ติงเหว่ยเอื้อมมือไปหยิบเครื่องปรุงต่างๆ เช่น โป๊ยกั๊ก อบเชย พริกไทย พร้อมกับสอนท่านป้าหลี่อย่างละเอียด ท่านป้าหลี่คิดเกลียดตัวเองว่าถ้านางมีตากับหูเพิ่มอีกอย่างละคู่ก็คงดี แม้แต่จะพูดสักประโยคก็ยังไม่กล้า กลัวว่าจะพลาดอะไรสำคัญไป
ในเมื่อติงเหว่ยพูดไว้แล้วว่าจะสอนเคล็ดลับให้กับนาง ก็ไม่คิดปิดบังอะไร พอเห็นท่าทางแบบนี้ของนางจึงพูดว่า “ท่านป้า ท่านเริ่มจากดูก่อนก็ได้ ครั้งหน้าตอนที่ข้ามาจะจดขั้นตอนมาให้ท่านหนึ่งชุด”
“จริงหรือ?” ท่านป้าหลี่มีความสุขมากและรีบขอบคุณในทันที “ขอบคุณแม่นางติงมากๆ เลย เ้าช่างเป็คนดีจริงๆ จิตใจก็ดีฝีมือก็ดี ในอนาคตไม่รู้ว่าบ้านไหนจะโชคดีได้แต่งเ้าเข้าบ้าน”
คำพูดของนางล้วนพูดจากใจจริง แต่นางกลับลืมไปว่าติงเหว่ยตั้งครรภ์อยู่ สุดท้ายจึงกลายเป็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ไอ๊หยา ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น แม่นางติงอย่าได้ใส่ใจ ข้ามันปากเสียเอง!”
“ท่านป้าอย่าได้กังวล ข้ารู้ดีว่าท่านหวังดีกับข้า ข้าไปๆ มาๆ ทุกวัน หากจะต้องระวังทุกคำพูดก็คงอึดอัดไม่น้อย”
“โธ่ เหล่าเทียนเย่ช่างตาบอดเสียจริง เ้าเป็สตรีที่ดีถึงเพียงนี้ทำไมต้องมาประสบกับเื่เคราะห์ร้ายแบบนี้…” ท่านป้าหลี่ถอนหายใจ มองไปยังติงเหว่ยที่พูดแล้วหัวเราะอย่างอ่อนโยน นางอดไม่ได้ที่จะดึงมือของติงเหว่ย และเป็ทุกข์แทนนางด้วยใจจริง
ทว่าติงเหว่ยไม่รู้ว่าตนเองน่าสงสารตรงที่ใด นี่เป็ครั้งแรกที่มีคนแปลกหน้ามาพูดกับนางแบบนี้ ไม่ว่าครอบครัวสกุลติงจะรักและเป็ห่วงนางมากแค่ไหน บางครั้งนางตื่นขึ้นมาตอนกลางดึกเหมือนกับมึนงงไปชั่วขณะ ราวกับจอกแหนที่ล่องลอยอยู่ในแม่น้ำลำธาร เสมือนิญญาที่ล่องลอยไปมาอย่างไร้ที่พึ่งอย่างไรอย่างนั้น
แต่ตอนนี้มีเด็กกำลังเติบโตอยู่ในท้องของนาง ราวกับรากเล็กๆ ที่ต้องพึ่งพากันและกัน แม้ว่าจะอ่อนแอและเปราะบาง แต่ก็ผูกมัดนางไว้แน่น ให้อยู่ในโลกใบนี้ด้วยกัน
บางทีในสายตาของผู้อื่น เด็กคนนี้คือภาระ คือความหายนะ แต่สำหรับนางกลับเป็สายเืที่อบอุ่นที่สุด เป็เพื่อนที่จะอยู่ดูแลกันไปตลอดชีวิตหลังจากนี้ และยังเป็ความหวังให้นางสามารถยืนหยัดใช้ชีวิตต่อไปในโลกที่ไม่คุ้นเคยใบนี้ด้วย
……
ท่านลุงอวิ๋นหาติงเหว่ยในห้องครัวเล็กไม่เจอจึงลองมาหาที่ห้องครัวใหญ่ และเห็นนางกำลังยุ่งอยู่กับการพูดคุยเื่มากมายอย่างสนุกสนาน ในที่สุดเขาก็วางใจได้ ไม่จำเป็ต้องพูดอะไรให้มากความแล้ว จึงหันหลังกลับไปหาของดีที่ห้องเก็บของ
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ในขณะที่ติงเหว่ยกำลังจะบอกลาก็เห็นขวดผลไม้เชื่อมและผ้าไหมอยู่ในตะกร้า นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงรับของทั้งหมดไว้ ไม่ใช่ว่านางโลภมากแต่นางรู้สึกขอบคุณสำหรับความเมตตาและเอาใจใส่ของท่านลุงอวิ๋นจากใจจริง เอาผลไม้เชื่อมไปให้ต้าเป่ากับฝูเอ๋อร์กินคงจะดีกว่าเป็แน่ และวันก่อนแม่นางหลี่ว์พูดไม่หยุดว่าอยากจะทำชุดใหม่สักชุดหนึ่งเอาไว้ให้ท่านยายฉลองวันเกิด
“แม่นางติงหากไม่ลำบากจนเกินไป หลังจากนี้ก็มาวันเว้นวันได้หรือไม่? วันนี้หลานของข้ากินเจี่ยวจือพวกนั้นจนเกลี้ยงจาน ในใจของข้ามีความสุขจริงๆ…”
ตอนที่ท่านลุงอวิ๋นส่งตะกร้าให้ก็ถือโอกาสพูดเสริมไป
ในใจติงเหว่ยรู้สึกขบขันเล็กน้อย ท่านผู้าุโช่างเข้าใจหาเหตุผลจริงๆ โชคดีที่นางก็ชอบความบริสุทธิ์ใจของสกุลอวิ๋น จึงตอบกลับไปว่า “ได้เ้าค่ะท่านลุงอวิ๋น เดี๋ยววันมะรืนข้าจะมาอีก”
เมื่อพูดจบนางก็โค้งคำนับอีกครั้งแล้วเดินออกจากจวนสกุลอวิ๋นไป
……
ตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังจะตกทางทิศตะวันตก เมฆสีแดงเพลิงปกคลุมไปทั่วขอบฟ้า สะท้อนให้เห็นภาพผืนแผ่นดินที่งดงามเป็พิเศษ ตอนเดือนแรกของปีจันทรคติครอบครัวสกุลติงได้ปรับปรุงห้องปีกใหม่ ตอนนี้ห้องปีกหลักทั้งสองล้วนเป็อิฐสีน้ำเงินและกระเบื้องสีเทา เพื่อนบ้านข้างๆ ต่างก็เป็หลังคามุงจาก ทำให้ดูเหมือนชนชั้นสูงขึ้นมาไม่น้อย
แค่นางนึกถึงท่านแม่ที่ต้องคอยชะเง้อรออยู่ที่หน้าประตู ติงเหว่ยก็อดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้า
แต่น่าเสียดาย ทันทีที่มองเห็นประตูบ้าน ต้าเป่าก็วิ่งเช็ดน้ำตาและร้องไห้เสียงดังกลับมาจากหัวถนน ชุดที่ติงเหว่ยเปลี่ยนให้เขาเองกับมือในตอนเช้าสกปรกมอมแมมจนดูไม่ได้ ผมที่มัดบนศีรษะก็หลุดลุ่ย สภาพดูไม่จืดเลย
“ต้าเป่า เ้าเป็อะไรไป ทะเลาะกับคนอื่นมางั้นหรือ?”
ต้าเป่ารู้สึกน้อยใจจริงๆ แค่เห็นท่านน้ายืนอยู่หน้าบ้านเขาก็รีบวิ่งะโเข้าไปในอ้อมกอดของนาง แล้วร้องไห้เสียงดัง “ท่านน้า ฮือฮือ ข้าจะไม่เล่นกับพวกโก่วตั้น [1] อีกแล้ว พวกเขาเป็เด็กไม่ดี”
ติงเหว่ยได้ยินก็แอบหัวเราะ เด็กๆ เล่นด้วยกันมักมีเื่ทะเลาะกันเป็ธรรมดา วันนี้เกลียดกันจนมองตาขวางพรุ่งนี้เดี๋ยวก็กลับมาสนิทสนมกันแล้ว
“ต้าเป่าเด็กดี ไหนบอกอาสิพวกโก่วตั้นไม่ดียังไง? เ้าขี่ม้าและสู้รบ [2] ชนะเขาใช่หรือไม่ เขาโมโหงั้นหรือ?” ติงเหว่ยใช้ผ้าเช็ดน้ำมูกน้ำตาให้หลานพลางถามอย่างอ่อนโยน
คิดไม่ถึงว่าต้าเป่ากลับร้องไห้หนักขึ้น โมโหจนหน้าเล็กๆ เป็สีแดงก่ำ “ไม่ใช่ ข้าเอาขนมไปให้พวกเขากิน พวกเขาไม่กินแล้วก็เอาขนมนั้นทิ้งไป แล้วยังมาว่าท่านน้าอีกด้วย เขาบอกว่าน้องชายในท้องของท่านน้าเป็ลูกนอกสมรส แต่แม่ข้าบอกว่านั่นคือน้องชายไม่ใช่ลูกนอกสมรส!”
ติงเหว่ยจับแขนของหลานชายแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในใจราวกับถูกแทงด้วยมีดนับครั้งไม่ถ้วน นางรู้สึกเ็ปจนพูดไม่ออก
“ต้าเป่าไม่ต้องร้องไห้ พวกโก่วตั้นพูดจาหยาบคาย ไม่ใช่เด็กดี ต่อไปพวกเราจะไม่เล่นกับพวกเขาแล้ว”
ต้าเป่าสะอื้นพลางพยักหน้า ปากเล็กๆ ก็เริ่มพูดอีกครั้งด้วยเสียงเบาๆ “พรุ่งนี้พวกโก่วตั้นจะไปจับปลาที่ริมแม่น้ำกัน ข้าก็อยากไปเหมือนกัน”
ติงเหว่ยได้ยินก็รู้สึกทั้งสงสารและขบขัน พลางยกมือปัดฝุ่นที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของหลานชายออก จัดผมเผ้าพร้อมกับพูดเกลี้ยกล่อม “ไม่กี่วันก่อนท่านปู่ไม่ใช่เพิ่งพูดกับเ้าหรอกหรือ เ้าคือหลานชายคนโตของครอบครัวสกุลติง ปีหน้าต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน เมื่อโตขึ้นแล้วเ้าอยากสอบจอหงวนหรือไม่ อยากขี่ม้าตัวใหญ่ไปซีจิงหรือเปล่า ที่นั่นทั้งน่าสนุกและมีของอร่อยๆ มากมายจนนับไม่ถ้วน…”
“อยากสิ ข้าอยากไป” ไม่รู้ในใจของต้าเป่าใฝ่ฝันอยากเป็จอหงวนจริงๆ หรือถูกอาหารและที่ท่องเที่ยวในซีจิงดึงดูดความสนใจกันแน่ เขารีบพยักหน้าหลายๆ ครั้ง
ติงเหว่ยเห็นแล้วก็รู้สึกขบขัน ยื่นมือออกไปบีบแก้มอ้วนๆ แล้วพูดว่า “แต่ว่ามีเด็กหลายคนที่ฉลาดและรู้เื่ ไม่ใช่ใครก็ไปซีจิงได้ ดังนั้นต้าเป่าของพวกเราต้องรีบเรียนหนังสือ ไม่เหมือนพวกโก่วตั้นที่เอาแต่เล่นสนุกทั้งวัน หลังจากนี้เ้าอยู่บ้านฝึกคัดลายมือกับอาดีไหม รอปีหน้าไปโรงเรียนเ้าก็จะรู้หนังสือก่อนเด็กคนอื่น อาจารย์ก็จะยิ่งชอบเ้า”
“จริงหรือ?” หน้าเล็กๆของต้าเป่าตื่นเต้นและเปล่งประกาย เขาพูดอย่างร่าเริง “ตกลง ข้าจะเรียนเขียนหนังสือกับท่านอา”
“ต้าเป่าเป็เด็กดีจริงๆ ว่านอนสอนง่าย จำไว้ว่าอีกพักหนึ่งพอเข้าประตูไปแล้วอย่าพูดกับท่านปู่ท่านย่าเื่ที่โก่วตั้นรังแกเ้าวันนี้ อย่าทำให้ท่านปู่ท่านย่าต้องเป็กังวล” ติงเหว่ยเปิดผ้าลายดอกไม้ที่ปิดตะกร้าอยู่ในมือ ข้างในมีกระปุกที่ใส่ผลไม้เชื่อมไว้จนเต็ม นางยิ้มแล้วพูดว่า “ต้าเป่าเชื่อฟังและรู้เื่ขนาดนี้ อาให้ผลไม้เชื่อมกระปุกนี้เป็รางวัลแก่เ้า มันรสชาติหวานและอร่อยมากๆ”
“เย้ ต้าเป่าอยากกิน ท่านอาต้องให้น้องสาวข้าด้วยหนึ่งชาม”
“ตกลง ข้ามีให้สำหรับทุกคน” ติงเหว่ยยิ้ม มือหนึ่งถือตะกร้าอีกมือหนึ่งก็จูงต้าเป่าเข้าบ้าน ทว่าความกังวลที่อยู่ในดวงตาของนางก็ไม่ได้หายไปเลย
……
แม่นางหลี่ว์ยกอาหารออกมาจากห้องครัว เจอลูกสาวและหลานชายเข้ามาด้วยกันก็ทักทายว่า “ทำไมเพิ่งจะกลับมา รีบไปล้างมือแล้วมากินข้าวเถอะ”
ติงเหว่ยเห็นท่านแม่ยิ้มแบบฝืนใจ แม้แต่พี่ชายพี่สะใภ้ที่ทำงานอยู่ที่ร้านทั้งวันก็อยู่บ้านกันหมดแล้ว นางจึงรู้สึกเอะใจ
ทุกคนในครอบครัวแบ่งกันนั่งเป็สองโต๊ะ ใช้เวลาไม่นานก็กินเสร็จ ต้าเป่าและฝูเอ๋อร์ถูกอุ้มกลับไปนอนในห้อง ติงเหว่ยครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะไปถามท่านแม่ที่กำลังเย็บผ้าว่า “ท่านแม่ ที่ร้านเกิดเื่อะไรขึ้นใช่หรือไม่ เหตุใดวันนี้พวกท่านถึงกลับมาเร็วกันล่ะ?”
มือทั้งสองของแม่นางหลี่ว์ที่กำลังปักผ้าหยุดชะงัก แต่แล้วก็กลับมาทำต่ออย่างรวดเร็ว และพูดอย่างคลุมเครือว่า ”เ้าอย่าคิดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ร้านไปได้ดีจะตาย จะมีเื่อะไรได้เล่า วันนี้ค้าขายดีก็เลยปิดร้านเร็วขึ้นนิดหน่อย” เมื่อพูดเสร็จนางก็หยิบเข็ม ด้าย และผ้าสีแดงในตะกร้าออกมา นางยิ้มแล้วพูดว่า “ดูผ้าผืนนี้สีสันสดใส ข้าจะทำเสื้อคลุมให้กับหลานชายของข้า เขาจะได้ใส่ในพิธีฉลองครบเดือน [3] พอดีเลย ไชโย!”
ติงเหว่ยไม่ใช่คนที่จะโดนหลอกได้ง่าย นางหันกลับไปมองพี่สะใภ้ทั้งสองที่มีสีหน้าเศร้าหมองอย่างชัดเจน จึงไล่ถามต่อ “ท่านแม่ ความจริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้าก็เป็คนในครอบครัวพวกเรานะ มีเื่อะไรทำไมต้องปิดบังข้าด้วย ต่อให้ข้าช่วยอะไรไม่ได้ท่านก็พูดมาเถอะ อย่างน้อยในใจจะได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง”
แต่เดิมแม่นางหลี่ว์ก็เป็คนตรงไปตรงมา เื่ที่เกิดขึ้นวันนี้ทำให้นางโมโหจนปอดแทบจะะเิ พอได้ยินบุตรสาวพูดแบบนี้ก็ทนไม่ไหวจึงกัดฟันพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะครอบครัวตาเฒ่าเฉียนที่สมควรตายนั่น พวกคนชั่วนิสัยไม่ดี วันนี้พวกเขามากินซาลาเปาที่ร้าน ข้าเห็นว่าเป็คนในหมู่บ้านเดียวกัน ก็เลยแถมซาลาเปาเนื้อไปสองลูก นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็การให้อาหารหมา กินเสร็จไม่พูดคำดีๆ แม้เพียงครึ่งคำ กลับไปชวนแขกพูดจาไร้สาระ ข้าไล่พวกเขาให้ออกไป พวกเขากลับะโโวยวายจะไล่พวกเราออกจากหมู่บ้าน ้า…้าทำให้ร้านของครอบครัวเราเปิดต่อไปอีกไม่ได้!”
เนื่องจากพี่รองติงเพิ่งได้รับเครื่องใช้ในบ้านรูปแบบใหม่มา ่นี้เขาจึงแกะสลักอยู่ที่บ้าน ไม่รู้เื่ราวที่เกิดขึ้นที่ร้าน พอได้ยินคำพูดเ่าั้ก็รีบลุกขึ้นมาทันที แล้วด่าเสียงดังว่า “เฉียนต้าเพ่าสมควรตาย ครั้งที่แล้วคงตีเขาเบาไปจริงๆ พี่ใหญ่! ไป! ไปจัดการเขาอีกครั้งกัน!”
พูดจบเขาก็ถือโอกาสหาอาวุธในบ้าน แม้ว่าพี่ใหญ่ติงจะประพฤติตามกฎสักแค่ไหน แต่เขาก็รักและสงสารฮูหยินจึงอยากจะออกไปด้วย
คิดไม่ถึงว่าผู้าุโติงกลับวางหม้อยาสูบลง ตะคอกเสียงดังอย่างตำหนิว่า “กลับมาเดี๋ยวนี้!”
ยามนี้พี่รองติงขาข้างหนึ่งอยู่ข้างใน ขาอีกข้างอยู่นอกประตู เขาโมโหแล้วโต้กลับไปว่า “ท่านพ่อ สกุลเฉียนน่ารังเกียจแบบนี้ต้องอย่าไปกลัวพวกมัน ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้ไม่แน่พวกมันจะมารังแกครอบครัวเราอีก!”
แม้พี่ใหญ่ติงจะไม่ได้ส่งเสียงอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่น้องชายพูด
ผู้าุโติงยกปล้องยาสูบทองเหลืองแล้วเคาะมันลงบนโต๊ะสองสามครั้ง จากนั้นจึงพูดด้วยความโกรธว่า “ทำไม ตอนนี้พวกเ้าปีกกล้าขาแข็งกันแล้ว ข้าสั่งสอนอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม?”
พี่รองติงโยนไม้ในมือลงพื้นอย่างแรง กลับไปนั่งที่เก้าอี้ข้างหน้าต่างโดยไม่ยอมพูดอะไรอีก
ผู้าุโติงถอนหายใจ เงียบอยู่นานก่อนจะพูดว่า “ปากอยู่บนหน้าของคนอื่น เ้าจะไปอุดไว้ได้ยังไง? อุดปากคนสกุลเฉียน แล้วคนอื่นล่ะ เ้ายังจะสามารถอุดปากคนทั้งหมู่บ้านหรือคนทั้งเมืองได้อย่างนั้นหรือ?”
แม่นางหวังทนเห็นผู้ชายในบ้านทะเลาะกันไม่ได้ นางอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมาเบาๆ ว่า “แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้สกุลเฉียนมาทำร้ายครอบครัวเรา ที่เสียเวลาบ่ายวันนี้ ร้านเราก็เสียรายได้ไปไม่น้อยกว่า 200 เหวิน…”
แม่นางหลิวพิจารณาแล้วพูดว่า “ไม่เช่นนั้น พวกเราลองไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านอู๋ดูดีหรือไม่?”
ผู้าุโติงโบกมือ “ผู้ใหญ่บ้านอู๋คงไม่สะดวกที่จะจัดการเื่นี้ หากทะเลาะกับสกุลเฉียนขึ้นมา เกิดเป็เื่ราวใหญ่โต ครอบครัวเราจะมีแต่เสียกับเสีย”
“เช่นนั้นต้องทำยังไงดี ยังไงก็ไม่ควรปล่อยให้สกุลเฉียนรังแกอยู่แบบนี้ หลังจากนี้คนในหมู่บ้านเห็นเข้าก็จะทำตาม ครอบครัวเราคงไม่พ้นที่จะ…” แม่นางหวังเสียใจกับรายได้ของร้านที่ต้องหายไป ด้วยความใจร้อนนางจึงไม่ได้คิดอะไรให้รอบคอบ แม่นางหลี่ว์เกรงว่าลูกสาวจะไม่สบายใจจึงจ้องไปที่นางด้วยสายตาดุๆ ทำให้นางกลืนคำพูดที่เหลือลงท้องไปได้สำเร็จ
ภายในห้องกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงสูบยาสูบของผู้าุโติงเท่านั้น
-----------------------------------------
[1] โก่วตั้น 狗蛋 หมายถึง คนที่ประพฤติตนเหมือนสุนัข น่าเบื่อ โง่เขลา และเอาแต่ทำสิ่งโง่ๆ โดยไม่รู้ตัว
[2] ขี่ม้าและสู้รบ 骑马打仗 หมายถึง การละเล่นพื้นบ้านในสมัยก่อนของจีน คล้ายๆ ขี่ม้าส่งเมืองในการละเล่นไทย
[3] พิธีฉลองครบเดือน 满月礼仪 หมายถึง พิธีที่จัดขึ้นใน่เวลาที่เด็กทารกเกิดใหม่มีอายุครบหนึ่งเดือนเต็ม นอกจากการโกนผมไฟให้กับทารกแล้ว ทางครอบครัวจะมีการเตรียมอาหารและสุราไว้คอยต้อนรับญาติพี่น้องมิตรสหายที่จะเดินทางมาร่วมอวยพรและร่วมแสดงความยินดีกับครอบครัว