ใบหน้าที่เด็ดเดี่ยว ดวงตาที่ดุดันเยี่ยงพยัคฆ์ แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม!
ร่างกายนั้นกำยำ รูปร่างสูงใหญ่ประมาณสองเมตร เขายืนบังอยู่ตรงหน้าของิอวี่ด้วยความเด็ดเดี่ยว
เงาของคนคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคือาาอสูร!
เพียงแต่ว่า มันไม่ใช่ร่างจริงของาาอสูร แต่เป็เศษิญญาก่อนตายของเขาที่อยู่ในจิตสำนึกของิอวี่ จิตสำนึกนี้คือสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าาาอสูรไม่ยอมแพ้ เขามีความโกรธและบารมีที่น่าเกรงขาม!
เงานี้ไม่มีความคิด เพียงเมื่อััได้ว่าิอวี่กำลังตกอยู่ในอันตราย เขาควรจะออกมาช่วย เพื่อทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้
เงาจิตสำนึกของาาอสูรหันหลังกลับไปอีกครั้ง เขากำหมัดแน่นแล้วทำมือไขว้เป็กากบาทไว้ด้านหน้า แสงสีดำอ่อนๆ ปรากฏขึ้นมารอบตัวของเขา แล้วห่อหุ้มตัวของิอวี่รวมไปถึงิเฉินเหยียนและองครักษ์หน้าพระที่นั่งทั้งห้าคนเอาไว้!
ตอนที่แสงสีดำกำลังก่อตัวขึ้นนั้นแสงลมปราณสีน้ำเงินเทาก็พุ่งมาถึงพอดี ลมปราณกระบี่จำนวนมากปะทะกับแสงที่ปกคลุมอยู่จนเกิดเสียงแหลมแสบแก้วหูขึ้น ถึงแม้ิอวี่จะอยู่ด้านใน แต่ก็ยังััได้ถึงความน่ากลัวของแสงกระบี่นั่น
จิตสำนึกของาาอสูรยังคงอดทนอย่างต่อเนื่อง เขาสูดลมหายใจเข้าไปครั้งแรก ครั้งที่สอง ... ครั้งที่สาม ...
จนสุดท้าย เขาอดทนได้อยู่ประมาณห้าอึดใจ!
ท่ามกลางลมปราณกระบี่ที่บ้าคลั่งของต้วนอู๋ซวง แสงป้องกันสั่นคลอนอยู่อย่างต่อเนื่อง มันหดเล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมันปกคลุมได้ไม่ถึงสามคนแล้ว!
แต่ว่าเงาจิตสำนึกของาาอสูร เมื่อรวมกับิอวี่ ิเฉินเหยียน แล้วก็องครักษ์หน้าพระที่นั่งอีกห้าคน ... มันมีถึงแปดคน นั่นก็หมายความว่ามีคนถูกบีบให้ต้องอยู่นอกวงป้องกันนี้
“ช่วยข้าด้วย ... ”
องครักษ์หน้าพระที่นั่งคนหนึ่งถูกบีบออกมานอกวง เขาถูกลมปราณกระบี่เล่นงานอย่างหนัก หลังจากที่ร้องเสียงหลงออกมาร่างของเขาก็ถูกกลืนเข้าไปในระลอกคลื่นพลังในทันที!
“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าอวี่เอ๋อร์ใช้ไม้ตายอะไรในการรักษาชีวิต แต่ตอนนี้มันไม่สามารถรองรับคนได้มากขนาดนั้นแล้ว พวกเ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือเปล่า?” ิเฉินเหยียนมองไปที่องครักษ์หน้าพระที่นั่งอีกสี่คนที่เหลือ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหมายที่ค่อนข้างชัดเจนอย่างมาก
ิอวี่กลับพูดอย่างหนักแน่นว่า “ข้าไม่มีทางทนเห็นคนของต้าิตายไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ข้าทำไม่ได้ จะต้องมีวิธีการที่ดีกว่านี้!”
ิอวี่แย้งความคิดเห็นของิเฉินเหยียน ถึงแม้มันจะเป็วิธีการแก้ไขสถานการณ์อย่างหนึ่ง แต่ก็เป็วิธีที่โเี้เกินไป
“นั่นไม่ใช่การตาย แต่มันคือการเสียสละ!”
องครักษ์หน้าพระที่นั่งทั้งสี่คนแสดงสายตาที่แน่วแน่ออกมา จากนั้นพวกเขาก็ออกไปนอกวงของแสงป้องกัน เงาของคนทั้งสี่ถูกกลืนเข้าไปในพลังงานสีน้ำเงินเทา และลมปราณของพวกเขาทั้งหมดก็หายไปในทันที!
ในเวลาคับขัน องครักษ์หน้าพระที่นั่งทั้งสี่คนเลือกที่จะตาย ใช้ชีวิตของพวกเขาแลกกับชีวิตของิอวี่!
ในเวลานี้แสงป้องกันกำลังหดตัวลงเรื่อยๆ จนแขนขวาของิเฉินเหยียนนั้นออกไปนอกวง เขาส่งเสียงร้องออกมาแล้วแขนของเขาก็แทบจะแหลกไปในทันที!
“ไม่!”
ิอวี่เดินทางมายังเมืองชิงหยวน เขาได้เห็นศพที่ถูกน้ำแข็งผนึกเอาไว้เกลื่อนกลาดเต็มไปหมด มันคือชีวิตของคนบริสุทธิ์ ิอวี่เห็นคนข้างกายตายไปต่อหน้าต่อตา การตายของพวกเขาคือการทำเพื่อเขา มันทำให้ิอวี่รู้สึกหัวหนักอึ้ง
อีกทั้งตอนนี้เขายังมาเห็นแขนขวาของพ่อแท้ๆ ของเขาถูกฟันจนแหลกละเอียดอีก! ทุกอย่างนี้มันเป็ฝีมือของต้วนอู๋ซวง!
“ข้าจะฆ่าเ้า!”
ิอวี่ถือกระบี่หวงฉวน คิดจะออกไปนอกแสงป้องกันแล้วฆ่าต้วนอู๋ซวง แต่ิเฉินเหยียนกลับใช้มือซ้ายดึงแขนของิอวี่เอาไว้ เพราะเขาเสียแขนขวาไปแล้วจึงทำให้รู้สึกเ็ปมาก เขาพูดด้วยสีหน้าซีดเซียวและเคร่งเครียดอย่างมากว่า “อวี่เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเ้าทรมานใจแค่ไหน แต่เ้าจะต้องมีสติ ไม่อย่างนั้นการเสียสละของพวกเขาจะสูญเปล่า พวกเขาเสียสละเพื่อให้เ้ามีชีวิตต่อไป ดังนั้นเ้าจะต้องมีชีวิตต่อไป!”
การเสียสละของพวกเขา ก็เพื่อให้เ้ามีชีวิตต่อไป
เ้าจะต้องมีชีวิตต่อไป!
คำพูดของิเฉินเหยียนดังก้องอยู่ในหูของิอวี่อย่างต่อเนื่อง เขาเริ่มลดแรงดิ้นรน และยืนอยู่กับที่โดยไม่ขยับ ราวกับว่าเสียงแสบแก้วหูที่เกิดภายนอกเขาก็ไม่ได้ยินมันอีกแล้ว
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ลมปราณกระบี่ที่อยู่ภายนอกแสงป้องกันก็เริ่มลดความรุนแรงลง และในขณะเดียวกัน แสงป้องกันของาาอสูรก็ไม่อาจต้านได้ไหวจนใกล้ที่จะแตกแล้ว
“ไป”
เศษิญญาจิตสำนึกของาาอสูรหันกลับมาะโ เขาใช้แสงป้องกันที่เหลือห่อหุ้มตัวของิอวี่และิเฉินเหยียนเอาไว้แล้วผลักพวกเขาไปทางด้านหลัง
กระบี่ที่ต้วนอู๋ซวงฟันออกมาเมื่อครู่มีความรุนแรงมากจนเศษิญญาของาาอสูรไม่อาจผลักพวกเขาออกจากวงล้อมของพลังงานสีน้ำเงินเทาเ่าั้ได้ แต่ในตอนนี้เป็เวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว!
ิอวี่เห็นเศษิญญาจิตสำนึกของาาอสูรถูกลมปราณกระบี่แสงสีน้ำเงินเทาแช่แข็ง เล่นงาน จนสลายกลายเป็แค่เศษน้ำแข็ง ...
จากนั้นแสงป้องกันที่ห่อหุ้มตัวของิอวี่กับิเฉินเหยียนก็ตัดขาดจากลมปราณของโลกภายนอก มันพุ่งออกไปราวกับลูกะุและหายไปจากเส้นขอบฟ้า!
และในเวลานี้ ลมปราณกระบี่ก็หายไปด้วยเช่นกัน
ทุกแห่งที่กระบี่หนิงปิงฟันผ่านไปกลายเป็เกล็ดน้ำแข็ง บนพื้นเต็มไปด้วยร่องรอยของกระบี่เต็มไปหมด!
ต้วนอู๋ซวงเก็บกระบี่ในมือ ดวงตาของนางกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ นางไม่สามารถััถึงลมปราณชีวิตใดๆ เลย
ด้านหน้าที่ห่างออกไปมีเศษน้ำแข็งอยู่จำนวนมาก พูดให้ถูกก็คือเป็ศพน้ำแข็งที่ถูกลมปราณกระบี่ฟันเล่นงาน
“ท่านพี่ ... ”
ต้วนอู๋เสวียเดินเอามือปิดหัวไหล่ซ้ายเข้ามา เขาก้มหน้าลงมองดูเศษน้ำแข็งเ่าั้และเงยหน้ามองไปที่ต้วนอู๋ซวง “ท่านพี่ ฆ่าเ้าเดรฉานนั่นไปแล้วใช่ไหม?”
ถึงแม้คำตอบในใจของต้วนอู๋เสวียนั้นจะค่อนข้างมั่นใจ แต่เขาก็ยังอยากได้ยินจากปากของต้วนอู๋ซวงอีกที
“เขายืนต้านพลังอยู่หน้าสุด คนที่อยู่หน้าสุดก็คือคนแรกที่ต้องตาย เศษน้ำแข็งพวกนี้ก็น่าจะเป็ศพของเขา” ต้วนอู๋ซวงชี้ไปที่กองเศษน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้าแล้วพูดขึ้นมาอย่างเรียบง่าย
“ยอดเลย! ท่านพี่ ท่านทำได้เยี่ยมไปเลย!”
ต้วนอู๋เสวียดีใจจนร้องะโออกมา อารมณ์ขุ่นมัวของเขาหายไปเกือบหมดแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สะใจเลยขากเสมหะแล้วถ่มลงไปที่กองน้ำแข็งนั่นแล้วใช้เท้ากระทืบไปอีก เขาพูดอย่างสะใจว่า “เ้าตัดแขนข้าไปข้างหนึ่ง ข้าก็จะให้เ้าเหลือแค่กองน้ำแข็งนี่เท่านั้น!”
“ท่านพี่ พวกเขาตายหมดแล้วใช่ไหม?” ต้วนอู๋เสวียดีใจมากเลยพูดถามขึ้นมาอีก
“ไม่ กองน้ำแข็งนี่มันมีทั้งหมดหกกอง หนีไปได้คนหนึ่ง”
“ใครหรือ?”
ต้วนอู๋เสวียพูดขึ้นมาอย่างกระวนกระวายว่า “อย่าบอกนะว่าิอวี่ คนที่หนีไปคงไม่ใช่เขาหรอกใช่ไหม?”
ต้วนอู๋ซวงมองไปที่ต้วนอู๋เสวีย แล้วจ้องเขม็งจนน้องชายกลืนน้ำลายกลับไปแทบไม่ทัน “ข้าก็บอกไปแล้วไง เ้าคนไม่เอาไหนนั่นมันยืนรับพลังอยู่หน้าสุด คนที่หนีไปไม่ใช่เขา”
“อ๋อ ... ถ้าอย่างนั้น ... ” ต้วนอู๋เสวียไม่กล้าพูดเสียงดังอีกแล้ว เขารู้ดีว่าเวลาต้วนอู๋ซวงโมโหนางก็จะมีสีหน้าแบบนี้
“ิเฉินเหยียน”
“ไม่เป็ไร ... ท่านพี่อย่าได้โกรธไปเลย ขอแค่เ้าเดรฉานนั่นมันไม่อยู่แล้วก็พอ ถึงิเฉินเหยียนจะหนีไปได้ ในหนึ่งปีเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”
“ทำไมเ้าถึงได้คิดว่าจัดการเ้าคนไม่เอาไหนนั่นแล้วก็พอ เ้าคิดว่าเขาร้ายกาจกว่าเ้าอย่างนั้นหรือ?” ต้วนอู๋ซวงไม่ได้ตอบคำถามของต้วนอู๋เสวีย แต่ถามกลับไปแทน
เมื่อััถึงสายตาที่เ็าอย่างมากของพี่สาว ต้วนอู๋เสวียก็เข้าใจทันที ที่ต้วนอู๋ซวงโกรธนั้นไม่ใช่เพราะิอวี่ การตายของิอวี่ถ้าพูดกันตามตรงแล้วมันไม่ได้ทำให้ต้วนอู๋ซวงรู้สึกอะไรเลย
ปกติเวลาที่นางฆ่าใคร นางไม่เคยจำด้วยซ้ำว่าใครตาย แล้วก็ไม่จำเป็ต้องไปจำด้วย
ความรู้สึกว่าสำเร็จหรือ? สำหรับต้วนอู๋เสวียแล้วมันเป็เช่นนั้น แต่สำหรับนาง หากการฆ่ามดได้ก็รู้สึกว่าประสบความสำเร็จแล้ว ถ้าอย่างนั้นความสำเร็จของนางก็จะดูต่ำต้อยเกินไปหน่อย
ที่ต้วนอู๋ซวงโกรธนั่นเป็เพราะิอวี่ตัดแขนของน้องชายเขา ในฐานะคนของตระกูลต้วน เป็สิบผู้กล้าแห่งบัลลังก์ปิงเฟิง มันทำให้ต้วนอู๋ซวงรู้สึกเสียหน้า
“ท่านพี่ ท่านฟังข้านะ ที่จริงเพราะข้าประมาทเอง คิดไม่ถึงว่าเ้าเดรฉานนั่นมันจะมีทักษะพลังกายด้วย แล้วยังหลอกล่อให้ข้าตกหลุมพรางของเขาอีก เริ่มแรกข้าก็แค่คิดจะเล่นกับมันเท่านั้น ไม่ได้แสดงฝีมือจริงๆ ออกมาเลย ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ ... ”
“เพียะ!”
ต้วนอู๋ซวงตบหน้าต้วนอู๋เสวียไปหนึ่งที แล้วใช้ดวงตาสีน้ำเงินเทาของนางจ้องไปที่หน้าของต้วนอู๋เสวียจากนั้นก็ตะคอกไปว่า “สิ่งที่ข้า้าไม่ใช่ข้ออ้าง ข้าดูแค่ผลลัพธ์เท่านั้น”
เมื่อถูกต้วนอู๋ซวงตบหน้า ต้วนอู๋เสวียก็ไม่กล้าพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เขาทำได้แค่ก้มหน้าโดยไม่กล้าแม้แต่จะสบตาของนาง
“ครั้งนี้เ้าถูกคนตัดแขนซ้ายไป ต่อให้จะต่อแขนให้เ้าได้ใหม่แต่ต่อไปก็จะต้องมีาแลับแล้วก็อาจมีผลในภายหลังอีก นี่เป็เพราะเ้าประมาท แม้แต่คู่ต่อสู้ที่อ่อนแอกว่าเ้ายังเอาชนะไม่ได้เลย แล้วตัวเองยังมาาเ็สาหัสอีก เ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ”
“ท่านพี่ ข้า ... ”
ต้วนอู๋ซวงยกมือขึ้นขวางไม่ให้ต้วนอู๋เสวียพูด นางไม่อยากฟังต้วนอู๋เสวียอธิบายอะไรอีกแล้ว
ต้วนอู๋ซวงดูดเอาแขนที่ขาดของต้วนอู๋เสวียมาไว้ในมือและเก็บเข้าแหวนเก็บของ จากนั้นก็พูดว่า “ภายในสามวัน เ้าจะต้องต่อแขนใหม่ให้เรียบร้อย รีบกลับไปกับข้าเดี๋ยวนี้เลย”
พูดจบนางก็หายไปทันที ส่วนต้วนอู๋เสวียก็รีบตามหลังไป
ทำให้พื้นที่ตรงนี้เหลือแค่กองเศษน้ำแข็งที่เกลื่อนเต็มพื้น และยังมีดินแดนที่ถูกน้ำแข็งปิดผนึกแห่งนี้ด้วย!
หลังจากนั้นสามวัน เหล่าผู้กล้าแห่งบัลลังก์ปิงเฟิงก็ทำการเข่นฆ่าสังหารครั้งใหญ่ในเมืองชิงหยวน เมื่อไม่มีิอวี่และิเฉินเหยียนขัดขวาง ผู้กล้าแห่งบัลลังก์ปิงเฟิงก็เข้าออกพื้นที่ตามอำเภอใจ สังหารคนในเมืองชิงหยวนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ชาวบ้านในเมืองชิงหยวนตายไปกว่าล้านชีวิต!
ในเวลานี้เอง ข่าวที่เมืองชิงหยวนถูกตีแตกก็แผ่ออกไป ข่าวิอวี่กับองครักษ์หน้าพระที่นั่งห้าคนต้องตายและิเฉินเหยียนหนีไปก็สะพัดไปทั่ว
ทำให้คนในราชวงศ์ต้าิเกิดความหวาดระแวงและตื่นตระหนก พวกเขากำลังลังเลว่า จะรวมตัวกันสู้ดีไหม แต่หากไม่สู้ ศักดิ์ศรีและคุณธรรมของพวกเขามันจะอยู่ไหนกัน?
ในขณะที่พวกเขากำลังลังเลใจอยู่นั้น ผู้กล้าแห่งบัลลังก์ปิงเฟิงก็ทำการปล่อยข่าวอีกว่า ตอนนี้จะหยุดทำการโจมตีราชวงศ์ต้าิก่อน พวกเขาจะให้โอกาสต้าิในการเลือกยอมแพ้และสวามิภักดิ์เอง ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้อีกหนึ่งปี พวกเขาจะยกทัพใหญ่เข้ามาโจมตีและล่มราชวงศ์ต้าิ!
จากนั้น สิบผู้กล้าแห่งบัลลังก์ปิงเฟิงก็ถอนกำลังออกจากราชวงศ์ต้าิไป
เมื่อเห็นผู้รุกรานออกไปแล้วทุกคนก็เริ่มโล่งใจ แต่ไม่นานพวกเขาก็รู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือก จากนี้อีกหนึ่งปี พวกเขาจะเลือกยอมแพ้ดีหรือเปล่านะ?
......
“เวลาจะค่อยๆ ลดทอนทุกอย่างลง คุณธรรม ศักดิ์ศรี บางคนเลือกที่จะยึดถือมันต่อไป แต่เ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าทุกคนเลือกที่จะทำเช่นนั้น? มันเป็ไปไม่ได้เลย”
ผ่านไปสิบวัน ิอวี่นั่งอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งบริเวณชายแดนของราชวงศ์ต้าิ ั์ตาของเขาบวมแดง สีหน้าเศร้าอย่างมาก แต่ก็ยังดีกว่าเมื่อประมาณสิบวันก่อนที่เหมือนทุกอย่างแทบจะหลุดออกมาจากภายในมาก
ตอนนี้ความเสียใจไม่ได้ลดลง แต่เพราะเขาเก็บความเสียใจเ่าั้เอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดในใจ!
เขาเยาะเย้ยตัวเอง ขอบเขตหลุดพ้นปุถุชนขั้นที่เก้าระดับสูงสุด พลังเทียบเท่าราชสีห์สองหมื่นตัว ร่างแห่งหยินหยาง สำหรับชายหนุ่มอายุไม่ถึงสิบเจ็ด มันโดดเด่น มันมีเกียรติ แต่ิอวี่เพิ่งรู้ในวันนี้ว่าทุกอย่างนี้มันยังไม่มากพอ!
เมื่อสิบวันก่อน เขาต้องหนีจาก “เกล็ดน้ำแข็งแห่งโลก” ของต้วนอู๋ซวงมา ทั้งเขายังถูกลมปราณแห่งความหนาวเย็นทำร้ายเอาด้วย
ความเ็ปพวกนั้นมันแทรกซึมไปทั่วร่างกายของิอวี่ ต่อให้เขาจะใช้หยางสูงสุดไล่มันออกจากร่างกายไปได้ แต่ความรู้สึกนั้นเขายังจำได้ขึ้นใจ
หากไม่ใช่เพราะในร่างกายของเขายังมีพลังงานของโสมแก้วเคลือบทองอยู่อีก เกรงว่าเขาคงต้องทิ้งผลข้างเคียงจากแผลแน่!
ในเวลานี้ ิเฉินเหยียนนั่งอยู่ตรงข้ามกับิอวี่ ถึงแม้แขนขวาของเขาจะทำแผลแล้ว และก็ไม่ได้รู้สึกว่าเ็ปอะไรอีก แต่ิอวี่เห็นแล้วก็อดปวดใจไม่ได้
“อวี่เอ๋อร์ ตอนนี้คงมีแค่เ้าคนเดียวเท่านั้นที่แก้แค้นให้พ่อและกอบกู้ต้าิได้”
“แค่เวลาหนึ่งปีมันพอหรือ?”
แค่สิบผู้กล้าแห่งบัลลังก์ปิงเฟิงก็แข็งแกร่งมากขนาดนี้แล้ว หลังจากนี้อีกหนึ่งปีหากกว่างหานอ๋องมาด้วยตัวเอง ความสามารถของพวกเขาก็จะน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ิอวี่จะไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหนได้?
“ก็คงต้องลองสักตั้งแล้ว สำนักเหนือระดับ”
ิเฉินเหยียนหยิบแผนที่หนังสัตว์สีเืโบราณแผ่นหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของแล้วกางมันออกตรงหน้าของิอวี่ จากนั้นก็ชี้ไปที่้าซ้ายมือ
ิอวี่มองตามที่ิเฉินเหยียนชี้ไป เขาพบว่าตรงนั้นมันเป็จุดเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือ บนจุดเล็กๆ นั่นมันเหมือนหินลาวา มีแสงสีทองประกายแดงปรากฏและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาราวกับมีชีวิต ...
บนจุดเล็กๆ นั่นมีตัวอักษรอยู่ด้วย ิอวี่ตั้งใจจ้องมองไปแล้วอ่านออกมาว่า “สำนักเทพอัคคี ... ”
