ระหว่างทางมักมีคนเข้ามาซักถาม เสี่ยวสู่กับลี่ชิวต่างบอกกล่าวเื่ที่ถงซื่อล้มป่วยมิอาจลุกจากเตียงและจ่ายเงินสองตำลึงเพื่อเชิญคนมาช่วยงานอีกรอบหนึ่ง
พริบตานั้น คนในหมู่บ้านเถาหยวนก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ ระหว่างทางมีคนจำนวนไม่น้อยจับกลุ่มสองสามคน เนื้อหาที่เอ่ยถึงก็คือ
“นี่ เ้ารู้หรือไม่? ภรรยาของต้าส่าช่างกตัญญูยิ่งนัก ล้มป่วยแล้วยังไม่ลืมเชิญคนไปช่วยงานในเรือนผู้เฒ่าเคอ เรือนผู้เฒ่าเคอช่างมีวาสนาเสียจริง!”
“เรือนผู้เฒ่าเคอจะไปมีวาสนาอันใดกัน? ตอนนั้นครอบครัวต้าส่ายอมโดนด่าทอ ต้องเหนื่อยเจียนตายทุกวัน ไม่เคยได้กินข้าวให้อิ่มท้องสักมื้อ ทั้งยังถูกแม่เฒ่าเคอทุบตีอยู่บ่อยครั้ง ยามนี้ขับไล่คนออกไปหมดแล้วกลับยังคอยไปหาเื่ถึงเรือน เรือนผู้เฒ่าเคอช่างไร้ยางอายยิ่งนัก”
“จะไม่เป็เช่นนั้นได้อย่างไร ตอนแรกภรรยาผู้นั้นของต้าส่าถูกทุบตีก็ไม่โต้กลับแม้แต่นิด ต้องเสียบุตรไปตั้งหลายครั้ง ลอบเสียน้ำตาอีกไม่น้อยหน แต่ครอบครัวผู้เฒ่าเคอกลับทำเป็ไม่เห็น ยามนี้พบว่าผู้อื่นมีสกุลต้วนช่วยประคับประคอง ชีวิตความเป็อยู่ดีขึ้นก็รีบเข้าหา ช่างเป็ครอบครัวที่หน้าไม่อายที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้เสียจริง”
“ใช่แล้ว ครอบครัวเช่นนี้ยังจะมีซิ่วไฉกับถงเซิง คาดว่าเมื่อก่อนคงจะมีควันเขียวผุดจากหลุมศพบรรพชน [1] กระมัง”
“เห็นว่าต้าส่าเข้าสำนักศึกษาแล้ว ข้าได้ยินรุ่นหลานหลายคนในเรือนผู้ใหญ่บ้านเฉินบอกว่า ท่านอาจารย์ในสำนักศึกษาชื่นชมต้าส่ายิ่งนัก บอกว่าไม่แน่วันหน้าภายในหมู่บ้านของพวกเรายังจะมีถงเซิงกับซิ่วไฉเพิ่มขึ้นอีก!”
“ข้าก็ได้ยินเช่นกัน ไม่แน่ว่าภายหน้าเรือนผู้เฒ่าเคอคงต้องเสียใจในภายหลังอย่างสุดซึ้งเสียแล้ว...”
ครั้นเสี่ยวสู่กับลี่ชิวบรรลุเป้าหมาย พวกนางต่างหันมองหน้าซึ่งกันแล้วยกยิ้มออกมา
หลังจากเดินวนจนแทบจะรอบหมู่บ้านและเดินๆ หยุดๆ เพื่อประกาศความกตัญญูของถงซื่อให้คนทั้งหมู่บ้านได้รับรู้ พวกนางก็ไปถึงเรือนผู้เฒ่าเคออย่างเอื่อยเฉื่อย
ยามนี้เป็เวลาคล้อยบ่ายแล้ว คนทั้งสองทำความสะอาดเรื่อยเปื่อย จากนั้นอ้างว่าฟ้ามืดจะกลับเรือนไม่ปลอดภัย ตามด้วยหันหลังเดินกลับไปทางเรือนสกุลต้วน
ผู้เฒ่าเคอ แม่เฒ่าเคอ และคนในครอบครัวสามสกุลเคอต่างตอบสนองไม่ทัน มิได้บอกว่าส่งบ่าวรับใช้มาช่วยงานหรอกหรือ? นี่มันเื่อันใดกัน?
......
อินจิ่วที่กลับไปถึงบ้านสวนจื่อจินเอาแต่จดจ้องใบสัญญาบนโต๊ะ สายตาค่อนข้างล่องลอย ไม่รู้ว่าความคิดจิตใจโผบินไปยังที่ใด เขาถึงได้เหม่อลอยไปนานแล้ว
ภายในหัวล้วนเต็มไปด้วยภาพเสี้ยววินาทีที่หมวกเหวยเม่าของเคอโยวหรานถูกลมพัดจนปลิวหล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อินจิ่วพลันหยัดกายลุกขึ้น เดินวนไปมาอยู่ในสวนดอกไม้หลายรอบ ทันใดนั้นก็แทรกกายเข้าไปยังห้องตำรา
“เหลิ่งเถิงกางกระดาษ ขู่เถิงเอาพู่กัน หมึก และสีน้ำเข้ามา”
เหลิ่งเถิงกับขู่เถิงหันมองหน้ากัน ล้วนเข้าใจแล้วว่านายท่าน้าจะวาดภาพ คนทั้งสองจึงไปเตรียมการทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม อินจิ่ววางพู่กันลง ทอดมองภาพเคอโยวหรานอันปราดเปรียวอรชรดุจนางเซียนและงดงามไม่ต่างกับจิติญญาแห่งขุนเขา มุมปากพลันหยักยกขึ้นเล็กน้อย
เพียงชั่วครู่ รอยยิ้มบนมุมปากของอินจิ่วก็เลือนหายไปและเริ่มขมวดคิ้ว มือข้างหนึ่งกอดอก ส่วนมืออีกข้างกุมปลายคาง ทอดมองภาพวาดบนโต๊ะอยู่เนิ่นนานโดยไม่เอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
เหลิ่งเถิงกับขู่เถิงต่างพากันอ้าปากกว้าง ทอดมองผู้ที่อยู่ในภาพวาดด้วยความตกตะลึง หลังผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดขู่เถิงก็หาเสียงของตนเองจนพบ
“โห นายท่าน สตรีที่งดงามถึงเพียงนี้ ท่านไปพบเจอจากที่ใดขอรับ? งาม...ช่างงามเกินไปแล้ว...”
เหลิ่งเถิงกลืนน้ำลาย ในที่สุดก็ปริปากเอ่ยโดยหายใจไม่ทั่วท้อง “ใช่แล้วขอรับ...งามยิ่งนัก งามจนเกือบทำให้ข้าหยุดหายใจไปเสียแล้ว เหตุใดใต้หล้านี้ถึงมีผู้ที่งดงามดุจนางเซียนเช่นนี้ได้?”
ขู่เถิงถึงกับหลุดปากเอ่ยความจริงออกไปโดยไม่ผ่านสมอง
“เดิมยังนึกว่านายท่านงดงามที่สุดในใต้หล้า นึกไม่ถึงว่าสตรีภายในภาพวาดยังงามกว่านายท่านถึงสามส่วน งามถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน?”
สิ้นคำกล่าว ขู่เถิงเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองเอ่ยสิ่งใดออกไปและสะดุ้งโหยงโดยพลัน จากนั้นหันไปชำเลืองผู้เป็นายของตนอย่างระแวดระวัง
ทว่าอินจิ่วกลับไม่มีทีท่าว่าจะชักสีหน้าเลยสักนิด ยังเอ่ยคล้อยตามคำกล่าวของขู่เถิงว่า
“มีหรือจะงามกว่าข้าเพียงสามส่วน หากเทียบระหว่างผู้ที่อยู่ในภาพวาดกับตัวจริง ยังมิได้ด้อยกว่าแค่น้อยนิด กระทั่งความงามดั่งเซียน์ของนางข้ายังวาดออกมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“ซี้ด...” เหลิ่งเถิงกับขู่เถิ่งต่างสูดอากาศเย็นอย่างพร้อมเพรียง หากตัวจริงยังงามยิ่งกว่าภายในภาพวาด เช่นนั้นจะต้องเป็ความงามล้ำเช่นใดกัน?
อินจิ่วไม่แยแสท่าทีตอบสนองของคนทั้งสองแม้แต่นิด เอ่ยคล้ายกำลังคุยกับพวกเขา ทั้งคล้ายกำลังพูดกับตนเอง
“ลองดูดวงตาของนาง ไม่ว่าจะวาดเช่นไรก็วาดออกมามิได้ ดวงตาแวววับจับตาราวดวงดาราสุกสกาวของนาง วันนี้เพิ่งได้พบเห็นเพียงแวบเดียวก็มิอาจลืมเลือนเสียแล้ว”
“วันนี้เพิ่งได้พบเห็น?” เหลิ่งเถิงเอ่ยอย่างเชื่องช้าด้วยความระแวดระวัง “วันนี้นายท่านพบสตรีเพียงผู้เดียว ก็คือศิษย์น้องหญิงของท่าน คงมิใช่นางกระมังขอรับ?”
“ใช่ ก็คือนาง” เพิ่งจะสิ้นเสียงของอินจิ่ว ตัวคนพลันหายลับไปจากห้องตำราเสียแล้ว
ขู่เถิงเบิกตาโตถามว่า “นายท่านคงมิได้จะไปหาศิษย์น้องหญิงของตนเองใช่หรือไม่?”
เหลิ่งเถิงก็ชะงักงันอยู่กับที่เช่นกัน “ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว นายท่านไปเยือนเช่นนี้ จะถูกศิษย์น้องหญิงทุบตีหนึ่งยกเพราะคิดว่าเป็โจรหรือไม่?”
ขู่เถิงพึมพำ “เดิมทีคิดว่านายท่านไม่ใกล้ชิดสตรี ที่แท้เป็เพราะยังหาสตรีที่งามกว่าเขาไม่พบนี่เอง!”
......
ต้วนเหลยถิงที่พาพวกพั่วหุนระหกระเหินมาตลอดทั้งวัน ในที่สุดก็มาถึงเขาเหลียนอู้ที่พั่วหุนเอ่ยถึง
ที่นี่สี่ทิศล้อมรอบด้วยูเา มีเพียงทางสายหลักพาดผ่านูเาเพียงสายเดียวที่เชื่อมไปยังหมู่บ้านกับโจวฝู่ เป็ทำเลที่เหมาะแก่การดักปล้นอย่างยิ่งจริงๆ
ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ภายในกลุ่มของพวกเขา มีเพียงต้วนเหลยถิงเท่านั้นที่สามารถมองเห็นรอบข้างในยามค่ำคืน
นอกจากนี้ทุกคนยังเดินทางมาเป็เวลานานเกินไป ต่างพากันรู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก หากขึ้นเขาในยามนี้ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเื่กลไกนับไม่ถ้วนที่อยู่บนนั้น กระทั่งสัตว์ป่าดุร้ายภายในป่าก็ยังทำให้ทุกคนยากรับมือ
ต้วนเหลยถิงพาทุกคนไปยังสถานที่ค่อนข้างมิดชิดแห่งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“คืนนี้พวกเราตั้งค่ายอยู่ที่นี่เถิด รอกระทั่งฟ้าสางของวันพรุ่ง จะส่งคนจำนวนหนึ่งไปตรวจสอบสถานการณ์เสียก่อน จากนั้นพวกเราค่อยวางแผนการขั้นต่อไป”
“ขอรับ” ทุกคนต่างรับคำสั่งเป็เสียงเดียวกัน
ยามนี้ภายในใจของคนทั้งกลุ่ม ต้วนเหลยถิงกลายเป็เ้านายที่มิอาจมีผู้ใดทดแทน ภายในใจนอกจากความภักดียังคงเป็ความภักดี
ไร้ซึ่งสาเหตุอื่นใด ครั้งนี้พวกพั่วหุนต่างเดินทางไกลเพื่อบิดามารดา ภรรยา และบุตรของพวกเขา ภายในใจล้วนมีห่วง ไม่ว่าจะเหนื่อยยากเพียงใดก็ไม่เป็อันใด
ทว่าต้วนเหลยถิงคือเ้านายของพวกเขา ไม่มีความจำเป็ใดต้องทิ้งภรรยาของตนแล้วออกมาลำบากด้วยกัน
นายท่านไม่เพียงร่วมเดินทางกับพวกเขาด้วยตนเอง แต่ไม่ว่าจะการสำรวจทางหรือแผนการรับมือ เขาล้วนกระโจนไปอยู่หน้าสุดเสมอ
ต้วนเหลยถิงปฏิบัติกับพวกเขาเช่นนี้ไม่เหมือนนายบ่าว กลับเหมือนเป็พี่น้องพวกพ้องกัน
บุตรท่ามกลางป่าเขาเหล่านี้ แม้จะไม่เคยเล่าเรียนตำรามากนัก แต่เป็คนเห็นแก่มิตรไมตรีมากที่สุด ผู้ที่พวกเขาตัดสินใจภักดี เช่นนั้นย่อมต้องคอยเคียงข้างสุดชีวิตอย่างแน่นอน
ไม่นานนัก พั่วหุนก็พาคนกว่าร้อยคนตั้งกระโจมอย่างง่ายจนแล้วเสร็จ
ต้วนเหลยถิงพักตามลำพัง ทั้งยังถูกพวกพั่วหุนคุ้มกันไว้ตรงใจกลาง
เพื่อมิให้ถูกผู้อื่นตรวจพบร่องรอยของพวกเขา ทุกคนจึงกินอาหารแห้ง
นอกจากคนเฝ้าเวรยามกลางดึก คนอื่นๆ ต่างพากันพักผ่อนั้แ่หัวค่ำ
ต้วนเหลยถิงเข้าไปในกระโจม จัดการปิดกระโจมให้มิดชิดจากด้านใน จากนั้นหยิบชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนก่อนจะแทรกกายเข้าไปในมิติวิเศษ
ชายหนุ่มนัดหมายกับโยวหรานเอาไว้แล้วว่า โยวหรานจะพักอาศัยอยู่ในหอเล็กฝานหวาทุกคืนเพื่อรอการกลับมาของเขา
มิติวิเศษนี้ช่างจัดเตรียมทุกสิ่งเอาไว้ให้พวกเขาอย่างเหมาะเจาะเหลือเกิน ไม่ว่าคนทั้งสองจะห่างไกลกันเพียงใด ก็ล้วนสามารถพบหน้ากันภายในมิติวิเศษ
ต้วนเหลยถิงไม่สนใจสิ่งใดในมิติทั้งสิ้น เพียงรู้สึกชอบใจในข้อดีประการนี้ของมันเหลือเกิน
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ควันเขียวผุดจากหลุมศพบรรพชน 祖坟冒青烟 หมายถึง เกิดเื่ดี หรือได้เป็ใหญ่เป็โต แต่ในขณะเดียวกันก็เป็คำเสียดสีด้วยเช่นกัน