“ท่านโหว ข้าเดินหาหนังสือเองได้ ไม่รบกวนท่านหรอก”
ไป๋ลู่เอ่ยขึ้น พลางมองหาทางเลี่ยงที่จะต้องอยู่ใกล้เขามากเกินไป
“คำพูดไม่งาม เ้าน่าจะเรียกข้าว่า ท่านพี่ ถึงจะถูก”
“แต่ว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่ ข้าเรียกว่าท่านโหวจะ…”
“ท่านพี่!”
“โอเค… ท่านพี่”
หวังจิ่นหรงกระตุกยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ดวงตาสีทองที่มองตรงมามีประกายบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ
“วาจาช่างประหลาดนัก ไม่น่าฟังเอาเสียเลย...ฮูหยินของข้า”
คำพูดของเขาไม่ต่างอะไรจากคมมีดที่เฉือนลงในความรู้สึกของนาง แต่ท่าทีอ่อนโยนที่เขาทอดสายตามองมา กลับทำให้ไป๋ลู่เบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน
จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าพวงแก้มของตนเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ...
ขณะนั้นเองก็มีกลุ่มคนชุดดำที่ผูกผ้าปิดหน้าหลายคนบุกเข้ามาที่แผงหนังสือ อาวุธพร้อมสรรพพุ่งเข้ามาโดยมีเป้าหมายหนึ่งเดียว...คือท่านโหวแห่งแดนเหนือ
ไป๋ลู่เบิกตากว้างด้วยความใ ร่างบางสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น
เพิ่งจะเกิดใหม่มาได้ไม่ถึงเดือน จะต้องตายอีกแล้วอย่างนั้นหรือ
แต่ก่อนที่ไป๋ลู่จะทันได้ตกตะกอนความคิด หวังจิ่นหรงก็ฉวยแขนของนางดึงเข้ามาอยู่ด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีทองคมกริบเหลือบไปเห็นช่องลับเล็กๆ ในกำแพง ก่อนจะผลักนางเข้าไปในนั้นทันที
“ห้ามออกมา จนกว่าข้าจะสั่ง!”
น้ำเสียงที่ดุดันที่เปล่งออกมาภายนอกอาจดูน่าเกรงขาม แต่ทว่าท่ามกลางความแข็งกร้าวของดวงตาสีทองนั้น มีความวิตกกังวลซ่อนอยู่ในแววตาของเขา คล้ายกับกำลังต่อสู้กับความกลัวต่อบางสิ่งที่มิอาจแสดงออกมาได้โดยง่าย
เสียงฟาดฟันของอาวุธดังระงมไปทั่วบริเวณ เสียงเหล็กกระทบกันเป็จังหวะอันดุดันทำให้หัวใจของไป๋ลู่เต้นแรง นางหลับตาแน่น สองมือกำชายเสื้อของตนไว้แน่น พยายามกลั้นความกลัวที่ตีตื้นขึ้นมา
เวลาผ่านไป เสียงการต่อสู้ค่อยๆ เงียบลง จนในที่สุดก็มีเพียงความเงียบงันที่ปกคลุมทุกอย่าง
“ลู่เอ๋อร์… ฮูหยิน เ้าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
ดวงตาคมกริบที่มักจะเยือกเย็น บัดนี้กลับดูร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เขาโน้มตัวลงมาใกล้ พลางกวาดสายตามองสำรวจร่างกายของไป๋ลู่ด้วยความระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าการแตะต้องเพียงเล็กน้อยจะทำให้นางเจ็บตัว
ไป๋ลู่สบสายตากับเขา ก่อนจะรีบเบือนหน้าไปทางอื่น เพราะไม่สามารถรับมือกับสายตาประหลาดนี้ได้
“ข้าไม่เป็อะไร ท่านพี่ไม่ต้องกังวล”
“เ้ากลัวหรือไม่?”
หวังจิ่นหรงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา ชีวิตของเขาไม่เคยมีความแน่นอน การเป็แม่ทัพใหญ่ของแคว้น ทำให้เขามีศัตรูนับไม่ถ้วน ทั้งจากนอกและในแคว้น ความตายพร้อมจะมาเยือนทุกเมื่อ
“ถ้าบอกว่าไม่กลัวท่านก็คงจะบอกว่าเข้าโกหก แน่นอนว่าข้าย่อมต้องกลัวเป็ธรรมดา ยังไงเสียข้าก็เป็สตรีคนหนึ่ง ข้าน่ะ... ว้าย!”
ยังไม่ทันได้ระบายความหวาดกลัวที่อัดแน่นอยู่ในใจจนจบประโยค ร่างบางของไป๋ลู่กลับถูกรวบขึ้นไปในอ้อมแขนแข็งแรงของหวังจิ่นหรง เขาอุ้มนางไว้ด้วยท่าอุ้มเ้าสาวอย่างมั่นคง
"ปล่อยข้า! ข้าเดินเองไหว!" นางะโเสียงสั่น พลางดิ้นด้วยความเคอะเขิน กลิ่นกายหอมเย็นของคนผู้นี้ทำให้หัวใจของนางสั่นไหวอย่างอดไม่ได้
ความร้อนจากอ้อมแขนของหวั่งจิ่นหรงแผ่ซ่านมาถึงกายของหญิงสาว ราวกับว่ามัน้าละลายกำแพงแห่งความหวาดกลัวในใจของนางไปทีละน้อย
แม้จะยังไม่เข้าใจในท่าทางและคำพูดของเขาในวันนี้ ไป๋ลู่จึงได้แต่ปล่อยกายปล่อยใจให้เขาอุ้มไปโดยไม่ขัดขืนอีก...
ทันทีที่ออกจากร้านขายหนังสือ หานชิงและผิงผิงรีบปรี่เข้ามาด้วยความตกตะลึง หานชิงใอย่างมากเมื่อทราบว่ามีมือสังหารลอบเข้ามา เพราะตลอดเวลาที่เฝ้าระวังอยู่หน้าร้าน เขาไม่เห็นผู้ใดบุกผ่านทางนี้เลยแม้แต่น้อย
ขณะที่ผิงผิงเองก็ดูร้อนรนไม่น้อย รีบถามไถ่ด้วยความเป็ห่วงว่าไป๋ลู่ นายของตนได้รับาเ็ตรงไหนหรือไม่
แม้จะอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของหวังจิ่นหรง แต่ไป๋ลู่กลับยังไม่อาจสลัดความหวาดกลัวที่ฝังลึกในใจออกไปได้
ความทรงจำเกี่ยวกับราเชนทร์ยังคงตามหลอกหลอนราวกับเงามืดที่ไม่เคยจางหาย ความรู้สึกถึงการถูกคุกคามและไล่ล่าหวนคืนมาอีกครั้ง
ความคิดย้อนกลับไปยัง่เวลาที่ถูกราเชนทร์ตามรังควาน เขานั้นมักจะบุกเข้าเมาทำร้ายอลิษาและทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเธอ และสาเหตุที่ไฟไหม้ผับจนตัวตายนั้นไม่พ้นเป็ฝีมือของเขาเป็แน่
ในค่ำคืนอันเงียบสงบ หลังจากที่หวังจิ่นหรงพาไป๋ลู่กลับมายังจวนโหว ตัวเขาและหานชิงนั้นรีบออกจากจวนไปอย่างรวดเร็ว คงเป็เพราะต้องตามเก็บกวาดร้านหนังสือและเสาะหาร่องรอยของมือสังหารพวกนั้น
ขณะที่ไป๋ลู่นั้นนั่งอยู่ริมหน้าต่างในห้องนอน ในหัวของนางเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์ของวันนี้ ใบหน้าของหวังจิ่นหรงแวบเข้ามาในความคิด ท่าทางที่ดูแข็งกร้าว แต่กลับมีบางครั้งที่อ่อนโยนจนทำให้นางรู้สึกหวั่นไหว
"คนอย่างเขาจะทำดีกับข้าได้นานสักแค่ไหนกัน?"
ความทรงจำเก่าในชีวิตสมัยที่เป็อลิษาก็ผุดขึ้นมา ภาพการถูกทอดทิ้ง การที่ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลือนั้นเป็เื่ปกติที่ต้องพบเจอ
วันนี้เขาอาจทำให้ข้ารู้สึกปลอดภัย แต่ถ้าวันหนึ่งเขาเปลี่ยนใจล่ะ? หากเขาทอดทิ้งข้าเหมือนที่ทุกคนเคยทำ... ข้าไม่อยากตายอีกครั้ง ไม่อยากเผชิญกับความอ้างว้างนั้นอีกแล้ว
เมื่อนึกถึงศัตรูรอบด้านของหวังจิ่นหรงก็ยิ่งทำให้ไป๋ลู่รู้สึกหนักใจ ตอนนี้เขายังปกป้องนางในฐานะภรรยาแต่งก็จริง แต่หากวันหนึ่งเขาหันหลังให้ไป๋ลู่ นางที่มีศักดิ์เป็ฮูหยินในนามของเขา อาจจะกลายมาเป็เป้าหมายของความแค้นของคนเ่าั้แทนก็เป็ได้
อย่าลืมสิว่านี่เป็การแต่งงานเพราะราชโองการ มิใช่การแต่งงานที่มาจากความ้าของหวังจิ่นหรงเอง ความสัมพันธ์ที่ผูกมัดด้วยหน้าที่ ไม่ได้มีความลึกซึ้งที่สามารถพึ่งพาได้ในยามคับขัน
ฉะนั้นความเป็ความตายของไป๋ลู่ หากช่างน้ำหนักกับบ้านเมืองและกองทัพแล้ว ไม่ต้องถามเลยว่าเขาจะเลือกปกป้องอะไร ท้ายที่สุด นางย่อมต้องดูแลชีวิตของตัวเองให้รอดพ้นจากอันตราย ไม่มีใครจะช่วยนางได้ตลอดไป
เพราะฉะนั้น นางจะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด...
ไป๋ลู่ตัดสินใจลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะหนังสือก่อนจะหยิบแผ่นกระดาษเปล่าขึ้นมา พู่กันจุ่มหมึกถูกจรดลงบนกระดาษราวกับ้าปลดเปลื้องความคิดของตนให้เป็อิสระ
"หากข้าจะหย่ากับท่านโหว...ข้าต้องวางแผนให้รอบคอบเสียก่อน"
แม้ไป๋ลู่จะไม่รู้ความเป็ไปในยุคสมัยนี้มากนัก แต่จากการปะทะฝีปากกับหวังจิ่นหรงในวันแรก นางก็พอจะจับแนวทางบางอย่างได้
สมรสพระราชทานของฮ่องเต้นั้นไม่ใช่ว่าจะหย่ากันโดยง่าย การหย่าร้างในกรณีนี้จำเป็ต้องมีฝ่ายหนึ่งกระทำผิดร้ายแรงเสียก่อน ถึงจะสามารถเขียนหนังสือหย่าและแยกทางกันได้อย่างถูกต้อง
หากอยากเป็อิสระ ข้าต้องหาวิธีที่เหมาะสมที่สุด... แต่จะทำได้อย่างไรเล่า?
หลังจากหย่ากันแล้ว ไป๋ลู่มีความฝันที่อยากจะเปิดธุรกิจโรงน้ำชาเป็ของตัวเอง หากใช้สินเดิมของครอบครัวตระกูลไป๋นั้นก็ใช่ว่ามันจะเป็ไปไม่ได้
ในโลกเดิมนั้นอลิษาไม่มีทั้งเงินและอำนาจ แต่โลกใหม่ไม่ได้เป็เช่นนั้นแล้ว ไป๋ลู่มีทั้งทรัพย์สมบัติและคนที่จงรักภักดีเช่นผิงผิง
“ฮูหยินเ้าคะ ท่านเอาสินเดิมของท่านมาเปิดร้านน้ำชานี้จะไม่เป็ไรใช่ไหม… บ่าวไม่เคยเห็นฮูหยินทำการค้าหรือทำอาหารชงชามาก่อน ปกติคุณหนูเอาแต่เย็บปักถักร้อย วาดภาพ ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้”
“แล้วเ้าชอบแบบไหนมากกว่ากันหล่ะ ผิงผิง”
“แน่นอนว่าข้าต้องชอบท่านในตอนนี้มากกว่า ถึงจะชอบพูดจาและทำท่าทางแปลกๆ แต่ท่านกลับเข้มแข็งไม่อ่อนแอดังเช่นเคย แต่ว่าท่านโหวจะยินยอมหรือไม่”
“ทำไมเขาต้องไม่ยินยอมด้วย ในเมื่อข้านั้นตั้งใจหาเงินด้วยตัวเอง”
ไป๋ลู่พอจะเดาเหตุผลได้ มิวายว่าอำนาจของสตรีคงจะถูกลิดรอนในยุคสมัยนี้อีกเช่นเคย...
“ก็เพราะว่า...สตรีที่ออกเรือนแล้ว ควรอยู่บ้านช่วยแบ่งเบางานของสามี ไม่มีใครออกมาเปิดร้านหรือทำธุรกิจกันหรอกเ้าค่ะ”
หลังจากที่ผิงผิงพยายามห้ามปรามนายของตน แต่ด้วยปณิธานอันมุ่งมั่นของไป๋ลู่ทำให้นางมิอาจทัดทานได้ ในที่สุด ทั้งสองนายบ่าวจึงตัดสินใจที่จะออกมาจากจวนโหวอีกครั้งเพื่อไปเรียนรู้การทำธุรกิจ
แต่หลังจากก้าวออกจากเรือนนอนไป๋ลู่ก็ต้องประหลาดใจบรรยากาศในจวนโหวดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
บ่าวรับใช้ที่เคยเดินเพ่นพ่าน พูดคุยกันอย่างออกรส บัดนี้ต่างก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเคร่งครัด ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาหรือตอแยกับนางเหมือนแต่ก่อน
ไป๋ลู่กวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย พลันสังเกตเห็นว่ามีหลายคนที่ดูไม่คุ้นหน้า เหมือนว่าบ่าวไพร่ในจวนนี้จะถูกเปลี่ยนใหม่หลายคน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” นางพึมพำในใจ ดวงตาสีเทาอ่อนกำลังฉายแววครุ่นคิด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้