึงป่วยนะ” เขาพึมพำกับตัวเอง พลางจูบตามขมับชื้นเหงื่อ และลูบเส้นผมสีดำสนิท โอบแขนกอดเอเดนแน่นจนศีรษะอีกฝ่ายวางที่แผ่นอก
โจไซอาไม่คิดว่าเอเดนป่วยจากการตากฝนตามกลไกร่างกายของมนุษย์ เพราะการร่วมหลับนอนด้วยกันหลายครั้งทำให้เอเดนไร้โรคภัยไข้เจ็บใด ๆ อีก แม้แต่อาการภูมิแพ้ยังสามารถหายขาด แค่การตากฝนครั้งเดียวไม่มีทางทำให้เอเดนตัวร้อนเช่นนี้แน่นอน
มันจึงเป็เพราะคำสาปจากตัวเทพแห่งการร่วมประเวณีเสียเอง การที่เอเดนเกิดความรู้สึกโมโหหรือโกรธโจไซอาจนะเิออกมาเป็คำพูด ถึงไม่ได้ทำร้ายร่างกายแต่ทำให้โจไซอาเจ็บลึกที่หัวใจ แม้เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น แต่คำสาปที่โจไซอาควบคุมไม่ได้ก็ส่งไปถึงเอเดนจนป่วยเช่นนี้ มันไม่มีวิธีแก้ไข นอกจากใช้ัั หรือจุมพิต หรือแม้แต่การร่วมรักจากโจไซอาเพื่อรักษา เขาจึงนอนกอดเอเดนแน่น
“ไม่เป็ไรนะ ไม่เป็ไรเอเดน ฉันไม่โกรธเธอเลย”
โจไซอาจูบแนบริมฝีปากที่หน้าผากของเอเดน เลื่อนลงจุมพิตที่ริมฝีปากค้างไว้หลายวินาที พลางลูบแขนกับเส้นผมสีดำ ทำซ้ำไปซ้ำมาหลายต่อหลายครั้ง จนเอเดนหายตัวสั่น และอุณหภูมิเริ่มลงลด
แต่ความกลัวที่มากล้นในหัวใจของโจไซอายังคงอยู่ เขาจึงยังไม่ปลุกให้เอเดนตื่น
เขากลัวว่าความจริงจะทำให้เอเดนหนีไป
เพราะเมื่อนั้น คำสาปจะร้ายแรงกว่าการป่วยหลายเท่า
เอเดนได้กลิ่นหอมนุ่มนวลราวดอกไม้สีขาวอยู่แนบชิดใกล้จมูก เขาลืมตาเชื่องช้า กะพริบตาถี่ ๆ หลายครั้งจนภาพทุกอย่างชัดเจน ภายในห้องแสงสีสลัว และเสียงสายฝนโปรยปรายยังห้อมล้อมรอบบ้านสองชั้น เ้าของกลิ่นหอมนุ่มนวลกำลังโอบกอดเอเดนเสียแน่น แผ่นอกบางเป็ที่ให้เขานอนซบอยู่นาน
เอเดนนอนจ้องใบหน้างดงามหมดจดของโจไซอานิ่ง มองโครงหน้าสมบูรณ์แบบยามหลับด้วยหลากหลายความรู้สึกที่ตีกันอยู่ในหัว เขาสับสนกับความฝันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ก่อนจะขยับตัวขึ้นจุมพิตริมฝีปากสีชมพูอ่อนของโจไซอาแ่เบาเพื่อย้ำเตือนตนเองว่าเขาผ่านพ้นฝันนั้นมาแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอ” โจไซอาสะดุ้งตื่นทันทีเมื่อได้รับััอ่อนโยน มือเรียวลูบหัวเอเดน จับคลำตามตัว แนบหลังมือกับหน้าผาก และพบว่าอุณหภูมิกลับมาปกติอีกครั้ง
“ผมฝันแปลกมาก” เอเดนนอนซบศีรษะกับลาดไหล่ของโจไซอาเช่นเดิม โอบแขนกอดร่างเพรียวบางแน่น
“ฝันเหรอ ฝันว่าอะไร” โจไซอากำลังหลงดีใจที่เอเดนไม่ได้กลัวเขาจนลุกหนีออกไป แต่กลับจิตใจห่อเหี่ยวเพราะอีกฝ่ายพูดคำว่าฝัน
“ฝันว่าฉันไม่ใช่มนุษย์เหรอ” เสียงหวานถามลองเชิง เพื่อทดสอบว่าเอเดนได้นำความจริงปะปนกับความฝันหรือไม่
“ผมฝันว่าผมบินอยู่บนฟ้าตอนพระอาทิตย์ตก ข้างล่างเป็น้ำทะเล รู้สึกว่าร่างกายของผมแข็งแรงมาก ภาพทุกอย่างก็ชัดติดตาเหมือนเป็เื่จริง” โจไซอาดีใจที่คำตอบเป็อย่างอื่น เขาแย้มยิ้มบางแล้วลูบเส้นผมสีดำสนิทแ่เบา
“แล้วเธอจำอะไรได้ไหมเอเดน”
เอเดนพรูลมหายใจยาว ไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่กลับค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงข้างกัน แล้วก้มหน้าใช้ความคิดอย่างหนักอยู่เป็นาที โจไซอาไม่ได้รบกวนหรือเร่งเร้าเอาคำตอบแต่อย่างใด เพียงนอนมองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ พร้อมกับความกลัวว่าจะเกิดเื่ไม่ดี กระทั่งการรอคอยสิ้นสุดลง
“คุณไม่ใช่มนุษย์” ดวงตาสีเฮเซลมองโจไซอา ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากเป็พิเศษ เช่นเดียวกับเสียงทุ้มที่เรียบนิ่ง
“ใช่ ฉันไม่ได้เป็”
“แล้วคุณก็เป็… เทพแห่งการร่วมประเวณี” เสียงทุ้มค่อย ๆ พูดทีละคำเพื่อให้ชัดเจนและไม่ผิดพลาด
“ใช่” เทพผู้งดงามขยับขึ้นนั่งพิงหัวเตียงข้างกับอีกฝ่าย ใจชื้นขึ้นมาเพราะน้ำเสียงและแววตาของเอเดนเป็ความสงสัยใคร่รู้ และไม่มีความรู้สึกด้านลบแสดงให้เห็น
“แต่ผมไม่เข้าใจครับ” คิ้วเข้มเริ่มขมวดมาชนกัน ดวงตาสีเฮเซลหันมองทางอื่นราวพยายามเรียบเรียงตัวอักษรยุ่งเหยิงมาเรียงเป็ประโยคคำถาม
“คุณอยู่ปะปนกับพวกเรามาตลอดเลยเหรอ” รอยยิ้มหวานสวยปรากฏบนใบหน้าเทพอีกครั้ง เพราะไม่ว่าอะไรจะหลุดออกจากปากเอเดนยามนี้ล้วนน่าเอ็นดูทั้งหมด
“เปล่าหรอก อยู่ที่เมืองของเทพ แล้วมีประตูเชื่อมมาโลกมนุษย์ แต่ก็มีเทพบางองค์ที่ชอบมาเที่ยวที่นี่แล้วไม่ยอมกลับ”
“หมายความว่าไม่ได้มีแค่คุณเหรอครับ”
“ใช่ ยังมีอีกเป็ร้อยเป็พันเลยละ”
“แล้ว…” เอเดนลากเสียงยาวราวไม่แน่ใจในคำถามของตนเอง เขาหลุบตามองกระจกบานใหญ่ที่ภายนอกเป็สีเทาเข้มใกล้เปลี่ยนเป็สีดำ ไฟรอบบ้านสีส้มส่องแสงสู้สายฝนที่โปรยปราย เขาลากสายตากลับมามองโจไซอาที่จ้องรอคอยอีกครั้ง แล้ววางมือทาบทับมือเรียว
“เทพรักมนุษย์ได้ไหมครับ”
เป็อีกครั้งที่โจไซอาไม่ทันตั้งตัวกับคำถามพร้อมแววตาออดอ้อนจากเอเดน เป็อีกครั้งที่โจไซอาไม่ทันตั้งตัวกับการกระทำของเอเดนเลย เพราะไม่สามารถคาดเดาความคิดที่อยู่ในหัวของอีกฝ่ายได้ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนแย้มยิ้มกว้าง ก้มหน้ามองมือที่วางทาบทับ แล้วหงายมือขึ้นเพื่อประสานนิ้วเข้าหากัน
“บ่อยจะตายไป”
โจไซอาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม และได้รับอ้อมกอดอันอบอุ่นจากผิวกายของมนุษย์นามว่าเอเดนกลับมา มือเรียวโอบเอวอีกฝ่ายเพื่อกอดตอบ วางคางลงบนไหล่กว้างกำยำ ฟังเสียงลมหายใจของเอเดนที่ดังอยู่ข้างหู เพราะปลายคางเอเดนก็วางที่ไหล่ของเขาเช่นเดียวกัน
“ผม้าแค่นี้แหละครับ”
“อะไรกัน ไม่อยากได้อย่างอื่นแล้วเหรอ” โจไซอาถามหยอก พร้อมกับตบมือที่แผ่นหลังเบา ๆ
“แค่คุณรักผมก็พอ… โจไซอา”
การเอ่ยเรียกชื่อที่แท้จริงเป็ครั้งแรกด้วยเสียงทุ้มนุ่มทำให้เ้าของชื่อผละกอดเพื่อมองหน้าของเอเดน เขาเห็นรอยยิ้มที่ทำให้ริมฝีปากคว่ำดูดุดันกลับกลายเป็ความอ่อนโยน ดวงตาสีเฮเซลกำลังจ้องมองตอบกลับด้วยความสุขที่ฟุ้งอยู่ในแววตา
“เรียกอีกทีได้ไหม” เอเดนหัวเราะ เผยรอยยิ้มสว่างไสวราวแสงอาทิตย์เมื่อได้ยินคำขอ
“โจไซอา” เอเดนขยับเข้ามาใกล้ แล้วเอ่ยเรียกชื่อที่แท้จริงของเทพซ้ำหลายครั้งข้างใบหู จนทั้งคู่ต่างก็หัวเราะพร้อมหัวใจที่เต้นแรง
“เธอไม่เป็อะไรแล้วใช่ไหม ปวดหัวหรือว่าคลื่นไส้หรือเปล่า” เขาเป็ห่วงอีกฝ่ายขึ้นมา เพราะก่อนที่เขาจะหลับไป เอเดนนอนป่วยตัวร้อนจนสั่นไปกาย
“ไม่นี่ครับ ทำไมเหรอ”
“เธอนอนตัวร้อนจี๋ฉันเลยต้องกอดไว้ ไม่รู้สึกตัวเลยเหรอ” เอเดนส่ายหน้าช้า ๆ ผมสีดำที่ชี้ยุ่งเหยิงของเขาดูน่าเอ็นดู
“คุณป้อนยาให้ผมเหรอครับ”
“ถ้าฉันอยู่ ของแบบนั้นไม่จำเป็หรอก”
คำถามมากมายมาจากปากของเอเดนอย่างไม่หยุดหย่อน โจไซอาพร้อมตอบทุกข้อสงสัยด้วยความใจเย็นและเอ็นดู ร่างกำยำของชายหนุ่มตัวโตทิ้งตัวนอนตักของโจไซอา ขณะฟังเื่เล่าที่ก่อนหน้านี้คงคิดว่าเหลวไหล แต่เมื่อโจไซอาเป็คนพูด เอเดนกลับเชื่อสนิทใจ และมีความกล้ามั่นใจเต็มเปี่ยมในการเอ่ยถามทุกข้อสงสัย
“คุณรักษาผมได้เหรอครับ”
“ใช่ ด้วยการัั จูบ หรือเซ็กซ์”
“ผมคงเป็คนที่แข็งแรงที่สุดในโลกแล้วสิ” โจไซอาหัวเราะเสียงใสกับความคิดเช่นนั้น
“เทพคนอื่นล่ะครับ ทำได้เหมือนกันไหม”
“ทำได้ไม่เหมือนกัน ฉันเป็เทพแห่งการร่วมประเวณี เลยมาจากการร่วมหลับนอน ส่วนคนอื่นจะมีวิธีอื่น”
เอเดนนิ่งไปราวหยุดคิด เขาเม้มปากเล็กน้อยแล้วเหลือบมองโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่ในห้องนอน แล้วหันกลับมามองโจไซอาอีกครั้ง
“แสดงว่า จดหมายที่มาส่งคุณวันนี้ไม่ใช่จดหมายธรรมดาใช่ไหมครับ”
“อ้อ จดหมายนั่น” มันคือจดหมายเรียกให้โจไซอาเข้ารับการพิจารณาโทษกับเทพอารักษ์กฎข้อหาสะกดจิตมนุษย์ โจไซอาจึงไม่อยากบอกความจริงกับเอเดนเื่นี้ว่าตนเองลงแรงทำเพื่ออีกฝ่ายมากขนาดไหน
“ใช่ จดหมายเทพเื่ทั่ว ๆ ไปน่ะ ไม่สำคัญนักหรอก” เอเดนค่อย ๆ พยักหน้า
“ลงไปกินมื้อเย็นได้แล้วเอเดน ฉันบอกให้แม่ครัวทำไว้ให้เธอ”
แม้จะพยายามเปลี่ยนเื่และลากคนตัวโตให้เดินลงชั้นล่างมากินมื้อค่ำ แต่เอเดนที่กลายร่างเป็คนช่างถามก็ยังไม่หยุดสรรหาคำถามให้โจไซอาคิดคำตอบมาอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจโดยง่ายที่สุด ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับเด็กประถมวัยช่างสงสัยเลยสักนิด
“โจ แล้วแม่ครัวเป็เทพด้วยหรือเปล่า” เสียงทุ้มกระซิบถามข้างหูขณะเดินลงบันได และเห็นหญิงร่างท้วมกำลังหมุนตัวไปมาดูวุ่น ๆ อยู่ที่ครัวชั้นหนึ่ง
“โจเหรอ” แต่เทพไม่ได้ตอบคำถาม เพราะมัวแต่สนใจชื่อเล่นที่เอเดนใช้เรียกอยู่
“โจไซอา” เอเดนเข้าใจผิดว่าเขาไม่ชอบจึงแก้เป็ชื่อเต็ม
“ไม่ โจก็ได้ ฉันชอบ”
สุดท้ายแล้วเอเดนก็ไม่ได้คำตอบถึงตัวตนของแม่ครัวหญิงร่างท้วมอายุราวห้าสิบปี รอยย่นบนใบหน้าของเธอแฝงด้วยความอบอุ่นใจดี เธอสวมผ้ากันเปื้อนสายตารางสีแดง แล้วยังไม่รู้ว่าทั้งคู่เดินมาอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์แม้ไม่ได้ตั้งใจเดินเสียงเบาเลยสักนิด
และเอเดนก็ได้รู้ว่าทำไม เมื่อดวงตาสีทองของเธอหันมาเห็นโจไซอา เธอยิ้มกว้างอย่างใจดีให้แล้ววางทุกอย่างในมือก่อนจะใช้ภาษามือในการพูดคุยกับโจไซอา ซึ่งคนข้างกายเอเดนสามารถใช้ภาษามือโต้ตอบกลับได้คล่องแคล่วเช่นกันจนต้องตกตะลึงอยู่พักใหญ่
“แม่ครัวบอกว่าเธอป่วยเลยทำโจ๊กให้”
“อ้อ ขอบคุณครับ” เอเดนทำตัวไม่ถูกเพราะเขาไม่รู้ภาษามือ จึงก้มหัวให้แม่ครัวเล็กน้อย โจไซอาแปลคำขอบคุณนั้นให้แม่ครัว
“โจ” เสียงทุ้มกระซิบแ่เบาให้ได้ยินกันสองคน เมื่อมานั่งรอมื้อค่ำที่โต๊ะไม้
“กระซิบทำไม แม่ครัวเป็คนหูหนวก” ชายหนุ่มหันมองหญิงร่างท้วมอยู่สักพักแล้วระบายรอยยิ้ม
“เธอเป็เทพเหมือนคุณไหมครับ” โจไซอาส่ายหน้า
“โซเฟียเป็คนที่นี่ บ้านอยู่ในหมู่บ้านที่ฉันพาเธอไปเมื่อบ่ายน่ะ ตอนฉันเจอโซเฟียครั้งแรกเธอเป็แม่ครัวอยู่ในร้านอาหารเล็ก ๆ ของครอบครัว แต่โดนไล่ออกมาเพราะหูหนวกเลยทำงานยาก ฉันเลยให้ทุนโซเฟียเปิดร้านอาหารในหมู่บ้านเอง แล้วก็แวะมาทำอาหารให้ตอนฉันมาที่นี่”
รสมือของโซเฟียคุ้มค่าแก่การเคี้ยวและกลืนลงคอของเทพที่ไม่รู้จักความหิวโหย ความน่ารัก อ่อนโยน และจริงใจจากรอยยิ้มที่มีร่องลึกเหี่ยวย่นตามวัย รวมถึงผิวแทนแดดเล็กน้อยก็ทำให้โจไซอาชื่นชอบเช่นกัน เขาใช้ภาษามือที่เคยฝึกฝนเมื่อหลายสิบปีก่อนเพื่อคุยกับโซเฟีย
“แสดงว่าเทพก็ต้องกินข้าวเหมือนกันเหรอ”
“ความจริงแล้วไม่ ฉันไม่รู้จักความหิว” เอเดนทำตาโต
“แล้วถ้ากินเข้าไปจะไม่เป็อะไรเหรอครับ”
“ไม่เป็อะไร แต่อาหารต้องอร่อยจริง ๆ ถึงจะยอมกิน แล้วฝีมือของโซเฟียก็คุ้มค่าแก่การเคี้ยวและกลืนลงคอ”
“แล้วผมล่ะ”
“หืม” โจไซอาเลิกคิ้วไม่เข้าใจ
“ผมก็ทำไข่เบเนดิกต์ให้คุณนะครับ อร่อยหรือเปล่า”
“อร่อยสิ ฉันกินหมดเลยนะ”
เอเดนค้ำแขนกับโต๊ะแล้ววางคางลงไป มองใบหน้างดงามของโจไซอาพลางภาคภูมิใจในฝีมือทำอาหารของตัวเอง ที่อร่อยจนทำให้เทพผู้ไม่จำเป็ต้องกินออกปากว่าอร่อยได้
“เพราะอย่างนี้นี่เองคุณถึงเอาแต่ดื่มอย่างเดียวไม่หยุด เพราะอร่อยใช่ไหมครับ”
“ใช่ พวกมนุษย์เก่งมากเลยนะที่ผลิตเครื่องดื่มพวกนี้ออกมาได้”
แต่เอเดนกลับคว่ำมุมปากลงเล็กน้อย เขาเกลียดรสชาติขม ๆ ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แตกต่างจากโจไซอาที่หลงใหลพวกมันอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าเหยเกของเอเดนเรียกเสียงหัวเราะให้เทพผู้งดงาม
โจไซอายอมตักโจ๊กมากินกับเอเดนเล็กน้อยเพื่อให้แม่ครัวโซเฟียชื่นใจ ก่อนเธอจะขึ้นเรือยนต์กลับเกาะหมู่บ้านของเธอไป เอเดนก็ดีอกดีใจจนยิ้มไม่หุบเช่นกันกับการกระทำเล็กน้อยที่แสดงความเอาใจใส่ของโจไซอา และคำถามมากมายพรั่งพรูออกมาจากปากเอเดนไม่หยุดหย่อน
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็สีดำมืดสนิทมองไม่เห็นแม้แต่หาดทรายและชายทะเล เสียงคลื่นลมแรงเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าบ้านพักหลังนี้อยู่ริมชายฝั่ง ฝนยังคงตกปรอย ๆ เสียงเม็ดฝนหยดลงบนพื้นชานบ้านจึงประสานกับเสียงคลื่นลม
โจไซอากับเอเดนนั่งคุยกันอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่ง พร้อมกับขวดไวน์ขาว และแก้วไวน์สองใบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่รสชาติใสสดชื่นทำให้เขาดื่มง่าย ผนวกกับการมีโจไซอาอยู่เคียงข้างจึงเป็บรรยากาศที่ช่างเหมาะแก่การพูดคุยกันพร้อมจิบเครื่องดื่มไปเรื่อย ๆ
“ผมไม่รู้ว่าผมจะถามคุณเื่นี้ได้หรือเปล่า” แม้ว่าโจไซอาจะพร้อมตอบเขาทุกคำถาม แต่เื่นี้กลับทำให้เอเดนไม่มั่นใจ
“เธอถามได้ทุกอย่างเอเดน” โจไซอาช่วยยืนยันและผลักดันความมั่นใจให้มากเพียงพอ กระทั่งเอเดนเรียบเรียงมันออกมาเป็ถ้อยคำ เอ่ยด้วยเสียงทุ้มนุ่มนวล
“จำตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้ไหมโจ”
“ได้ ทำไมเหรอ”
“ผู้ชายคนนั้น คุณรู้จักเขาเหรอครับ”
โจไซอาวางแก้วไวน์ที่โต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา แล้วเอนหลังพิงพนักนุ่ม บีบนิ้วมือที่วางอยู่บนตักของตัวเองระหว่างคิดถึงเทพแห่งความลุ่มหลง ผู้เป็โรครักระทมเพราะถูกมนุษย์ปฏิเสธรัก เทพผู้นั้นทุกข์ทนกับความเจ็บป่วยอ่อนแรง และขวนขวายหาวิธีการรักษา พุ่งตรงมาหาโจไซอาอย่างไร้มารยาทเพื่อให้ร่วมหลับนอนด้วยทั้งที่เขาปฏิเสธ แต่ก็พยายามบีบบังคับ ถ้าหากเอเดนไม่ช่วยไว้ เขาคงถูกความลุ่มหลงสะกดให้ทำอย่างที่เทพไร้มารยาทผู้นั้น้า
“เขาเป็เทพแห่งความลุ่มหลง” น้ำเสียงจริงจังทำให้เอเดนวางแก้วไวน์ของตนเอง แล้วฟังโจไซอาอย่างตั้งใจ
“เขากำลังเป็โรคโรคหนึ่งที่จะเป็เฉพาะเหล่าเทพ เรียกว่า โรครักระทม เกิดจากการหลงรักมนุษย์ แต่มนุษย์ไม่รับรัก… ตอนนี้ฉันเป็เทพองค์เดียวที่สามารถรักษาโรคนี้ให้เทพได้ แต่วิธีการรักษาคือต้องร่วมหลับนอนด้วยกัน
แค่จุมพิตอาจช่วยทุเลา แต่ถ้าโรครุนแรงมาก มีเซ็กซ์ครั้งเดียวคงไม่พอ ั้แ่ที่ฉันเกิดและเหล่าเทพรู้พลังอำนาจนี้พวกเขาก็คิดว่ามันเป็หน้าที่ของฉัน ที่ฉันต้องทำอย่างไม่มีข้อแม้ ฉันเลยได้เจอแต่พวกเทพทะนงตน ไร้มารยาทเป็ส่วนใหญ่”
มือเรียวของโจไซอาอยู่ในมืออบอุ่นของเอเดนอย่างไม่รู้ตัว เอเดนขยับมากุมมือของเขาเอาไว้ั้แ่ตอนที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เมื่อเล่าจบ ดวงตาสีเฮเซลฉายแววสันสนปะปนกับความเ็ปราวเป็คนเผชิญเื่เลวร้ายเ่าั้ด้วยตัวเอง เอเดนบีบมือโจไซอาแน่นยิ่งขึ้น
“คุณแค่ทำมันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็หน้าที่นี่ครับ”
โจไซอาใจนชะงักนิ่ง เพราะคำพูดของเอเดนไม่ต่างจากคำพูดของเขาที่บอกเทพไร้มารยาทพวกนั้นไป
“พนันได้เลยว่าถ้าการรักษามันง่ายแค่เป่าลมใส่หน้าผาก คุณก็คงรักษาให้ทุกคน”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น”
“เพราะคุณเป็คนดีมากนะโจ คุณพร้อมช่วยเหลือทุกคนอยู่แล้ว แต่นี่วิธีช่วยมันต้องใช้ความเต็มใจจากคุณด้วย แต่เหมือนพวกเทพนั่นจะไม่ถามคุณเลยใช่ไหมครับ” โจไซอาพยักหน้า น้ำตารื้นขอบตาเพราะไม่เคยมีใครเข้าใจความรู้สึกของเขา
“คุณคงเสียใจมาตลอดใช่ไหม” เขาพยักหน้าอีกครั้ง หลบตาสีเฮเซลมองไวน์ขาวที่เหลือค่อนแก้วเพราะไม่อยากเสียน้ำตาตรงนี้และจะเกิดเื่ใหญ่
ความเ็ปเสียใจของโจไซอาฝังลึกในความรู้สึกมาตลอด เขาเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือเทพที่เจ็บป่วยเป็โรครักระทมได้ แม้เทพเ่าั้ทะนงตนไร้มารยาทแต่โจไซอากลับเข้าใจความดิ้นรนให้พ้นความเ็ป แต่วิธีการช่วยเหลือนั้นทำให้เขาเองเป็ทุกข์ เมื่อเขาเลือกความรู้สึกของตนเองและปฏิเสธเหล่าเทพ เขากลับกลายเป็ฝ่ายจมอยู่กับความรู้สึกผิด ความเข้มแข็งที่แสดงออกมา เป็เพียงกำแพงฉาบหน้ากลบทับความอ่อนแอเท่านั้น
“ฉันเกิดมาพร้อมกับมัน ถ้าฉันไม่ได้ใช้มันเพื่อรักษาเทพองค์ไหน ฉันก็ไม่มีค่าอีกแล้ว”
เสียงที่เปล่งออกมาเรียบนิ่งราวไร้ความรู้สึก แต่กลับแฝงด้วยความเศร้าโศกอย่างมหาศาล
“ไม่ครับ ไม่ใช่อย่างนั้น” แต่เอเดนกลับจ้องมองด้วยแววตาจริงจัง น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง “คุณมีค่าั้แ่เกิดมาแล้ว”
ในดวงตาสีเฮเซลที่เป็ประกายอย่างซับซ้อนของเอเดนจริงใจมากกว่าครั้งไหน ๆ มันใสเป็ประกายสะท้อนกับแสงไฟอย่างไม่ขุ่นมัว ใบหน้าและน้ำเสียงของเอเดนสร้างความเชื่อมั่นให้โจไซอา อย่างที่โจไซอาสร้างความเชื่อมั่นให้เอเดนในการตอบทุกคำถามที่สงสัย
“ผมไม่ชอบการเอาสามารถมาเป็ตัววัดคุณค่าของคนเลย หมายถึง… รวมเทพอย่างคุณด้วย สำหรับผมแค่คุณนั่งอยู่กับผมตรงนี้ก็มีความหมายมากแล้วโจ”
เทพอายุหนึ่งร้อยเก้าปีได้รับรู้จากมนุษย์ชายหนุ่มอายุยี่สิบห้าปีในขณะนั้น ว่าโจไซอาผู้เกลียดพวกมนุษย์ประเภทเอาเงินทองมาวัดคุณค่าของคน แท้จริงแล้ว ในโลกของเทพเขาก็เป็เช่นเดียวกับมนุษย์เ่าั้ เทพทุกองค์นำพลังอำนาจมาอวดเบ่งเกทับกันและกัน โดยปกปิดข้อจำกัดเฉพาะที่ตนทำไม่ได้เอาไว้ เพื่อให้ง่ายต่อการโอ้อวดอำนาจ การที่โจไซอาเห็นว่าตนเองไร้ค่าเพราะไม่อยากใช้พลังอำนาจที่แสนยิ่งใหญ่นี้ เป็เพราะเขานำพลังอำนาจเป็ตัววัดคุณค่าของตนเองเช่นกัน
“ผมบอกตัวเองั้แ่ก่อนหน้านี้แล้วว่าผมจะรักคุณไม่ว่าคุณจะเป็ใคร ตอนนี้ผมคิดเหมือนเดิมนะครับ”
หลากหลายร้อยล้านความรู้สึกตีขึ้นมาจากภายในสู่ขอบตาของโจไซอา เขาปิดเปลือกตาลงไล่น้ำตาเ่าั้ลงไป แล้วระบายรอยยิ้มกว้างของความสุขที่ปริ่มล้น เขาลืมตาอีกครั้ง พบว่ามนุษย์ชายหนุ่มผู้ที่ไม่ใสซื่ออีกแล้วยังคงมองเขาด้วยแววตาหนักแน่นและมั่นคงเช่นเดิม
“มานี่สิ” มือเรียวยกขึ้น รอคอยให้เอเดนขยับมาใกล้ชิดอีกขั้น แล้วจุมพิตริมฝีปากบางเพื่อมอบพรล้ำค่าที่สุดที่เขามีให้เอเดน กริฟฟิน
“ฉันก็รักเธอ เอเดน”
บรรยากาศกับบทสนทนาอันลึกซึ้งในค่ำคืนนี้ยังไม่จบลง หลังจากฟังคำบอกรักดั่งน้ำทิพย์วิเศษชโลมจิตใจบอบช้ำของทั้งคู่ให้กลับมามีชีวิตชีวา รอยยิ้มก็ประดับประดาบนใบหน้าของทั้งเอเดน และโจไซอา ความสุขลอยฟุ้งส่องแสงระยิบระยับรอบบ้านสองชั้น เวลานี้ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าการฟังเพลงโปรดจากแผ่นเสียงที่โจไซอาเก็บสะสมมาหลายปีด้วยกัน
“ฟังเพลงกันไหม”
“เพลงเหรอครับ”
โจไซอาชี้นิ้วไปที่กล่องไม้ขนาดใหญ่สีน้ำตาลที่ปิดอยู่ และวางนิ่งอยู่มุมห้องนั่งเล่นมานานแล้ว แต่เอเดนไม่สังเกตเห็น ร่างเพรียวบางลุกจากเก้าอี้บุนวม แล้วเปิดกล่องนั้นออก เขาจึงรู้ว่ามันคือเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ตนเคยเห็น แต่ไม่รู้จักวิธีใช้มัน โจไซอาเปิดตู้ไม้บานเลื่อนด้านล่าง แล้วเลือกหยิบซองสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่แบน ๆ ออกมา ก่อนจะนำแผ่นกลมขนาดใหญ่สีดำใส่ลงไปที่เครื่อง
เสียงทรัมเป็ตดังขึ้นเป็อย่างแรก และเสียงเพลงแจ๊สก็ขยายดังไปทั่วห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่ง เอเดนยกยิ้มเมื่อเห็นร่างเพรียวบางโยกตัวตามจังหวะเบา ๆ สะโพกส่ายไปมาเล็กน้อยบวกกับเสื้อและกางเกงแนบสัดส่วนจึงมองเห็นชัดเจน โจไซอาเดินมารินไวน์ขาวใส่แก้ว กระดกรวดเดียวหมด แล้วดึงมือเอเดนให้เพื่อชวนเต้นรำตามจังหวะเพลงด้วยกัน
“ผมมีอีกคำถาม” เอเดนเอ่ยขณะก้าวขาผิด ๆ ถูก ๆ ตามโจไซอา
“อื้ม” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองเอเดนไม่ละพร้อมรอยยิ้มบางด้วยความลุ่มหลง
“คุณอายุเท่าไหร่ครับ” สิ้นสุดคำถามเสียงทุ้ม มุมปากที่ยกขึ้นก็กดต่ำลงทันที
“ลองทายดูดีไหม” เอเดนทำหน้านึกขณะวาดแขนโอบเอวให้ขยับตัวมาชิดกัน
“ประมาณ 40?” เขาคาดเดาไปอย่างนั้นว่าโจไซอาคงอายุน้อยกว่าพ่อแม่ของเขา แต่เมื่อได้ยินคำตอบเทพกลับหัวเราะ
“ผิด เอเดน ฉันให้เธอเห็นไปแล้วไง”
เสียงหวานย้อนไปถึงยามที่ให้เอเดนเห็นภาพความทรงจำของตนเอง เขาใส่ความทรงจำตอนเดินทางมาเที่ยวที่โลกมนุษย์ครั้งแรกไปด้วย ซึ่งสภาพบ้านเมืองกับเครื่องแต่งกายแตกต่างจากปัจจุบันหลายขุม เอเดนพยายามนึกตาม พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
“ร้อยปี!”
“อื้อ หนึ่งร้อยเก้าปี” เอเดนนิ่งค้าง ยังคงไม่หายใกับอายุที่แท้จริงของโจไซอา
“คุณเกิดก่อนปู่ของผมเสียอีก”
จากนั้นคำถามก็พรั่งพรูจากปากเอเดนอีกครั้ง
“พวกเทพเป็ะเหรอครับ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ส่วนใหญ่จะอยู่ได้เป็หมื่นปี ถ้าไม่ตายเพราะโรครักระทมเสียก่อน”
“โรคนี้ คุณบอกว่าเกิดจากการที่มนุษย์ไม่รับรักใช่ไหมครับ ถึงขั้นทำให้เทพตายได้เลยเหรอ”
“ใช่ มันทรมานจนอยากตายให้สิ้นเื่ไปเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่ค่อยตายกันหรอก จะป่วยอยู่อย่างนั้นสิบปี ถ้าครบร้อยปีแล้วยังไม่หมดรักมนุษย์คนนั้น เทพก็จะตาย” เอเดนนิ่งเงียบ แล้วยกยิ้มเมื่อเผลอเหยียบเท้าโจไซอาขณะเต้นรำ แต่อีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไร
“คุณเคยเป็หรือเปล่าโจ”
“เคย… เมื่อแปดสิบกว่าปีที่แล้ว” เทพที่เคยป่วยเป็โรครักระทมอย่างทุกทรมานอยู่สิบปี บัดนี้สามารถเอ่ยถึงมันด้วยรอยยิ้มอย่างสง่างาม
“เขาคิดว่าตัวเองเป็ใครถึงไม่รักคุณนะ อยากเห็นหน้าเขาหรือไม่ก็ลูกหลานเขาก็ได้” เอเดนพึมพำกับตัวเอง แต่โจไซอาได้ยินทุกอย่างและหัวเราะเสียงใส
“ตายหมดแล้ว”
แน่นอนว่ามนุษย์ไม่ได้อายุขัยยืนยาวเป็ะอย่างเทพ ความจริงข้อนั้นทำให้เอเดนเงียบนิ่งไปพักใหญ่ หารู้ไม่ว่าบัดนี้เอเดนเป็ะ เพราะเทพแห่งการร่วมประเวณีได้มอบหัวใจให้เขาแล้ว
แต่โจไซอาไม่เอ่ยถึงพรล้ำค่าที่สุดนี้ให้เอเดนรับรู้
‘โจไซอา จูบอวยพรผมทีสิ วันนี้ผมต้องขายงานนี้ให้ผ่าน’
โจไซอาเมื่อครั้งอายุยี่สิบ พบรักกับมนุษย์ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตั้งใจทำงานหาเงินอย่างขยันขันแข็ง และเป็อีกวันที่เขาแต่งตัวสะอาดสะอ้าน ใช้เจลแต่งผมจนเรียบ ถือกระเป๋าเอกสารเพื่อเตรียมไปขายงานให้กับบริษัทลูกค้า ชายหนุ่มอ้อนขอจุมพิตจากเทพ เพราะรู้ดีว่ามันล้ำค่าเพียงใด
‘โชคดีนะที่รัก’
โจไซอารักเขาจนหมดหัวใจ ทั้งสองต่างรักใคร่กลมเกลียว อยู่ด้วยกันั้แ่ยามที่ชายหนุ่มมีเพียงกระท่อมเล็ก ๆ จนได้ไต่ขั้นก้าวะโเป็ผู้บริหารบริษัทกระเป๋าหนัง และกระเป๋าเดินทางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุค เขามาเหยียบบนจุดนั้นได้ด้วยพรจากโจไซอา โชคลาภหล่นทับจนชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังมือ
แต่นำมาซึ่งหายนะ
ชายหนุ่มที่หยุดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเพราะได้รับพรล้ำค่าจากโจไซอาจนเป็ะ กลับเปลี่ยนนิสัยใจคอเป็คนละคนเมื่อมีเงินกับอำนาจล้นมือ และเวลาอย่างเหลือเฟือ เขาเที่ยวเตร็ดเตร่กับสมาคมคนมีหน้ามีตา ทิ้งให้โจไซอารอคอยอย่างโดดเดี่ยวที่คฤหาสน์หลังโต บ้างก็พาหญิงสาวหน้าตาสวยสดมาหาถึงห้องทำงาน และนอกใจโจไซอาซ้ำแล้วซ้ำเล่า การที่มนุษย์ผู้นี้ได้มีอายุยืนเป็ะทำให้เบื่อหน่ายเทพผู้งดงามอย่างโจไซอา แม้ว่าความงามจะไม่ได้ลดน้อยลงหรือบกพร่องเลย
ด้วยหัวใจใสซื่อของเทพอายุน้อย โจไซอาจึงยังรักหมดหัวใจ ยอมทนต่อไปขอแค่คนรักในอดีตไม่เอ่ยออกมาว่าหมดรักเขาแล้วก็เพียงพอ
แต่เขาไม่อาจห้ามให้วันนั้นมาถึงได้
‘เธอคิดว่าฉันยังรักคนอย่างเธออยู่หรือไง!’
ทันทีที่ชายหนุ่มคนรักในอดีตประกาศลั่น เพียงไม่นานเทพอารักษ์กฎในชุดคลุมยาวสีดำ สวมหน้ากากสีเงิน และบริวารเป็ซาตานตัวสูงใหญ่สองตนก็เดินทางมาถึง พวกเขามาเอาตัวมนุษย์คนนั้นไปทันที และส่งต่อให้เทพแห่งความทรงจำลบความจำทั้งหมดเกี่ยวกับเทพ เขาจะจำไม่ได้เลยว่าตนเองร่ำรวยถึงเพียงนี้ได้เพราะใคร หรือแม้แต่เคยรักใคร
นอกเหนือจากบทลงโทษลบความทรงจำ คือการลดอายุขัย ชายผู้นั้นจะไม่เป็ะอีกต่อไป อายุขัยจะถูกกัดกินเรื่อย ๆ และตายในที่สุด ความชั่วร้ายทรยศต่อโจไซอาทำให้คำสาปที่เทพไม่อาจควบคุม ทำลายครอบครัวของชายผู้นั้นทั้งหมด กลายเป็ตระกูลต้องคำสาปที่แสนโชคร้าย จนแค่ตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกสุขใจยังยากเต็มทน
ในขณะที่ตัวโจไซอาต้องทุกข์ทรมานกับโรครักระทม ร้องไห้อย่างเ็ปจนน้ำตาเปลี่ยนเป็สายเืสีแดงสด ป่วยไข้ตัวร้อน อาเจียนเป็เือยู่นานนับสิบปีจึงจะหายขาด เพราะความรู้สึกรักที่จางหายไปในที่สุด
ั้แ่นั้นมาโจไซอาจึงไม่เอ่ยปากบอกมนุษย์คนใดเกี่ยวกับอำนาจวิเศษที่นำโชคลาภ อำนาจ และความเป็ะสู่มนุษย์ที่ได้รับหัวใจจากเขา
ตอนนี้โจไซอารักเอเดนหมดหัวใจ พร้อมตอบทุกคำถามที่อีกฝ่ายอยากรู้
แต่กลับงดเว้นเื่พรล้ำค่านี้ ด้วยความกลัวว่าความโลภของมนุษย์จะทำให้อีกฝ่ายต้องตายจาก
tbc.
#เฮเซลอาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้