เย่รั่วเซวี่ยก็รู้ได้ถึงความเคอะเขินของฉัน เธอพูดใน QQ ว่า “งั้นพวกเราไปเดินเล่นกันดีกว่า พอดีเลยลองไปดูสวนสาธารณะกัน”
ฉันดูการตอบกลับของเธอ ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งจนไร้เรี่ยวแรง สถานการณ์ครอบครัวฉันในชั้นเรียนถือว่าธรรมดา เทียบกันแล้ว คนที่มีอำนาจในท้องที่ที่อยู่ในชั้นเรียนล้วนมีมาก แม้แต่นักเรียนธรรมดาทั่วไป ปกติก็จะไม่ขาดแคลนเงินกันสักเท่าไหร่
มีแค่ฉัน ซึ่งคล้ายกับว่าไม่มีอะไรเลย เงิน 5 หยวนในทุกวันถือว่าคือขีดสุดของฉันแล้ว ฉันส่ายหน้าไปมา แล้วรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง แต่ไม่นานฉันก็กลับสู่สภาพปกติ
ความเ็ปเช่นนี้ฉันผ่านมันมาแล้วหลายครั้ง และก็เคยชินกับมันนานแล้ว
ตอนเช้าหลังจากเรียนติดกัน 4 คาบแล้ว ก็เริ่มหยุดเรียนแล้ว ใน่เวลานี้ ไม่มีใครแข่งเป่ายิ้งฉุบต่อ คนที่เข้าร่วมเกมนี้ ล้วนออกจากโรงเรียนไปด้วยความกังวล
ปกติ่หยุดเรียนเช่นนี้ ฉันจะตรงไปที่ร้านอินเทอร์เน็ต ครั้งนี้ก็ไม่ยกเว้น ฉันหันหลังเดินเข้าร้านอินเทอร์เน็ตกับหลี่โม่ฟ๋าน ในร้านอินเทอร์เน็ตได้เต็มอยู่ก่อนแล้ว ฉันได้พาหลี่โม่ฟ๋านไปเปิดคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง และก็เริ่มเล่นเกม cf
ตอนที่เล่นกับหลี่โม่ฟ๋านอย่างสนุกสนานพอดี โทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้นมา ฉันรีบเปิดฟัง ซึ่งได้ยินเสียงที่เยือกเย็นอยู่ด้านในดังขึ้นว่า “จางเว่ย สวัสดี”
“จ้าวเฉินเห้อเหรอ? นายมีเื่อะไร?” ฉันพูดอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ไม่มีอะไร ก็แค่อยากจะให้นายช่วยหน่อย นายก็รู้ว่าตอนนี้แฟนมีแค่ 1 ชีวิตแล้ว หากไม่หาทางชนะ เธอก็ต้องตายแน่ ดังนั้นฉันหวังว่านายจะตั้งใจแพ้ให้เธอ” จ้าวเฉินเห้อแสยะยิ้มพูด
“นายเป็บ้าเหรอ ใครจะทำอย่างนั้น?” ฉันแสยะยิ้มพูด จ้าวเฉินเห้อคิดง่ายเกินไป ซึ่งนี่เกี่ยวข้องกับชีวิตของฉัน จริงๆ แล้วแค่การข่มขู่ยังไม่พอที่จะทำให้ฉันหวาดหวั่นได้
“นายพูดไม่ผิด ใครๆ ก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่นายอย่าลืมว่า ในโลกนี้สิ่งที่สำคัญกว่าชีวิตก็มีอีกมาก” จ้าวเฉินเห้อแสยะยิ้ม
“นายหมายความว่าอย่างไร?” ฉันรู้สึกได้ถึงความคาดไม่ถึงอย่างคลุมเครือ โดยไม่ต้องถาม
“ไม่มีอะไร นายลองฟังเสียงนี้ดูสิคือใคร” จ้าวเฉินเห้อแสยะยิ้ม
หลังจากนั้นในโทรศัพท์มือถือก็มีเสียงร้องไห้ของเย่รั่วเซวี่ยดังขึ้นมา “จางเว่ย รีบช่วยฉันหน่อย ฉันถูกพวกเขาจับมา”
“เธอรอก่อน ฉันจะรีบไปช่วยเธอ” ฉันรีบพูดในโทรศัพท์มือถือ
หลังจากนั้นนำเสียงของเย่รั่วเซวี่ยก็หายไป น้ำเสียงที่น่ารังเกียจของจ้าวเฉินเห้อก็ดังขึ้นอีกครั้งว่า “จางเว่ย ตอนนี้คนที่จะช่วยเย่รั่วเซวี่ยได้ก็มีแค่นายแล้วนะ” ตอนนี้พวกเราอยู่ที่โกดังหมายเลข 2 หลังโรงเรียน หากนายไม่มา สวยๆ อย่างเย่รั่วเซวี่ยนี้ ก็จะต้องตกเป็ของฉัน จำไว้ นายจะต้องมาแค่คนเดียว ห้ามบอกคนอื่น” พูดจบเขายังเผยเสียงหัวเราะที่เลวร้ายอีก
“น่ารังเกียจ” ฉันกัดฟันพูดแล้วลุกจากที่นั่ง
“ลูกพี่ เป็อะไรเหรอ” หลี่โม่ฟ๋านถาม
“ไม่มีไร” ฉันส่ายหน้าด้วยสีหน้าที่หม่นหมอง ในหัวครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ต่อไปควรจะทำอย่างไร ตอนนี้ไร้ซึ่งข้อสงสัย เย่รั่วเวี่ยได้ถูกจ้าวเฉินเห้อกับซูหย่าจับตัวไปแล้ว
มีเพียงแค่ฉันที่จะสามารถช่วยเธอได้อย่างไร้ข้อสงสัย แต่ฉันก็ไม่มีทางเลือกแล้วเหมือนกัน จะแจ้งความไหมนั้น ด้วยภูมิหลังของจ้าวเฉินเห้อแล้ว หากแจ้งความไปก็ไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะพวกเรายังไม่บรรลุนิติภาวะ ถึงทำผิดกฏหมายก็จะไม่เป็ไร
“ฉันมีธุระต้องไปก่อน” ฉันทอดถอนหายใจ หลังจากนั้นหันหลังเดินออกจากร้านอินเทอร์เน็ตไป หลี่โม่ฟ๋านพยักหน้า กำลังเล่นอย่างมีความสุข
ทั้งโรงเรียนเพราะว่าเป็วันหยุด จึงไม่มีคน นักเรียนหลายคนก็กลับกันหมดแล้ว ทั้งโรงเรียนว่างเปล่า ตอนนี้ก็เป็่บ่ายแล้ว นอกจากยามหน้าประตูก็ไม่มีใครแล้ว
และยามหน้าประตูก็ไม่ได้ใส่ใจที่ฉันเข้าไป ไม่นานฉันก็มาถึงหลังโรงเรียน ที่นี่คือโกดังที่ไม่มีการใช้งานแล้ว โกดังมีทั้งหมด 8 หลัง และโกดังหมายเลข 2 ก็คือที่ที่เย่รั่ว เซวี่ยถูกจับอยู่
ฉันรีบเข้าไปที่โกดังหมายเลข 2 หลังจากที่ฉันดันประตู ทั้งโกดังว่างเปล่า เย่รั่วเซวี่ยถูกมัดอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างน่าสงสาร และจ้าวเฉินเห้อก็ถือไม้เบสบอล 1 ไม้ กำลังคุยอยู่กับซูหย่า
เห็นการมาของฉัน จ้าวเฉินเห้อพูดอย่างทนไม่ได้ว่า “ฉันคิดว่านายจะไม่มาแล้วเสียอีก ยังไงนั่นก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของนาย คิดไม่ถึงว่านายจะมาแล้ว ชอบเย่รั่วเซวี่ยขนาดนี้เลยหรือ?”
ฉันเงียบกริบ และเย่รั่วเซวี่ยที่อยู่บนเก้าอี้ตะลึงงันทันที ใบหน้าเล็กๆ นั้นได้แดงออก แต่ทว่าปากของเธอได้ถูกเทปกาวปิดอยู่ จึงไม่สามารถปริปากพูดได้ ทำได้แค่ร้องเสียง อูๆ
“ปล่อยเธอ!” ฉันตวาดใส่จ้าวเฉินเห้อ
“จะปล่อยน่ะแน่นอนว่าไม่มีปัญหา แต่ในเมื่อเป็การจับตัว ก็ต้องมีค่าไถ่ นายก็รู้ดีว่าค่าไถ่คืออะไร?” จ้าวเฉินเห้อแสยะยิ้ม
ฉันกัดฟันมองจ้าวเฉินเห้อ โกรธจนแทบอยากจะฉีกเขาออกเป็ชิ้นๆ แต่ทว่าซูหย่ากลับยืนอยู่ข้างๆ เย่รั่วเซวี่ย ในมือยังถือมีดพกกำลังจะกรีดลงบนหน้าของเย่รั่วเซวี่ย และปริปากพูดว่า “นายต้องรีบจ่ายค่าไถ่ให้เร็วหน่อยนะ มิฉะนั้นพวกเราจะฆ่าตัวประกัน”
“ไม่มีปัญหา” ฉันเดินเข้าไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เริ่มยื่นมือออกไป “มาเป่ายิ้งฉุบสิ ครั้งนี้ฉันจะออกแค่ค้อน”
“หวังว่านายจะไม่กลับคำ มิฉะนั้นถ้าฉันตายแล้วล่ะก็ฉันจะลากเย่รั่วเซวี่ยลงนรกไปด้วย” ซูหย่าแสยะยิ้มพูด หลังจากนั้นเธอก็ส่งสายตา และจ้าวเฉินเห้อก็พยักหน้าแล้วเดินมาที่เย่รั่วเซวี่ย แสยะยิ้มแล้วสะบัดไม้เบสบอลที่อยู่ในมือไปมา ไม้เบสบอลก็เป็ไม้จริงๆ และก็หนักหน่วงเป็ที่สุด พอตีเข้าที่หัวของคน แม้จะไม่ตายก็เป็อัมพาตได้
“ได้” ฉันตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังจากนั้นก็ออกค้อนไปโดยตรง ซูหย่าเริ่มออกกระดาษ และเธอก็ชนะโดยตรง เธอที่เดิมทีมีแค่ 1 ชีวิต ตอนนี้กลายเป็ 2ชีวิตแล้ว แต่ฉันกลับสูญเสียไป 1 ชีวิต ตอนนี้ฉันกลายเป็ 2 ชีวิตแล้ว
“ต่อสิ ฉัน้าแค่ชนะนายอีกรอบหนึ่ง ก็จะปล่อยเธอ” ซูหหย่าพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ได้ ฉันออกค้อนต่อ” ฉันยื่นมือออกไปพลางพูด
หลังจากนั้นซูหย่าก็ชนะอีก 1 รอบ ครั้งนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอได้กลายเป็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่า จางเว่ย นายนี่ป่วยจริงๆ เพื่อเพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่ง แม้แต่ชีวิตของตนเองก็ไม่้าแล้วเหรอ?”
“หุบปาก” ฉันตะคอกอย่างเยือกเย็น หลังจากนั้นมองไปที่เย่รั่วเซวี่ยที่อยู่ไกลออกไป “ตอนนี้ฉันจะพาเธอไปได้หรือยังล่ะ?”
“ไม่มีปัญหา นายออกไปได้” จ้าวเฉินเห้อมองฉันอย่างเยาะเย้ย หลังจากนั้นก็โบกมือพลางพูดว่า “ไปเถอะ พ่อนักรักตัวยงของพวกเรา”
“พวกเราไปเถอะ” ฉันแกะเทปที่ปิดอยู่ปากของเย่รั่วเซวี่ยออก หลังจากนั้นพูดด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง
บนใบหน้าของเย่รั่วเซวี่ยมีน้ำตาไหลอย่างไม่หยุด ดวงตาคู่นั้นมองฉันแล้วพูดอย่างทึ่มๆ ว่า “ทำไม? ทำไมถึงรับปากพวกเขา? ตอนนี้นายมีแค่ 1 ชีวิตอาจจะต้องตายได้นะ”
“วางใจได้ ฉันฉลาดอย่างนี้ จะต้องไม่เป็ไรแน่นอน” ฉันพูดกับเย่รั่วเซวี่ย ตอนนี้ฉันยังมีอีก 1 ชีวิต เพียงแค่ต้องชนะติดกัน 2 ครั้งก็จะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปแล้ว
จ้าวเฉินเห้อจูงซูหย่า หันหลังเดินออกจากโกดังไป แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรออก แล้วหยิบเงินปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และใส่ลงในกระเป๋าเสื้อของฉัน
เขาพูดด้วยสีหน้าที่เยาะเย้ยว่า “จางเว่ย นายก็ตั้งใจชื่นชมแสงสุดท้ายของนายให้ดีล่ะ เงินเหล่านี้ก็คิดซะว่าฉันชดใช้ให้นายก็แล้วกัน”
“งั้นก็ขอบใจล่ะกัน” ฉันแสยะยิ้ม
หลังจากนั้นจ้าวเฉินเห้อก็ได้จากไป และก็เหลือแค่ฉันกับเย่รั่วเซวี่ยที่ยืนอยู่ในโกดังที่ว่างเปล่า
“จางเว่ย นายโง่มากจริงๆ เพื่อฉันไม่คุ้มหรอก” เย่รั่วเซวี่ยบนพึมพำอย่างไม่หยุด
“ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันพูดแล้วไงว่าจะต้องช่วยเธอ” ฉันตบไหล่เธอพลางพูด
“จางเว่ย นายเงยหน้ามองฉัน” ทันใดนั้นเย่รั่วเซวี่ยก็พูดขึ้น
ฉันฟังคำพูดของเธอแล้วเงยหน้าขึ้น กลับเห็นใบหน้าที่งดงามนั้นของเย่รั่วเซวี่ยโผเข้ามาที่อ้อมอกฉัน หลังจากนั้นริมฝีปากของฉันถูกเย่รั่วเซวี่ยจูบ นี่คือจูบแรกของฉัน
ฉันไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าของเย่รั่วเซวี่ยอยู่ใกล้มาก รสชาติที่หวานหยาดเยิ้มโจมตีเข้ามาที่ฉัน ใบหน้าน้อยๆ ของเย่รั่วเซวี่ยแดงออกแล้วเธอก็ถอยตัวออกจากอ้อมอกฉัน ดูเหมือนว่ามือไม้ของเธอจะอ่อนไปหมด
เธอบิดไปมา ออกแรงจับแขนตัวเอง พูดเบาๆ ว่า “นายอย่าคิดมากล่ะ นี่ก็แค่รางวัลของนาย ขอบคุณที่เมื่อกี้นายช่วยฉันไว้”
“อืม” ฉันพยักหน้าอย่างมีความสุข มองใบหน้าน้อยๆ ของเธอที่แดงอยู่ และจับมือเธอไว้ มือของเธอช่างนุ่มนวลเสียนี่กระไร กุมไว้ในมือแล้วรู้สึกสบายเป็อย่างยิ่ง
และเย่รั่วเซวี่ยก็ไม่ได้ปฏิเสธ พวกเราทั้งสองก็กุมมือกันเช่นนี้ แล้วเดินออกมาจากโกดัง ณ เวลานี้ อารมณ์ระทมทุกข์ที่รุมเร้าภายในใจก็ถูกปัดออกไปหมด มองเย่รั่วเซวี่ยที่อยู่ข้างๆ ฉันรู้สึกว่าฉันคือผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก
“ตอนนี้นายมีแค่ 1 ชีวิตแล้ว หลังจากนี้จะทำยังไง?” เย่รั่วเซวี่ยพูดด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง
“อย่ากังวลเลย ฉันจะต้องหาทางชนะกลับมา” ฉันพูดจบก็หยิบเงิน 1 ปึกออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พูดด้วยน้ำเสียงที่ยิ้มแย้มว่า “ตอนนี้มีเงินพอดี พวกเราไปดูหนังกันไหม?”
“นี่มันเวลาไหนแล้ว นายยังจะมีใจไปดูหนังอีก” เย่รั่วเซวี่ยมองฉันพลางพูดอย่าง
โมโห
“อย่างกังวลไปเลย ฉันไม่มีทางแพ้หรอก” ฉันพูดอย่างมั่นใจ
“งั้นก็ดี” เย่รั่วเซวี่ยจูงมือฉันด้วยความกังวล
หลังจากนั้นพวกก็ไปดูหนัง ในโรงหนัง พวกเรากินป๊อปคอร์น ทั้งยังดูหนัง ในโรงหนังกำลังฉายหนังรักเื่หนึ่งอยู่พอดีคือเื่ดอกส้มบาน ฉันไม่ค่อยเท่าไหร่กับหนังแบบนี้ เทียบกันแล้วฉันยิ่งชอบหนังแนวจินตนาการทางวิทยาศาสตร์มากกว่า แต่เย่รั่วเซวียกลับดูอย่างตื่นเต้น ยังดึงมือฉันอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่หนังได้จบลง ฉันกับเย่รั่วเซวี่ยกลับมาที่บ้านของเธอ บ้านของเธอเป็บ้านเดี่ยว 2 ชั้นที่หรูหราโอ่อ่า ซึ่งนี่ทำให้ฉันร้องออกมาด้วยความตกตะลึงว่า “คิดไม่ถึงว่าบ้านเธอจะมีเงินขนาดนี้”
“ก็ธรรมดาทั่วไปน่ะ ก็แค่คุณพ่อทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ไม่กลับบ้านตลอดทั้งวัน คุณแม่ของฉันก็เล่นไพ่นกกระจอกทุกวัน” เย่รั่วเซวี่ยหัวเราะเยาะตนเองพลางพูด หลังจากนั้นให้ฉันนั่งบนโซฟา ยังหยิบโค้กจากตู้เย็นให้ฉัน 1 กระป๋อง
ฉันหยิบมาแล้วก็เริ่มดื่ม ในขณะเดียวกันก็มองของตกแต่งโดยรอบ แน่นอนว่าทั้งบ้านหรูหราโอ่อ่าเหลือเกิน สำหรับคนกระจอกอย่างฉันแล้ว แน่นอนว่าได้แค่มองแต่แตะต้องไม่ได้
“นายรอเดี๋ยว ฉันไปอาบน้ำก่อน” เย่รั่วเซวี่ยพูดกับฉันพลางยิ้ม หลังจากนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นบน หลังจากนั้นก็มีเสียงน้ำมาจากห้องอาบน้ำ ดูแล้วเธอน่าจะเริ่มอาบน้ำแล้ว
ฉันส่ายหน้าไปมา คงจะไม่ปลงอนิจจังชีวิตของคนรวยไม่ได้หรอก อย่างบ้านฉัน ที่อยู่อาศัยก็ยังคงเป็ตึกที่พักอาศัยของประชาชนสมัยก่อนที่เก่าแก่มาก มีพื้นที่แค่ 50 ตารางเมตร เครื่องทำน้ำอุ่นอะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทุกครั้งที่ฉันอาบน้ำ ก็จะไปอาบที่โรงอาบน้ำ