ถ้อยคำของเด็กน้อยช่างไร้พิษภัย เมื่อหลิวจื่อเทาเอ่ยถึง ‘พี่เขย’ ของตนในเวลานี้ เฉินวั่งต๋าก็ไม่ควรแกล้งโง่อีกต่อไป และถือโอกาสช่วยหลานชายสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลคนรักของเซี่ยเสี่ยวหลานด้วย
“ผู้ชายที่เสี่ยวหลานคบงานยุ่งรึ? ในเมื่อเทาเทาอยากไป เธอก็พาเขาไปเยี่ยมสิ พวกแม่เธอคงเคยเจอแล้วสินะ มาถึงปักกิ่งทั้งทีก็ต้องรวมตัวกันเสียหน่อย ไม่ต้องห่วงฉันกับเฉินชิ่งหรอก ตอนบ่ายทุกคนก็แยกกันเดินเสีย”
ต้องไร้ยางอายขนาดไหนกัน เขาสามารถตามไปเยี่ยมคนรักของเซี่ยเสี่ยวหลานได้ด้วยหรือ?
เฉินวั่งต๋ารู้จักตัวเองดี เขามิใช่ปู่ร่วมสายเืของเซี่ยเสี่ยวหลาน!
สาเหตุที่เซี่ยเสี่ยวหลานเคารพเขา เพราะความช่วยเหลือของเขาที่ผ่านมา เป็ไปไม่ได้ที่จะอ้างถึงไมตรีเล็กน้อยนั้นไปตลอดทั้งชาติ ยิ่งไปกว่านั้น ภายหลังเซี่ยเสี่ยวหลานยกธุรกิจขายกากน้ำมันให้แก่บ้านเฉินแล้ว ั้แ่ฤดูหนาวปีกลายจนกระทั่งฤดูร้อนปีนี้ บ้านเฉินทำเงินจากธุรกิจนี้ได้หลายพันหยวน! ในอนาคตจะยังทำต่อไปได้นานแค่ไหนนั้นไม่อาจคาดเดาได้ ไม่ว่าน้ำใจไมตรีจะยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่อใช้ช่องทางหาเงินมูลค่าเป็พันเป็หมื่นมาแลก บ้านเฉินก็ได้เปรียบอยู่ดี ทุกวันนี้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้เป็หนี้บ้านเฉิน และไม่ได้ติดค้างอะไรต่อคนในหมู่บ้านชีจิ่งเช่นกัน แม้ไม่ร่วมหอลงโรงกับเฉินชิ่ง เฉินวั่งต๋ายังคงหวังว่าภายภาคหน้าเธอจะหวนเหลียวแลถึงหมู่บ้านชีจิ่งได้ ดังนั้นเขาย่อมไม่มีทางที่จะทำให้เธอรู้สึกขัดเคืองแน่
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ไม่ปิดบัง ทว่าเธอไม่ได้เล่าถึงตำแหน่งงานและฐานะครอบครัวของโจวเฉิงอย่างละเอียด บอกเพียงหน่วยงานของโจวเฉิงเท่านั้น
“ไม่ไกลจากในเมืองเท่าไรค่ะ เคยเจอแม่ฉันตอนอยู่ที่ซางตูแล้ว”
เฉินวั่งต๋าพยักหน้า “อาชีพนี้ดี มีความรับผิดชอบ! อีกหน่อยพอความสัมพันธ์มั่นคงแล้ว ก็พากลับหมู่บ้านไปให้ทุกคนเจอสักหน่อยนะ”
เฉินวั่งต๋าพูดจาอย่างไม่มีจุดบกพร่อง เมื่อเอ่ยถึงโจวเฉิง เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นว่าสีหน้าของเฉินชิ่งหม่นหมองลง จากนั้นก็กลับมาผึ่งผายอีกครั้ง คนบ้านเฉินตระหนักถึงความเป็เหตุเป็ผล เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็หวังจะรักษามิตรภาพที่ผ่านมาระหว่างทั้งสองฝ่ายเช่นกัน
“พรุ่งนี้ค่อยไปหาเขา วันนี้เที่ยวฉันเป็เพื่อนคุณปู่ก่อนดีกว่า ฉันเคยมาปักกิ่งสองหนแล้ว พอคุ้นเคยว่าที่ไหนมีของอร่อย”
เซี่ยเสี่ยวหลานเป็มัคคุเทศก์ที่รู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น เธอไม่รู้จักปักกิ่งในปี 84 แต่ยังพอสามารถแนะนำสถานที่สำคัญพวกนี้ได้บ้าง
โจวเฉิงลางานออกมาไม่ได้ เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานมาถึงปักกิ่งย่อมไปเยี่ยมเขาอย่างแน่นอน
หลังจากเปิดเรียนต้องทำความคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัย ต้องยุ่งกับธุระจิปาถะหลายวัน ดังนั้นก็ไปก่อนเปิดภาคเรียนเสียเถอะ ใช้่เวลาที่ทั้งแม่ของเธอและหลี่เฟิ่งเหมยอยู่ หลิวจื่อเทาร้องโวยวายว่าคิดถึงพี่เขย อันที่จริงหลิวเฟินก็เป็ห่วงโจวเฉิงมากทีเดียว โจวเฉิงพาเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าบ้าน คนตระกูลโจวไม่คัดค้านการคบหาของทั้งสอง การปฏิบัติต่อโจวเฉิงของหลิวเฟินย่อมพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนการเจรจาเื่แต่งงานนั้นยังไม่ถึงเวลา อย่างไรเสียโจวเฉิงกับเสี่ยวหลานก็ได้เปิดตัวต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านแล้ว ไม่ใช่การลอบคบกันอีกต่อไป แต่เป็การสานสัมพันธ์อย่างเปิดเผย
หลิวเฟินไปหยางเฉิง และยังเคยไปถึงเขตพิเศษ ที่นั่นไม่ว่าอะไรก็มีขายทั้งนั้น ตัวเธอเองมีเงินเดือนที่รับจากร้านเสื้อผ้าเหมือนกัน ไม่จำเป็ต้องขอเงินจากเซี่ยเสี่ยวหลานแม้แต่น้อย อีกทั้งเธอยังสามารถใช้เงินของตนซื้อเข็มขัดหนังราคาไม่ถูกสองเส้นให้โจวเฉิงเสียด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าหน่วยงานของโจวเฉิงจะแจกจ่ายข้าวของอย่างเสื้อผ้า หมวก รองเท้า รวมถึงเข็มขัดหนัง หลิวเฟินก็ไม่สน “ของที่หน่วยงานแจก ไม่เหมือนของที่แม่ซื้อหรอก”
อย่างหนึ่งคือความใส่ใจของรัฐที่มีต่อโจวเฉิง อีกอย่างหนึ่งคือความใส่ใจของเธอที่มีต่อโจวเฉิง จะเหมือนได้อย่างไรเล่า!
อาหารการกินในหน่วยงานของโจวเฉิงอิ่มท้องพอแน่นอน แต่อยากกินอะไรก็ได้กินง่ายๆ หรือ? หลิวเฟินนึกถึงตอนตรุษจีนที่โจวเฉิงส่งของให้มากมายขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเงินเดือนของโจวเฉิงพอใช้จ่ายหรือไม่ เอาแค่สุนัขสองตัวที่โจวเฉิงให้คนส่งมาที่บ้านย่าอวี๋ ทั้งเชื่อฟังและปกป้องเ้าของ พอมีสุนัขแล้วตอนกลางคืนเธอก็นอนหลับสนิท แม้ซ่อนเงินสำหรับบริหารร้านหลายหมื่นหยวนไว้ใต้เตียง หลิวเฟินก็สามารถนอนหลับอย่างสบายใจได้ เ้าสุนัขสองตัวนั้นทำหน้าที่ได้ดีมาก และมันก็กินเยอะมากด้วยเช่นกัน โจวเฉิงมักวานคนส่งเนื้อสัตว์มาที่บ้าน สุนัขทั้งสองตัวกินเนื้อสับจากส่วนต่างๆ นับแยกเป็หนึ่งส่วน ทว่าส่งซี่โครงแพะทั้งแผงมาที่บ้าน นั่นไม่ใช่การอุดหนุนอาหารให้ครอบครัวเธอหรอกหรือ?
หลิวเฟินจึงกังวลว่าเงินเดือนของโจวเฉิงจะไม่พอใช้
และเธอไม่รู้เื่ที่โจวเฉิงกับคังเหว่ยค้าบุหรี่เก็งกำไร
นอกจากซื้อเข็มขัดหนังให้โจวเฉิงแล้ว หลิวเฟินยังแอบเตรียมเงินให้โจวเฉิงอีกด้วย
เงินของหลิวเฟินไม่ใช่แค่เงินเดือน แต่ยังมีเงินรางวัลที่มณฑล เมือง เขต และโรงเรียนมอบให้จากการที่เซี่ยเสี่ยวหลานคว้าตำแหน่งบัณฑิตเกาเข่า รวมกันได้ประมาณ 2000 หยวน เงินส่วนนี้เป็ทั้งเงินรางวัล และเป็หลักประกันที่จะทำให้อันดับหนึ่งประจำมณฑลสามารถเรียนมหาวิทยาลัยหัวชิงจบอย่างราบรื่นนั่นเอง
แม้มหาวิทยาลัยไม่เก็บค่าเล่าเรียน อย่างไรก็ต้องจ่ายเงินกับหนังสือเรียนอยู่ดีใช่หรือเปล่า?
หากเป็นักศึกษาที่ฐานะครอบครัวไม่ดีทว่าผลการเรียนยอดเยี่ยม ทางมหาวิทยาลัยจะให้เงินสนับสนุนทุกเดือน หรือแม้แต่ได้ทุนการศึกษาอีกด้วย
สำหรับนักเรียนดีเด่น การเรียนมหาวิทยาลัยสี่ปีไม่ใช่การจ่ายเงิน ทว่าเป็การหาเงิน!
ภายใต้นโยบายเช่นนี้ กลับยังคงมีนักศึกษายากจนที่สอบติดมหาวิทยาลัยแต่ไร้หนทางเรียนต่อ เพราะก่อนจะได้รับเงินทุนการศึกษาและเงินอดหนุน เขาไม่มีกระทั่งหลักประกันใช้ชีวิตพื้นฐาน เมื่อครอบครัวขาดแรงงานเขาคนนี้ก็จะพังทลาย จึงทำได้เพียงฉีกหนังสือตอบรับด้วยความสิ้นหวัง ละทิ้งความฝันที่จะได้ศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย... หากเซี่ยเสี่ยวหลานประสบพบเจอเื่แบบนี้เหมือนกัน มันจะน่าเสียดายขนาดไหน?
มณฑลอวี้หนานมีคนสอบติดหัวชิงและจิงต้าต่อปีสักกี่คนเชียว!
ตอนนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานยกเงินพวกนี้ทั้งหมดให้หลิวเฟินนำไปใช้ “เงินที่ลูกสาวแม่หามาจากการเรียน ใช้แล้วรู้สึกไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน”
ใช่เลย เหมือนกับทุนการศึกษา 200 หยวนที่อันชิ่งเซี่ยนอีจงเคยให้ก่อนหน้านี้
เงินในมือของหลิวเฟินถูกเก็บสะสมด้วยวิธีนี้นั่นเอง มีแหล่งที่มาต่างๆ นานา หลิวเฟินจะใช้อย่างไร เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สนใจ เอาเป็ว่าจะประหยัดเงินแต่ไปใช้จ่ายให้คนอื่นไม่ได้ เซี่ยเสี่ยวหลานหวังให้หลิวเฟิน ‘เห็นแก่ตัว’ สักหน่อย อย่าเสียสละอุทิศตนขนาดนั้น ภายใต้เงื่อนไขรับประกันว่าตนต้องอยู่ดีมีสุข หากชอบให้ ‘อั่งเปา’ แก่โจวเฉิง เซี่ยเสี่ยวหลานก็ช่วยไม่ได้ โจวเฉิงมีเงินของตนเอง นอกจากนี้ยังเป็คนไม่ตระหนี่ หลิวเฟินไม่ได้กำลังจุนเจือหมาป่าตาขาวแน่
ตอนกลางคืนเซี่ยเสี่ยวหลานยังคงพักในบ้านพักกับครอบครัว อันที่จริงเธอสามารถทำเื่เข้าเรียนล่วงหน้าได้ และหลังจากนั้นก็ต้องย้ายไปหอพัก แต่เวลาอาศัยหอพักในอนาคตยังอีกยาวไกล ได้ใช้เวลาใกล้ชิดกับคนในครอบครัวเพิ่มก็ดีไม่น้อย เซี่ยเสี่ยวหลานจึงไม่รีบร้อนย้าย เส้ากวงหรงให้เธอยืมรถจี๊ปขับสองวันกำลังเหมาะสม เซี่ยเสี่ยวหลานพาครอบครัวไปหน่วยงานโจวเฉิงได้พอดี
คราวก่อนเหมือนว่าโจวเฉิงจะโดนฟางซื่อจงและเกาเฟยรายงานต่อเบื้องบนเข้าแล้ว บอกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานแสดงพฤติกรรมสุรุ่ยสุร่ายเกินควร เื่ส่งแพะ 6 ตัวมายังหน่วยของโจวเฉิงอย่างเอิกเกริกนำมาซึ่งผลกระทบที่ย่ำแย่ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่กล้าขัดระเบียบเหมือนกัน ส่งแพะให้หนึ่งหนเป็น้ำใจ ถ้าจะส่งแพะให้ทุกครั้งไซร้ เธอไม่ได้มีเงินเยอะจนไม่มีที่ให้ใช้จ่ายเสียหน่อย
เธอจึงซื้อเพียงผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์สำเร็จรูปอย่างพวกเนื้อวัวแห้งกับเนื้อหมูแผ่นเล็กน้อย และยังมีเนื้อสัตว์กระป๋องมากมาย ของพวกนี้กินและเก็บได้นาน ตัวโจวเฉิงเองก็สามารถรับประทานได้ยาวนานมาก แบ่งปันให้คนอื่นรับประทานก็ไม่มีปัญหา หลิวเฟินยังบอกเลยว่าของพวกนี้น่าซื้อ ให้เซี่ยเสี่ยวหลานซื้อเพิ่มอีกหน่อย ขณะเซี่ยเสี่ยวหลานซื้อเนื้อสัตว์ประป๋อง เธอนึกถึงใบหน้าที่ได้กินซาลาเปางาดำน้ำตาลทรายของโจวเฉิงเมื่อครั้งก่อน จากนั้นก็ซื้อผลไม้กระป๋องจำนวนไม่น้อยสำหรับให้โจวเฉิงคนเดียว
แตงโมปีนี้ราคาถูกเป็พิเศษ แตงโมหนึ่งชั่งราคาแค่หนึ่งเหมาห้าเฟิน แตงโมหนึ่งลูกหนักสิบกว่าชั่ง ราคาไม่เกิน 3 หยวนด้วยซ้ำ
เซี่ยเสี่ยวหลานเจอรถเข็นขายแตงโมตอนออกนอกเมือง บนรถเข็นยังเหลือแตงโมอีก 37 ลูก ทั้งหมดยังไม่ถึง 500 ชั่ง เธอเหมาะและใส่ไว้บนรถ พอคิดเงินยังถูกกว่าแพะหนึ่งตัวเสียอีก
ในเมื่อฟางซื่อจงและเกาเฟยไม่พอใจ เช่นนั้นคนใต้บังคับบัญชาของฟางซื่อจงก็ไม่ต้องกิน ดูคนของโจวเฉิงกินไปแล้วกัน คนสามร้อยกว่าชีวิต แตงโม 37 ลูกกำลังพอดี แตงโม 37 ลูกรวมกับอาหารกระป๋องที่นำไปฝากโจวเฉิง อัดแน่นเต็มกระบะรถและที่นั่งด้านหลัง โชคดีที่เส้ากวงหรงยืมรถมาคันใหญ่เพียงพอ!
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้มาหน่วยงานของโจวเฉิงเป็ครั้งแรก ชื่อเสียงในที่นี้ของเธอลือเลื่องมากทีเดียว
พอจอดรถหน้าประตู คนเข้าเวรหน้าประตูก็จำเธอได้ทันที “สวัสดีครับพี่สะใภ้! เชิญคุณลงทะเบียน!”
เซี่ยเสี่ยวหลานลงจากรถ ยังทิ้งแตงโมหนึ่งลูกให้คนเข้าเวรยามด้วย “พวกคุณกินกันตอนเปลี่ยนเวรนะคะ!”
เหล่าทหารยามลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และแสดงความเคารพต่อเซี่ยเสี่ยวหลานโดยพร้อมเพรียงกัน
“ขอบคุณครับพี่สะใภ้!”