เหอชูซานซึ่งกินลูกชิ้นปลาทั้งสองถ้วยหมดแล้วพูดอย่างหงุดหงิด “มาั้แ่เช้าแล้ว ผมรอพี่ตั้งสามชั่วโมง”
“ฉันบอกให้นายมาเช้าขนาดนี้หรือ?” ชย่าลิ่วอีพูดพลางเปิดตู้เย็น เขาหยิบกระป๋องโค้กแล้วโยนให้เหอชูซาน
เหอชูซานก้มหน้าก้มตาเปิดกระป๋องโค้ก เสียงของเขาเจือไปด้วยความน้อยใจ “ก็พี่บอกว่า่เช้า”
“ตราบใดที่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน ก็ยังถือเป็่เช้าสำหรับพี่ลิ่วอีอยู่” ชย่าลิ่วอีใช้ไม้คิวจิ้มหน้าผากของเขาที่ไม่รู้จักคิด ราวกับจะบอกว่าอย่าคาดหวังให้คนอย่างพี่ใหญ่ตื่นเช้าเลย!
“วางกระเป๋าก่อนแล้วไปกินข้าวกัน” ชย่าลิ่วอีโบกไม้คิวไปยังกระเป๋าใบเล็กที่ไม่ได้เจอกันนาน “เดี๋ยวกลับมาจะสอนตีลูกไซด์สปินให้”
ทั้งสองคนปิดประตูม้วนลงแล้วเดินคู่กันไปยังร้านอาหารใกล้ๆ พร้อมกับพูดคุยกันไปด้วย “แกนี่มันบ้าจริงๆ รอตั้งสามชั่วโมง ทำไมไม่โทรหาฉัน? อ๊ะ ลืมไป แกไม่มีโทรศัพท์ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเอาโทรศัพท์มือถือที่พี่นะ”
“ผม…”
“ถ้ายังพูดอีกว่าไม่ใช้เงินของพวกมาเฟีย ฉันจะให้นายยืนดูฉันกินอยู่ข้างๆ เลยคอยดู!”
“ผมแค่จะบอกว่าเดือนหน้าบริษัทจะจัดหาโทรศัพท์ให้ผมเครื่องหนึ่ง”
“พี่ใหญ่ชอบนายขนาดนั้นเลยหรือ? อยากจะเลี้ยงดูนายเป็เด็กเสี่ยหรือ?”
“ทุกคนที่ทำตำแหน่งนี้จะได้รับโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง เพื่อความสะดวกในการติดต่อกับลูกค้า”
“โตขึ้นเยอะเลยนะ เหออาซาน! กลายเป็ชนชั้นสูงแล้วหรือ? คนละเครื่องเลยหรือ? หลอกใครอยู่?”
“...” เหอชูซานถอนหายใจด้วยความจนใจ แล้วทำท่าทางราวกับจะสื่อว่า ‘ถ้าไม่เชื่อก็แล้วแต่’
ชย่าลิ่วอีทนดูท่าทางแก่แดดของเขาไม่ไหว จึงฟาดมือไปที่หัวของเขาหนึ่งที แล้วเปลี่ยนเื่คุย “เมื่อคืนคริสต์มาสอีฟเป็ไงบ้าง? ได้ฉลองกับพ่อหรือเปล่า?”
“พ่อบอกว่าเป็เทศกาลของพวกฝรั่ง เขาไม่ฉลองหรอก”
“…”
“พี่ลิ่วอี พี่มาบ้านผม่ตรุษจีนได้ไหมครับ? พ่อก็อนุญาตแล้วด้วย ผมจะห่อเกี๊ยวหมูแดงให้พี่กินนะ”
“บ้าเอ๊ย! ฉันก็มีบ้านของตัวเอง ทำไมถึงต้องไปบ้านนายด้วย? แล้วต้องขออนุญาตพ่อของนายด้วยหรือ?!”
“ผมถามพี่เสี่ยวหม่าแล้ว เขาบอกว่าเขาจะกลับบ้านที่กวางโจว่ตรุษจีน ส่วนเจ๊ตงตงจะไปเที่ยวไทยกับแฟน พวกเขาเลยฝากให้ผมดูแลพี่”
“…” ดูแลมารดาพวกแกเองเถอะ! เ้าเต่าล้านปีที่ไม่รู้จักความเป็พี่น้องพวกนี้!
“มาเถอะนะ พี่ลิ่วอี?”
“...ฮึ่ม”
ทั้งสองคนกินอาหารง่ายๆ หนึ่งมื้อ แล้วก็ซื้อวาฟเฟิลฮ่องกงหนึ่งถุงมากินไปด้วยระหว่างเดินกลับ เมื่อกลับมาถึงร้านก็เลื่อนประตูเหล็กขึ้น เหอชูซานทำความสะอาดโต๊ะ จัดลูกสนุกเกอร์อย่างคล่องแคล่ว แล้วก็ถามขึ้นมาด้วยความระแวง “พี่จะไม่เรียกสาวสวยคนนั้นมาอีกใช่ไหม?”
ชย่าลิ่วอีนั่งแยกขากว้างบนเก้าอี้ผู้บริหารข้างๆ เขากินวาฟเฟิลฮ่องกงพลางพูด “เรียกบ้าอะไร! การพาสาวสวยระดับสูงจากที่ของชุยตงตงออกมาทีหนึ่งต้องจ่ายสองพันเหรียญ ครั้งที่แล้วนายทำให้ฉันเสียตังค์สองพันไปอย่างเปล่าประโยชน์ ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับนายเลย!”
เ้าเด็กนั่นหันหลังให้เขาขณะจัดโต๊ะอยู่ พอได้ยินประโยคนี้ก็เริ่มหัวเราะเบาๆ จนไหล่สั่น ทำให้ชย่าลิ่วอีโกรธจัดจนต้องยกขายาวๆ ของตัวเองขึ้นแล้วเตะไปที่ก้นของเขาอย่างแรง!
เหอชูซานที่มีรอยเท้าติดอยู่บนก้นนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะ เขาแอ่นก้นขึ้นอย่างมีเสน่ห์ พลางหันมามองชย่าลิ่วอีด้วยสายตายั่วยวน “พี่ลิ่วอี ไหนบอกว่าจะสอนวิธีตีลูกไซด์สปินไงล่ะ มาเลยสิ”
ไอ้บ้า! หาเื่จริง ๆ! ไม่ใช่! แหวะ!
ฉันไม่ได้อยากทำอะไรเขาเลย! ชย่าลิ่วอีบ่นพึมพำขณะโยนถุงวาฟเฟิลฮ่องกงทิ้งแล้วเดินเข้าไปหาเขาโดยไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางของตัวเองตอนนี้ก็ดูมีเสน่ห์ไม่แพ้กัน ชย่าลิ่วอีแอ่นก้นขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “ดูให้ดีนะ!”
สายตาของเหอชูซานเผลอมองตามความโค้งเว้าของเอวเขาเงียบ ๆ จนมาหยุดที่ก้นกลมกระชับของชย่าลิ่วอี เหอชูซานกลืนน้ำลายลงคอเบาๆ อย่างเผลอตัว
“อืม ดูดี”
ใน่เทศกาลวันหยุดแบบนี้ ถนนหนทางเต็มไปด้วยการตกแต่งรูปคุณลุงซานต้า ร้านอาหารและห้างสรรพสินค้าเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังกิน ดื่ม และจับจ่ายซื้อของ สถานที่ท่องเที่ยวและสวนสนุกก็มีคู่รักต่อแถวกันยาวเหยียด ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยความคึกคักและเสียงดังจอแจ แต่ทั้งสองคนกลับปิดประตูร้าน เอาโค้กมาวาง แล้วก็ใช้เวลาทั้งบ่ายเล่นสนุกเกอร์กันอย่างสงบสุขในร้านเล็กๆ ของพวกเขา
หลังจากที่ถูกชย่าลิ่วอีรังแกมานานกว่าหนึ่งปี ฝีมือของเหอชูซานก็พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การที่ชย่าลิ่วอีใช้มือขวาได้ไม่เต็มที่นั้นทำให้เขาทำเทคนิคการเล่นที่ดูเท่ๆ พลาดไปบ้างเป็ครั้งคราว ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือดเป็เวลานาน ในที่สุดชย่าลิ่วอีก็แพ้ไปหลายสิบคะแนนซึ่งเป็เื่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ถึงเวลาอาหารแล้ว ไปกัน ฉันจะพานายไปกินอาหารตะวันตก” ลูกพี่ใหญ่ชย่าพูดอย่างใจกว้างพร้อมกับวางไม้คิวลง พยายามเบี้ยว ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
“เราตกลงกันแล้วว่าถ้าใครแพ้ คนนั้นทำอาหาร” เหอชูซานพูด “่เวลานี้ร้านอาหารตะวันตกคงไม่มีที่นั่งแล้ว”
“ฉันทำเป็แค่อย่างเดียวคือต้มบะหมี่! เล่นสนุกเกอร์มาทั้งบ่าย จะกินแค่บะหมี่ชามเดียวหรือ?”
“พี่ต้มบะหมี่ เดี๋ยวผมทำไก่อบเกลือกับขนมผักกาดให้ ดีไหม?”
“นายทำไก่อบเกลือเป็ด้วยหรือ?”
“ป้าอาหัวเคยสอนผมทำสองสามครั้งแล้ว”
ลูกพี่ชย่ายังคงพยายามที่จะเบี้ยวต่อไป “ไก่อบเกลือกินกับข้าวอร่อยกว่านะ”
เหอชูซานกะพริบตาปริบๆ แล้วพูด “พี่ลิ่วอี พี่ไม่รักษาคำพูดหรือ?”
หน้าของชย่าลิ่วอีเปลี่ยนสีไปมา “...ไปหยิบกระเป๋าซะ!”
ทั้งสองคนขึ้นรถไปด้วยกัน เหอชูซานรู้สึกสงสัยมากจึงถามขึ้น “พี่ลิ่วอี ทำไมพี่ถึงกลัวการทำอาหารขนาดนี้?”
ชย่าลิ่วอีพึมพำเสียงเบาจนไม่สามารถจับใจความได้ “...”
“อะไรนะครับ?”
“ฉันเคยทำอาหารแล้วไฟไหม้... เอ่อ เตา” ชย่าลิ่วอีพูด
“...” ชย่าลิ่วอีรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองด้วยสายตาที่ซับซ้อนและแปลกประหลาดจากเ้าจิ้งจอกน้อยจนเขาแทบจะจับพวงมาลัยรถไม่อยู่
“ฉันทำอาหารแล้วไฟไหม้บ้าน! ไหม้ไปสามชั้น! พ่อบ้านแม่บ้านต้องะโลงสระว่ายน้ำกันหมด! พอใจหรือยัง?!” ชย่าลิ่วอีพูดด้วยความโกรธจัดพร้อมกับบีบแตรรถเสียงดังลั่น
“...” เหอชูซาน
“แกสั่นทำไมวะ! ถ้ากล้าก็หัวเราะออกมาดังๆ เลยสิ!”
“ฮึ... ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ท่ามกลางเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของชย่าลิ่วอี เหอชูซานซุกหน้าลงในกระเป๋าเป้แล้วเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากการหัวเราะอย่างหนัก กล้ามเนื้อหน้าท้องของเขาเจ็บไปหมดแล้ว
—— ใช่แล้ว ไม่พอใจอะไรก็หักขา เผาบ้าน หรือไม่ก็ฟันตัวเองและคนอื่นจนเือาบ การที่สามารถเลี้ยงดูเด็กซนผู้มีความสามารถในการทำลายล้างเทียบเท่ากับอุกกาบาตแบบนี้จนเติบใหญ่ได้ ความอดทนและความมุ่งมั่นของหัวหน้าใหญ่ชิงหลงนั้นไม่ธรรมดาเลย สิบกว่าปีที่ผ่านมาคงต้องเผชิญกับความยากลำบากต่างๆ นานา ช่างเป็่เวลาที่ไม่อยากหวนกลับไปนึกถึงเลยจริงๆ
ในเวลานั้นเหอชูซานยังคงรู้สึกเห็นใจชิงหลงที่ต้องพบเจอสถานการณ์เ่าั้ที่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เขาได้มายืนอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ของชย่าลิ่วอีซึ่งเป็เพียงบ้านสองชั้นที่เรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็เท่านั้น ไม่มีอะไรฟุ้งเฟ้อเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นเองที่เขาได้เข้าใจในความยากลำบากของชิงหลงอย่างแท้จริง
“พี่ลิ่วอี หม้อเล็กแค่นี้ใช้ไฟกลางก็พอแล้ว!”
“พี่ลิ่วอี ต้องรอให้น้ำเดือดก่อนถึงจะใส่เส้นลงไปได้! รีบตักเส้นขึ้นมาเลย!”
“ต้มบะหมี่ไม่ต้องใส่น้ำมัน!”
“นั่นมันจานใส่กับข้าว อย่าเอาไปตั้งบนเตาไฟนะพี่ลิ่วอี!”
“ใส่เครื่องปรุงไว้ในชามก็พอ ไม่ต้องเทลงหม้อ! ถ้าเทลงไปรสชาติก็หายหมดสิ! เฮ้!”
“เฮ้ย! หุบปาก!”
“…”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เหอชูซานก็มานั่งอยู่ที่โต๊ะ บนโต๊ะมีไก่อบเกลือที่ส่งกลิ่นหอมฉุยจานหนึ่ง ขนมผักกาดซอสกุ้งที่หอมไม่แพ้กันจานหนึ่ง ผัดผักสดที่น่ากินจานหนึ่ง... และข้าวสวยอีกสองชามใหญ่
ส่วนก้อนแป้งไหม้สีดำที่ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งนั้นกองอยู่ในถังขยะในครัวอย่างโดดเดี่ยวไร้คนสนใจ ชย่าลิ่วอีนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา สูบบุหรี่ และดูทีวีไปด้วย แทบจะไม่ต้องเอาป้ายมาติดข้างๆ ก็คล้ายกับได้ยินเสียงของเขาที่ะโบอกว่า ‘บอกแล้วว่าฉันทำอาหารไม่เป็ ไอ้โง่!’ เลยทีเดียว
เหอชูซานที่เคยมีความเชื่ออย่างไร้เดียงสาว่า ด้วยความพยายามของตัวเอง เขาจะสามารถได้ลิ้มลองบะหมี่ที่ถูกปรุงโดยมาเฟียใหญ่ แต่ตอนนี้เขากลับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย พลางจัดชามและช้อนส้อมแล้วพูดว่า “พี่ลิ่วอี มาทานข้าวได้แล้วครับ”
แม้ว่าชย่าลิ่วอีจะยังคงบ่นเขาอยู่ไม่หยุด บอกว่าไก่ที่ทำออกมานั้นแข็งเกินไปบ้าง ขนมผักกาดเค็มเกินไปบ้าง ส่วนผัก... ผักยังพอใช้ได้อยู่ นั่นก็เพราะการทำผัดผักไม่ต้องใช้ทักษะอะไรมาก ข้าวก็พอจะกินได้
เขาถอนหายใจและพยักหน้ารับคำซ้ำๆ “ครับๆ ผมจะทำให้ดีขึ้นในครั้งหน้านะครับ พี่ลิ่วอี”
ชย่าลิ่วอีชะงักตะเกียบค้างกลางอากาศ เขาเหลือบมองเหอชูซานอย่างเงียบๆ ครั้งหน้าหรือ?
“ไม่มีครั้งหน้าหรอก” เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าฉันอยากกิน ฉันจะออกไปหากินเองข้างนอก”
เหอชูซานแอบเขี่ยขาไก่ไปทางเขาเงียบๆ ไม่กล้าคีบใส่ชามเขาตรงๆ “พี่ กินข้าวนอกบ้านบ่อยๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ”
“ฉันจ้างพ่อครัวไม่ได้หรือไง ต้องง้อแกด้วยหรือยังไง”
เหอชูซานถอนหายใจอีกครั้ง แล้วคีบเอาตีนไก่ที่แข็งไปกินเอง บนใบหน้าเหมือนเขียนว่า ‘ก็ได้ ๆ ผมรู้ว่าพี่รวย’
ชย่าลิ่วอีตบตะเกียบดังป๊าบ เหอชูซานรีบก้มหน้าก้มตากินแบบหัวที่แทะตีนไก่ [1] ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ทั้งสองคนกินไก่ไปครึ่งจานโดยไม่ได้คุยอะไรกัน เมื่อเหอชูซานเห็นสีหน้าของชย่าลิ่วอีเริ่มผ่อนคลายลงนิดหน่อย จึงค่อยๆ ถามต่อ “พี่ลิ่วอี กินข้าวเสร็จแล้วมีธุระต่ออะไรไหมครับ?”
“หืม?”
“่คริสต์มาสมีหนังใหม่เข้าฉาย เื่ 《Days of Being Wild》หรือ 《วันที่หัวใจรักกล้าตัดขอบฟ้า》 ผมจะชวนพี่ไปดูที่โรงหนัง พี่ว่าดีไหม?”
“มหา’ลัยนายแจกบัตรฟรีอีกแล้วหรือ?”
“เงินเดือนผมออกวันที่ 15” เหอชูซานผู้ขัดสนตอบ
“...หึ”
เชิงอรรถ
[1] หัวที่แทะตีนไก่ เป็สำนวน หมายถึงคนที่มีพฤติกรรมชอบลักขโมย