ข่าวว่ามาว่าตอน่แลกเปลี่ยนความรู้ในคาบเรียนยุทธ์เมื่อวานยามสาย หลิวเล่ยเกิดคลุ้มคลั่งทำร้ายศิษย์ยากไร้จนาเ็สาหัส ดีที่อาจารย์ของสำนักมาห้ามไว้ได้ทันเวลา ถึงได้ไม่มีความโกลาหลวุ่นวายสู่ภายนอก
ได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นต้องรักษาตัวอยู่ถึงหนึ่งเดือนจึงจะฟื้นตัวกลับมาได้
อาจารย์ร่างกำยำนิยมชื่นชมในเ่ิู ไม่อยากให้ศิษย์าเ็
“โอ๊ะ? ท่านอาจารย์เวิน ท่านพูดอะไรกันน่ะ?” หลิวเล่ยหัวเราะ “สำนักไม่ได้สนับสนุนให้ใช้เวลารื่นรมย์่ท้ายของคาบเรียนวรยุทธ์ ในการร่วมด้วยช่วยกันเรียนหรอกหรือขอรับ?”
เอ่ยจบแล้วก็มองเ่ิู
แววตาเผยเย้ยเยาะดูถูกซึ่งหน้า หลิวเล่ยหัวเราะ “เฮอะๆ ทำไมวะ? ตอนก่อนเข้าสำนักมาเ้าก็ก่อเื่ใหญ่เลยไม่ใช่หรือ? ตอนนั้นไม่ใช่ว่าโคตรจะบ้าคลั่งหรอกหรือ? ทำไมตอนนี้ทำเป็เต่าหดหัวเข้ากระดอง แค่จะแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ธรรมดาๆ ยังไม่กล้า หลบอยู่หลังคนอื่นไปทั่ว...”
เ่ิูไม่โต้ตอบอันใด ทว่าชำเลืองมองหลิวเย่ในหมู่คนกลุ่มนั้น
หลิวเย่ยืนอยู่หลังหลิวเล่ย ใบหน้าเผยรอยยิ้มโฉดชั่วไม่คิดจะปิดบัง
คือสีหน้าของคนที่แผนร้ายสำเร็จอย่างงดงาม
ครานี้ ถึงแม้เขาจะยังลังเลขลาดกลัว แต่กลับไม่หลบตาเ่ิู กลับจ้องมองกลับอย่างท้าทาย ปากขยับขึ้นลงไร้เสียง
แต่รูปปากก็ทำให้แยกแยะออกว่าอะไรเป็อะไร “เ้าตายแน่ชิงหยู” ห้าคำ!
เ่ิูเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
เื่ที่ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้บังเอิญพบพานอะไรเลย
ต้องเป็เพราะหลิวเย่ชักใยอยู่เื้ั เด็กจมูกอินทรีถึงได้มาหาเื่เขาถึงที่ ใช่แล้ว.. แซ่ก็เหมือนกันทั้งคู่ อาจเป็ญาติฝั่งไหนฝั่งหนึ่งกันก็เป็ได้
เห็นทีคราวก่อนจะเบามือไปหน่อย เ้าโง่บรรลัยนี่ถึงยังไม่จำใส่กะโหลกสักที!
คิดยืมกระบี่คนอื่นฆ่าหรือ?
น่ากลัวว่ากระบี่ของเ้า คงทู่ไร้ความคมสินะ!
คิดถึงตรงนี้ เ่ิูก็มองรอยหมัดบนเสาเหล็กสิ้นสนิม ประมาณค่าเรี่ยวแรงในใจ
เ่ิูยกยิ้มมุมปากข้างหนึ่ง ส่งสัญญาณพร้อมออกศึก
เขามองหลิวเล่ยหัวจรดเท้า เท้าจรดหัว หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “แลกเปลี่ยนความรู้หรือ? ก็ดีนะ แต่เ้าทั้งแห้งกรอบ ผอมกะหร่องอย่างกับอะไรดี เหมือนลิงกะพร่องกะแพร่งอย่างกับแกะ กลัวว่าข้าจะยั้งมือไม่อยู่สู้จนเ้าตายคามือน่ะซี่?”
“ว่าอะไรนะ?” หลิวเล่ยชะงัก ราวกับว่าได้ยินเื่โจ๊กอันดับหนึ่งของจักรวาลขึ้นมา เขาหัวเราะเสียงดัง “เ้า...ต่อยข้าตาย? เฮอะๆ...ฮ่าๆ ฮ่าๆๆๆ...”
เหล่าลูกสมุนติดตามหลิวเล่ยต่างก็หัวเราะลั่น
“ขำจะตายอยู่แล้วว่ะ ทำศิษย์พี่หลิวเล่ยเป็แผลเชียวหรือนี่...”
“ไม่รู้หรือไงว่าคนที่โดนศิษย์พี่หลิวเล่ยสู้ด้วยจนตายน่ะกี่ศพเข้าไปแล้ว?”
“เมื่อวานไอ้เปรตโง่นั่นมันก็พ่นลมอย่างงี้ ผลเล่า? ยังนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่โรงหมออยู่เลย หมอบอกว่าต้องนอนพักหนึ่งเดือนเต็มถึงจะเดินได้...”
“ฮ่าๆๆ บ้า บ้าฉิบหาย!”
หลิวเย่หัวเราะท้องแข็ง
“เยี่ยม ตอนแรกข้าก็ไม่ได้สนใจอะไรเ้าหรอกนะ ไม่คิดเลยว่าจะบ้าได้ขนาดนี้” หลิวเล่ยขำขันเยี่ยงโรคจิต ยกริมฝีปากขึ้นแล้วว่า “สำหรับเ้า ยาจกแสนยโสผู้นี้ ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย...เพียงแค่เ้ามีพลัง ถึงกระทั่งจะฆ่าข้าได้ ข้ารับประกันว่าจะไม่มีคนตระกูลหลิวคนใดแหยมมารบกวนเ้าอีก”
“ไหนๆ เ้าก็รนหาที่ตายแล้ว งั้นก็มาสิ...”
เ่ิูก้าวย่างช้าๆ ไปยืนอยู่บนสนามแสดงยุทธ์
อาจารย์กำยำร้อนใจ ร่ำๆ จะห้ามปราม ทว่าเ่ิูกลับส่ายหน้า
ั์ตาหลิวเล่ยปรากฏกลิ่นอายอันตรายดุจอสรพิษรัดรึงเหยื่อ ก้าวทีละก้าวๆ มายืนอยู่ตรงหน้าเ่ิู ห่างไปสิบเมตร
“ข้าจักลงมือ...แล้ว!”
คำว่าแล้วยังไม่ทันขาดคำดี หลิวเล่ยก็ลงมือฉับพลัน
จังหวะก้าวของเขากลับกลอกลอกกลิ้ง ไม่ถึงชั่วกะพริบตาก็ประชิดหน้าเ่ิู วาดหมัดรวดเร็ว
อากาศธาตุสั่นไหวดั่งฟ้าผ่า
รังสีกว้างะเิไปสี่ทิศ แรงลมเสียดทานกรีดผิวเนื้อ
ขั้นตอนทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นไวดุจฟ้าแลบ
กลุ่มคนที่มุงดูอุทานออกมา สุดจะหักห้ามความตะลึงลานนั้นไว้ได้
เร็วเกินไปแล้ว!
มัดมือชกไม่ให้ตอบโต้ทันชัดๆ
เ่ิูมองภาพที่ตนกำลังจะถูกโจมตีด้วยั์ตาทั้งสองข้าง รูปกายแวบประกายขึ้นมา เสมือนเป็โชคชะตา และเสมือนว่าคิดคำนวณเส้นทางจู่โจมของหมัดนั่นไว้เรียบร้อยแล้ว จึงหลบหลีกหมัดนั้นไปได้หวุดหวิด
“เฮอะๆๆๆ...”
ข้อมือหลิวเล่ยสั่นะเืรุนแรง เปลี่ยนรูปเป็กรงเล็บแหลมคม ปลายมีสีแดงเบาบางราวกรงเล็บเหล็กแดงร้อน ตะครุบไหล่เ่ิูอย่างไร้ปรานี
ครานี้รวดเร็วกว่าคราวแรกเสียอีก
“นั่นมัน...กระบวนยุทธ์นี่!” มีคนะโขึ้นมา
“ไม่ยุติธรรมนี่ หลิวเล่ยรู้กระบวนยุทธ์แล้วนี่ ศิษย์พี่เ่ิูเพิ่งเริ่มฝึกร่างกายเอง...”
“แย่แล้ว กระบวนท่าอสรพิษกับกระบวนท่าหมีโอบเป็แค่ท่าฝึกร่างกายพื้นฐาน ไม่ใช่ไว้สู้รบ ไม่มีประโยชน์ทางการสู้สักนิด...ศิษย์พี่ชิงหยูตกอยู่ในอันตรายแล้ว!”
ท่ามกลางเสียงอุทานเหล่านี้ เ่ิูก็ถูกโชคหล่นทับอีกครั้งด้วยหลบท่าที่สองของหลิวเล่ยได้เส้นยาแดงผ่าแปด
อาจารย์บึกบึนสีหน้ากระวนกระวาย แทบลืมหายใจ หากแม้นเ่ิูจนตรอกเข้าจริงๆ เขาก็จักทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดการประมือที่ไร้ยุติธรรมนี้ให้จงได้
ครืน!
หลิวเล่ยยกหมัดถัดมาถล่มทลายหน้าปฐี
พื้นแตกร้าวระโยงรยางค์เป็ใยแมงมุม ถูกบนหินหินทะลัก ถูกกลางหินหินสลายเป็ผุยผง คิดได้แน่ว่า หมัดนี้ตกที่ร่างมนุษย์หน้าไหนแล้วจักมีผลอะไรตามมา
หลิวเล่ยจงใจจะฆ่าแกงกันชัดๆ!
เหล่าหนุ่มสาวปิดปากตัวเองแน่น ใครที่ปอดแหก ก็หลับตาปี๋
ขืนเป็เช่นนี้ต่อไป มีหวังเ่ิูได้หลบไม่พ้นเข้าในสิบหมัดนี้แน่
“เฮอะๆ ไม่ใช่ว่าเ้าบ้าบิ่นนักหรอกหรือ? หลบหาอะไรล่า...”
“ไอ้ขยะปี้ป่น ไม่กล้ารับหมัดข้าเต็มรักสักหมัดหน่อยหรือ?”
“เฮอะๆ มองเ้าตอนนี้แล้วไม่ต่างอะไรกับหนูกอดรังกบดานสุดท้ายตัวเองเลยว่ะ...”
“อย่าหลบน่า น่าอดสูนัก รีบมาให้ข้าต่อยเ้าให้ตายดีกว่าน่า เฮอะๆๆๆ!”
หลิวเล่ยนับวินาทีก็ยิ่งบ้าคลั่ง
จังหวะเท้าเขายิ่งนานก็ยิ่งเปลี่ยนร้อยแปดพันเก้าอย่างยากเดาทาง หมัดกับกรงเล็บสับเปลี่ยนกันต่อเนื่อง คือทักษะาที่ทรงพลานุภาพเหนือธรรมดา ใช้กำลังกายทั้งหมดแสดงออกมา พลังแรงน่าสะพรึง อากาศธาตุรอบด้านคร่ำครวญ แรงลมปะทะรุนแรงดุจคลื่นโหมกระหน่ำน่าหวั่นเกรง
เ่ิูเปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางอย่างจวนตัว
ทุกครั้งที่เจียนจะถูกหมัด กายเนื้อจักฉวัดเฉวียนราวติดปีกบิน
ทุกคราที่เด็กหนุ่มอยู่ถึงพริบตาสุดท้าย ก็จักพลันเหมือนโชคเข้าข้าง ลี้ห่างการโจมตีถึงชีวิตนั้นไปได้ ปล่อยความตายรอิญญาเขาเก้อ
ดวงตาอาจารย์ผู้กำยำ ค่อยๆ เอ่อท้นด้วยตระหนก
และเหล่าลูกศิษย์ที่ปิดตาเป็พัลวัน ก็ริเริ่มลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
“นั่นมัน...หรือว่าจะเป็กระบวนท่าอสรพิษ”
“ศิษย์พี่ชิงหยูใช้กระบวนท่าอสรพิษหลบลี้...ทำได้อย่างไรกัน กระบวนท่าอสรพิษใช้แบบนี้ได้ด้วยหรือ?”
“ที่ผ่านมาก็เป็ท่าสำหรับฝึกร่างกายพื้นฐาน เอามาใช้ประโยชน์ในการสู้รบจริงได้ด้วยหรือนี่?”
ศิษย์มากมายก็มองเห็นความลึกล้ำของภาพที่พวกเขาเห็นตรงหน้าด้วยเช่นกัน
พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่ากระบวนท่าอสรพิษที่มีมาเพื่อใช้ฝึกฝนร่างกายเบื้องต้นจักสามารถนำมาใช้ในการสู้รบจริงได้ มองทั่วกายเ่ิูดั่งพญางู ปราดเปรียวเหลือหลาย อ่อนพลิ้วไร้กระดูก นำพาเคล็ดวิชานี้ถึงจุดสูงสุด เพลงสังหารมากมายของหลิวเล่ยก็กลายเป็หมันเพราะไม่อาจถูกตัวเ่ิูได้แม้แต่เสี้ยวเดียว
นี่หรือคืออัจฉริยะ?
หรือว่ากระทั่งวิชาขั้นต่ำที่สุด หากได้มาอยู่ในมือเขา ก็สามารถผันแปรเป็แวววาวเยี่ยงที่จินตนาการไม่ออกได้?
“หยุดอยู่แค่นี้แหละ” เ่ิูกายเนื้อเปล่งประกายทันใด ‘งูบินทลายสิ้น’ ออกมา มันวาวไปทั่วระยะสี่ห้าเมตร เบิกทางเหินห่าง เอื้อนเอ่ยต่อ “กระบวนยุทธ์ของเ้า ข้าทำลายมันหมดแล้ว มีทั้งหมดสิบหมัดหกกรงเล็บ แต่หากเป็เช่นนี้ต่อไป มาเถอะ ข้าจักอ่อนข้อให้เ้า!”
“อ่อนข้อให้ข้า? เฮอะๆๆ ไอ้เศษเดน มาเถอะ ข้าจะฆ่าเ้าให้เละ!”
หลิวเล่ยยังบุกต่อเป็บ้าเป็หลัง อันที่จริงก็บ้าคลั่งมานานแล้ว เสียงข่าวว่าเพราะโกรธเกรี้ยว
หรือว่าเขาอาจเคยถูกดูถูกมาก่อน?
เสียงดังไหว ใต้เท้าะเิพลังมหาศาล หลิวเล่ยดูราวพญาอินทรีแสนสง่าล่าเหยื่อ เร็วประหนึ่งฟ้าแลบ ซ้ายกรงเล็บขวาหมัด ตะบี้ตะบันจะสังหารเ่ิูให้สิ้น
หมัดเล็บรวมกัน!
คือกระบวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา
เ่ิูยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ั์ตาฉาดฉายแววน่ากลัว
ตอนที่สายลมกรรโชกจักต้องตกร่างกาย เขาก็หดตัวลงทันที เพียงเท่านี้หมัดและกรงเล็บของหลิวเล่ยก็ไม่อาจแตะต้องเขาได้แม้แต่ปลายผม เวลาที่ตัวเบานั้น ไหล่เขาพลันต่อต้าน พุ่งเข้าชนด้วยความเร็วประหนึ่งแสง
ท่าทางเช่นนี้ คือท่า ‘ชน’ หนึ่งในเจ็ดอักษรของกระบวนท่าหมีโอบ
ธรรมดาไร้หรูหราเลิศเลอ
ทว่าสำหรับหลิวเล่ยในยามนี้แล้ว มันกลับกลายเป็กระบวนท่าที่น่ากลัวที่สุดในโลก เพราะเพิ่งรู้ตนว่าหมดหนทางหนีเหมือนหนูติดจั่น
่เวลาพริบตาที่ไม่อาจอธิบายเป็คำพูด
เปรี้ยง!
หลิวเล่ยที่ลอยคว้างกลางอากาศเพื่อล่าเหยื่ออันโอชะนั้น ตัวปลิวละล่อง กระเด็นกระดอนเหมือนถูกค้อนั์ทุบเข้าเต็มรัก โอดครวญต่ำเบา หกคะเมนตีลังกาไปอีกทาง
รอบข้างอุทานใ
หลิวเล่ยหล่นลงพื้น หน้าแดงก่ำ กัดปากเอาเป็เอาตาย เืจึงยังไม่พุ่งออกมากลบปาก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นๆ ลงๆ ถี่รัว...
การชนเมื่อครู่ เสมือนภูผาขนมาถล่มทับ รังหน้าอกหลิวเล่ยเ็ปยิ่งนัก ราวกับว่าอีกกระดูกหักร้าว พลังกระแทกบุกมา นำความกลัวระลอกโตมาสู่เขา
ความจริงแล้ว หลิวเล่ยยังไม่รู้ตัวเองเลยว่า ไฉนชั่วพริบตานั้น เขาถึงได้กลายเป็ฝ่ายแพ้พ่าย
กระบวนท่าอสรพิษและกระบวนท่าหมีโอบ ศิลปะฝึกร่างกายขั้นต่ำสุดพวกนี้ เขาฝึกฝนมันเมื่อนานมาแล้ว ชำนาญเป็ที่สุด ด้วยเหตุนั้นจึงไม่เคยอยู่ในสายตาเลย ทว่าพอแสดงออกมาจากเ่ิูแล้ว กลับกลายเป็เหมือนท่าแปลกหน้า แม้แต่ ‘หมัดกรงเล็บสะกดิญญา’ ทั้งเก้าของเขาก็ยังไม่อาจต้านทาน
หลิวเย่และคนอื่นๆ นิ่งอึ้งแข็งค้างกันจนหมด
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อในภาพที่ตัวเองมองเห็นตรงหน้านี้เลย
หลิวเล่ย...ถูกชนจนปลิวหรือ?!
ถูกท่าง่ายดายเยี่ยง ‘พญาหมีชน’ จนพ่ายแพ้?
ล้อกันเล่นหรือเปล่า?
“เฮอะๆ เฮอะๆๆๆ...” หลิวเล่ยหัวเราะบ้าบิ่นลอยมา ั์ตาวับวามด้วยแววเหี้ยมอันตรายยิ่งยวด ราวกับสัตว์ป่าาเ็ “เ้าทำข้าเจ็บได้แล้วจริงๆ เจ็บแล้ว ไม่น่าเชื่อ...วันนี้พวกเราไม่ตายกันไปข้างหนึ่งก็ไม่มีทางหยุด ฮ่าๆ ข้าจะฉีกเ้าเป็ชิ้นๆ ให้ได้...”
“โอ๊ะ?” เ่ิูหัวเราะ “ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนการเรียนรู้หรอกหรือ? ทำไมกลายมาเป็ไม่ตายกันไปข้างก็ไม่หยุดกันเล่า?”
“หามารดาเ้าเถอะ ใครบอกจะเรียนรู้กับเ้า ข้าคนนี้นี่แหละจะฆ่าเ้าให้ตาย...” หลิวเล่ยหัวเราะหลุดโลก ขำขันจนน้ำตาแทบจะหลั่งออกมาอยู่รอมร่อ “ข้านี่แหละจะฆ่าเ้าอย่างโคตรจะสนุกสนาน...”
คนๆ นี้บ้าเกินไปแล้ว!
“เจ็บนิดเจ็บหน่อยก็สติแตกซะแล้ว คุณสมบัติทางยุทธ์ตกต่ำเสียจริง” เ่ิูกระดิกนิ้ว “เ้าทำข้ากลัวตัวสั่นเลยนะเนี่ย ถ้างั้นก็เข้ามาสิ เข้ามาฆ่าข้าให้ตาย!”
“มารดาเ้าเถอะ...ไอ้ระยำชั้นต่ำ อย่าหลบอย่าซ่อนล่ะ มาเผชิญหน้ากันให้มันรู้ไปเลย!”
หลิวเล่ยรู้สึกเหมือนตัวเองถูกล่อหลอกเป็เื่เล่น ะเิหมัดใส่เต็มแรง
หมัดนี้เอง เปี่ยมเต็มด้วยแรงโกรธ เสียงลมกรีดร้องและสายฟ้าฟาดขึ้นมา ั์ตาเปล่าก็มองเห็นกระแสพลังบิดเบือนรอบกำปั้น ร้ายแรงเสียยิ่งกว่าหมัดที่ประทับรอยไว้บนเสาเหล็กกล้าไร้สนิม ไม่อาจรู้ว่าจะน่ากลัวขึ้นทวีคูณขนาดไหน!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้