ยามดึกในวันถัดมา
“เช่นนี้ ด้านล่างของสัญญานี้ได้รับการรับรองแล้ว จดหมายที่เขียนด้วยลายมือของคุณชายจะถูกส่งให้ถึงมือฮูหยินน้อย และส่วนที่เหลือจะเสร็จสมบูรณ์หลังจากที่คนอื่นๆ ไปถึงที่นั่นแล้วขอรับ”
จิงโม่นำจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของเหยียนชิงและหนังสือสัญญาที่ได้รับการรับรองแล้วมอบให้เว่ยซูหาน เขานำมือทั้งสองประสานกันยกขึ้นในระดับหน้าอกแล้วคำนับอีกครั้ง ดวงตาภายใต้หน้ากากกวาดไปที่ใบหน้าของเหยียนชิงเบาๆ เขาประเมินความกล้าหาญของเหยียนชิงต่ำไป เพื่อสังหารอ๋องฉางอันเหยียนชิงกล้าที่จะลงนามในสัญญาล่าค่าหัว
ความกล้าหาญและความโเี้ที่คุณชายน้อยแสดงออกมาในสถานการณ์ที่ขี่หลังเสือแล้วยากจะลงไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้าเช่นนี้ทำให้เขาประหลาดใจมาก เป็เื่จริงที่ความรักสามารถเปลี่ยนคนได้
ั้แ่เหยียนชิงแต่งงานไป ราวกับเขาเปลี่ยนจากกระต่ายนุ่มนิ่มน่ารักมาเป็แมวที่มีฟันแหลมคม เขาวางอุบายทีละขั้นตอนเพื่อปกป้องภรรยา ไม่หลงเหลือรูปลักษณ์ดั้งเดิมของบัณฑิตผู้เชื่อฟังอยู่เลย การวางอุบาย ความเฉลียวฉลาด การคิดวิเคราะห์ เป็การเรียนรู้ด้วยตนเองโดยไม่มีผู้ใดมาชี้แนะ เว่ยซูหานช่างโชคดีจริงๆ
เหยียนชิงโค้งคำนับและพยักหน้าอย่างจริงจัง “เช่นนั้นก็ขอรบกวนเ้าแล้ว”
เื่นี้ต้องส่งให้จิงโม่เท่านั้นเขาจึงจะสามารถวางใจได้ ไม่เช่นนั้นก็อาจจะต้องไปด้วยตนเอง
จิงโม่มองที่เขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “นอกจากเื่นี้ คุณชายยังมีคำสั่งอื่นอีกไหมขอรับ?”
“ไม่มีแล้ว” เหยียนชิงส่ายหัว แต่เมื่อมาคิดดูแล้วก็พูดไปอีกว่า “ระวังตัวด้วย”
จิงโม่ “ขอบคุณขอรับคุณชาย เช่นนั้นข้าขอลา”
เหยียนชิง “อืม”
เมื่อจิงโม่จากไป เฉินเซียงก็เดินเข้ามาจากด้านนอก ใส่ชุดคลุมให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง
“คุณชาย หากไม่มีอ๋องฉางอันแล้ว เช่นนี้จะเป็การตีหญ้าทำให้งูตื่นหรือไม่?”
เหยียนชิงคิดเกี่ยวกับเื่นี้แล้วส่ายหัว
“มีหรือไม่มีอ๋องฉางอันก็ล้วนตื่นตัวอยู่แล้ว เพียงแค่ตอนนี้พวกเรายังไม่สามารถดึงเอาความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนซึ่งซ่อนอยู่ในเงามืดออกมาได้ ทำได้เพียงจัดการกับสถานการณ์ยากลำบากที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้น จะเก็บอ๋องฉางอันไว้ไม่ได้และก็ไม่สามารถให้ฮ่องเต้ทรงทราบเื่กองกำลังส่วนบุคคลได้เช่นกัน หวังว่าซูหานจะช่วยปกปิดได้เหมือนที่ข้าคิดไว้”
“ตราบใดที่อ๋องฉางอันสิ้นชีพลงและเื่ของกองกำลังส่วนบุคคลยังไม่รั่วไหลออกไป ในภายภาคหน้าเบาะแสนี้จะมีประโยชน์กับพวกเรา หากให้องค์ฮ่องเต้ทราบเื่ในตอนนี้ ถึงแม้จะตรวจสอบอย่างละเอียด อ๋องฉางอันก็เป็เพียงแพะรับบาปเท่านั้น หากอ๋องฉางอันถูกทอดทิ้งอย่างสมบูรณ์ จะเป็การยากที่จะสืบหาความจริงออกมา”
ก็เหมือนกับตระกูลเหยียนในชีวิตก่อน ที่ไม่มีอำนาจที่จะพลิกกลับมาได้
เฉินเซียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ถ้าหากในใจของฮูหยินไม่ได้คิดเห็นเช่นเดียวกัน เช่นนี้จะทำอย่างไรเ้าคะ?”
เหยียนชิงสูดลมหายใจเบาๆ
“ถ้าเป็เช่นนั้นก็ต้องดูว่าอ๋องฉางอันอยากโดนข้อหาฏหรือว่ายังอยากที่จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษานามของตนในฐานะอ๋องฉางอันเอาไว้ และถ้าเขาฉลาดพอ เขาจะต้องเลือกช่วยซูหานแน่ ตราบใดที่ผู้ที่รู้เื่ยังไม่ปริปากพูดออกไป หนึ่งชีวิตของเขาล้ำค่ากว่ามากเมื่อเทียบกับผู้บริสุทธิ์นับพันคนในพระราชวัง อยู่ที่ว่าเขาจะเลือกอย่างไร ในจดหมายที่เขียนถึงซูหาน ข้าได้เขียนไว้แล้วว่าให้เขาทำตามที่เห็นสมควร”
เขาเชื่อว่าเว่ยซูหานจะรับมือกับมันได้ดี และเชื่อว่าอ๋องฉางอันไม่ใช่คนโง่ เขาจำได้ว่าอ๋องฉางอันมีธิดาตำแหน่งจวิ้นจู้[1]สองคนและมีโอรสอีกสองคน ในหมู่พวกเขามีพระโอรสองค์โตที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในพระราชวัง
จากประสบการณ์ในชีวิตก่อน แม้ว่าเฟิงหลิงอวี่จะเป็โอรสองค์โตของอ๋องฉางอัน เขาอยู่ในเมืองหลวงเหมือนเป็เชลย แต่ด้วยบุคลิกที่ซื่อตรงและสง่างามของเขาทำให้ภายในพระราชวังเขาได้เป็ที่โปรดปรานของตี้จวิน ต่อมาเมื่อได้เป็รัชทายาทเขาได้รับการแต่งตั้งจากตี้จวินให้เป็หนึ่งในผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายการเมือง ซึ่งไม่แตกต่างกับองค์ชายที่สืบสายเืโดยตรงเลย
หลังจากเฉินเซียงวิเคราะห์สิ่งที่เขาพูดอย่างรอบคอบแล้วก็ชื่นชมออกมา “คุณชายฉลาดและรอบคอบมากเ้าค่ะ”
หลังจากเหยียนชิงยิ้มและมองดูนางอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้
“ข้าก็แค่หวังว่าในการสืบหาว่าในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเว่ยจะไม่ต้องมีผู้บริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวพันมากเกินไปนัก”
ในชีวิตก่อนมีผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบมากเกินไป ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือตระกูลหยียน และสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ก็คือเขาไม่้าให้ตระกูลของอ๋องฉางอันเป็เหมือนตระกูลเหยียนในชีวิตก่อนที่คนที่ไม่รู้เื่รู้ราวต้องกลายมาเป็แพะรับบาป
ก่อนความจริงจะปรากฏอย่าเพิ่งรีบร้อนฆ่าทิ้ง ถ้าสุดท้ายแล้วจวนอ๋องฉางอันกระทำความผิดร้ายแรงอย่างการก่อฏจริงๆ ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะตัดหัวทิ้งทั้งตระกูล
ในชีวิตนี้ที่เขาได้เกิดใหม่ก็เพื่อค้นหาความจริงและนำพาตระกูลเหยียนให้ผ่านพ้นหายนะ ช่วยเว่ยซูหานล้างแค้นเจาเสวี่ยให้กับตระกูลเว่ย และมอบบทเรียนให้แก่ผู้ที่ขุดหลุมฝังเขาและข่มเหงรังแกฮูหยินของเขาไว้ในชาติก่อน
และเพื่อปกป้องผู้ที่ติดตามเขาไปจนวันตาย
เฉินเซียงตรวจสอบหน้าต่างอีกครั้งว่าปิดดีแล้วหรือยัง โน้มตัวลงแล้วกล่าวว่า
“ค่ำแล้ว คุณชายกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถอะเ้าคะ เมื่อคืนท่านนอนหลับไม่สบายนัก เื่นี้สำคัญมาก ท่านต้องดูแลตนเองให้ดีนะเ้าคะ”
เหยียนชิงยิ้มและพยักหน้า “ได้ พี่รองจะกลับมาในอีกประมาณสองวัน เ้าต้องเตรียมการต้อนรับเขาให้ดี”
หลังจากพูดจบเขาก็รวบเสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้องหนังสือไป
เฉินเซียงตอบรับอย่างนุ่มนวลก่อนจะเดินตามออกไป
จุดเทียน ปลดม่านลง กอดม้วนผ้าห่มไว้ในอ้อมแขน เว่ยซูหานจากไปนานแล้วและยังไม่กลับมา ลมหายใจของเขาค่อยๆ เบาบางลง ไม่รู้ว่าเมืองหนานฮั่นในตอนนี้เป็อย่างไรบ้าง เื่ต่างๆ จะจัดการอย่างไรก็ได้ แต่คนต้องกลับมาอย่างปลอดภัย
หลังผ่านไปสองวัน มีคนจากพระราชวัง มาประกาศข่าวดีที่อิ้งหลีได้เป็จวงหยวน[2]ในการทดสอบและเป็ผู้ที่ตี้จวินคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งราชครูขององค์ชาย
ฮูหยินเหยียนตื่นเต้นเป็อย่างมาก เหยียนชิงนอกจากจะรู้สึกมีความสุขแล้วเขายังรู้สึกประหลาดใจ ในชีวิตก่อนเขาได้เป็ราชครูขององค์ชาย ไม่คาดคิดว่าในชีวิตนี้จะกลายเป็อิ้งหลี เขาถือพระราชโองการพร้อมกับจับมือมารดา ถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกโล่งอกอย่างอธิบายไม่ถูก ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว อย่างน้อยโชคชะตาของอิ้งหลีก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ราชครูขององค์ชาย จนกว่าจะได้ขึ้นเป็ราชครูขององค์ฮ่องเต้จะไม่มีอำนาจมากนัก แต่ความจริงแล้วมีเพียงผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากตี้จวินเท่านั้นจึงจะเป็ได้ ดูเหมือนว่าตี้จวินจะสนใจอิ้งหลีมาก แม้ว่าเขาจะเป็คนเ้าเล่ห์และหยิ่งผยองแต่ก็เป็ผู้ที่ใจกว้างและมีความอดทน และเป็ฮ่องเต้ผู้เฉลียวฉลาดอย่างแท้จริง
อิ้งหลีกลับมาถึงจวนตรงเวลาในอีกสองวันต่อมา ที่ประตูเมืองเขาถูกนำเข้าเมืองโดยท่านเ้าเมืองและคนในตระกูลเหยียนที่มารอต้อนรับพร้อมเสียงตีฆ้องและกลอง ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในการทดสอบเปรียบเหมือนปลาที่ะโข้ามประตูั ยิ่งไปกว่านั้นอิ้งหลียังเป็คุณชายจากตระกูลเหยียน แรงดึงดูดจึงยิ่งสูงขึ้นไปอีก
ถนนในเมืองฝูซังแออัดไปด้วยผู้คนที่มาเฝ้าดู เสียงร้องแสดงความยินดีดังกึกก้อง ใน่เวลาที่ดอกไม้เบ่งบาน อิ้งหลีสวมชุดคลุมสีแดงขี่ม้าเข้ามาช้า ๆ เสื้อผ้าและผมถูกปกคลุมไปด้วยกลีบดอกไม้หลากสี
ความคึกคักตลอดเส้นทางทำให้สมองของอิ้งหลีมีเสียงดังหึ่ง ๆ กว่าจะกลับถึงบ้านเขาก็ยิ้มให้กับฝูงชนที่รายล้อมจนกรามแข็งไปหมด
เมื่อลงจากหลังม้าเขายังถูกพวกเด็ก ๆ ที่เอาดอกไม้เข้ามาให้ชนจนซวนเซ ไม่ง่ายเลยที่จะหลุดออกมาจากฝูงชนได้ เสื้อผ้าของเขาล้วนถูกดึงจนยับย่นไปหมดแล้ว เหยียนชิงผู้มีประสบการณ์แบบเดียวกันในชีวิตก่อนรู้ว่าเขาถูกเหวี่ยงไปมามากพอแล้ว รอจนเขาเข้าประตูมาได้จึงยิ้มให้อย่างปลอบประโลม
“ตลอดทางลำบากพี่รองแล้ว”
อิ้งหลียิ้มให้เขาอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ใช่ไหม... สองสามวันที่ต้องอยู่กลางทางล้วนเทียบไม่ได้กับการเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง ช่างเหนื่อยอะไรเช่นนี้...”
บ่นออกมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับรีบถอดเสื้อคลุมสีแดงและดอกไม้สีแดงดอกใหญ่ตรงหน้าอกส่งให้หงเย่านำไปเก็บไปด้วย และให้เหยียนชิงเอากลีบดอกไม้บนหัวออกให้ ฮูหยินเหยียนที่ตามหลังมามองดูด้วยรอยยิ้มที่ฉีกจากปากไปถึงรูหู สั่งให้ป้าจูไปดูแลแเื่แล้วลากลูกชายทั้งสองคนเข้าไปในจวน
ในฐานะพ่อแม่ สิ่งที่น่ายินดีที่ก็สุดคือการได้เห็นลูกๆ แต่งงานและประสบความสำเร็จ
เชิงอรรถ
[1]จวิ้นจู้ คือ (郡主) บุตรีของข้าราชการชั้นสูงที่ได้รับศักดินาให้ไปครองเมือง ยศไม่สูงขนาดเ้าหญิงเชื้อพระวงศ์ คล้ายๆ เป็ตำแหน่งเชื้อสายผู้สืบราชสกุลต่างๆ
[2] จวงหยวน (状元) เป็ชื่อเรียกตำแหน่องของคนที่สอบได้คะแนนสูงที่สุดในการสอบคัดเลือกขุนนาง (ไม่ใช่ชื่อเรียกตำแหน่งขุนนางในการรับราชการ)
