เ้าเด็กอ้วนคนนี้ไม่รู้ความเกรงใจหรืออย่างไร
บางทีความนัยที่ปรากฏในแววตาของเจิ้งหยวนคงชัดเจนเกินไป ทำให้ซ่งปิงรู้สึกเก้อกระดากจนใบหน้าเห่อร้อนอย่างอับอายเสียอย่างนั้น ก่อนเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ผมคะ... แค่พูดเฉยๆ อาสะใภ้เกรงใจเกินไปแล้วครับ”
เจิ้งเจวียนหัวเราะพรูดออกมาจนเ้าอ้วนหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
ซ่งปิงเพิ่งถึงค่ายยุวปัญญาชนก็มีคนมาอธิบายกฎของค่ายให้เขาฟัง เหล่ายุวปัญญาชนที่อาศัยอยู่ในค่ายต้องกินข้าวด้วยกันและผลัดเวรกันทำอาหาร เขาถูกพะเน้าพะนอมาั้แ่เล็กจนโต แน่นอนว่าเด็กหนุ่มทำอาหารไม่เป็อยู่แล้ว เขาจึงมัวแต่กังวลอยู่ว่าหากถึงตาเขาลงครัวจะทำอย่างไรดี ครั้นได้ยินคำชวนของเฉินชุ่ยอวิ๋นเลยเผลอตอบรับออกไปโดยไม่ทันคิด หลังตอบถึงเพิ่งตระหนักว่าตัวเขาพูดจาไร้ยางอายขนาดไหน! ยุวปัญญาชนร่างท้วมคิดว่าตัวเองจะถูกสกุลเจิ้งเกลียดเสียแล้ว แต่ผิดคาดเมื่อเฉินชุ่ยอวิ๋นเอ่ยว่า “ได้สิ หากเธอไม่ชินกับอาหารของค่ายยุวปัญญาชนก็มาทานที่บ้านอาสะใภ้นะ”
เ้าเด็กอ้วนไม่กล้าเอออออีกต่อไป เขารีบส่ายศีรษะเป็พัลวัน
เจิ้งหยวนมองซ่งปิง ดวงตาเป็ประกายวิบวับ ก่อนคีบมะเขือม่วงให้เ้าเด็กร่างท้วมเมื่อเห็นเขาเหมือนจะชอบกินมะเขือม่วง แล้วเอ่ยบ้าง “ค่ายยุวปัญญาชนของพวกเธอผลัดเวรกันทำอาหารใช่ไหม? เธอทำอาหารไม่เป็ละสิ?”
ซ่งปิงพยักใบหน้าแดงเรื่อแล้วว่าด้วยเสียงร้อนรน “แต่ผมเรียนได้ครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจิ้งหยวนพลันเกิดความคิดดีๆ ขึ้นมา เธอจึงตัดสินใจพูดขึ้น “ความจริงเธอสามารถนำเสบียงอาหารและข้าวของต่างๆ ที่ทางกองแบ่งให้มากินด้วยกันกับครอบครัวเราได้นะ พอว่างก็ช่วยคนในครอบครัวทำงานเล็กๆ น้อยๆ หรือดูแลเด็ก วิธีนี้จะไม่ถือว่าเอาเปรียบครอบครัวเรา เราก็ไม่เอาเปรียบเธอ เหมือนว่ามีเธอเพิ่มเข้ามาเป็สมาชิกอีกคนแทน”
สิ้นเสียง สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่เจิ้งหยวนอย่างพร้อมเพรียงกันทว่าเจิ้งหยวนกลับเมินเฉยต่อสายตาพวกนั้น เธอมองมายังเ้าเด็กร่างท้วมตรงหน้าด้วยแววตาวาววับ “เธอคิดว่าเป็ยังไงบ้าง?”
พอถูกจ้องและถามอย่างนั้น ซ่งปิงจึงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เขาอยากตอบตกลงมาก จึงเอ่ยอ้ำๆ อึ้งๆ “ได้... ได้เหรอครับ?” ว่าแล้วก็หันมองซ้ายขวาสังเกตสีหน้าของเจิ้งเฉวียนกังกับเฉินชุ่ยอวิ๋น “จะไม่ลำบากพวกคุณเกินไปเหรอ?”
ความจริงนี่เป็วิธีการที่ดียิ่ง หัวหน้ากำชับเจิ้งเฉวียนกังให้ดูแลเด็กหนุ่มเป็พิเศษ เขาต้องทำอยู่แล้ว แต่จะดูแลอย่างไรจึงจะอยู่ในสายตาเขาได้ตลอดเวลาเล่า? อีกอย่างซ่งปิงก็ไม่ได้มาอาศัยกินข้าวบ้านเขาฟรีๆ แม้ที่บ้านจะมีปากท้องเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ทว่าคนเขาก็นำเสบียงอาหารมาให้ อันที่จริงบ้านพักของค่ายยุวปัญญาชนมีไม่เยอะนัก เลยมียุวปัญญาชนหลายคนเช่าห้องในบ้านของชาวบ้านอยู่ หากเด็กหนุ่มเต็มใจ ต่อให้อยู่บ้านเขาก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ก็แค่ห้องในบ้านน้อยลงเท่านั้น แต่ความคิดที่ลูกสาวเขานึกขึ้นมาได้ จะเป็เพราะความเห็นใจกันจริงๆ หรือ? ทำไมเขาเชื่อไม่ค่อยลงเลยล่ะ? เขาพินิจมองเจิ้งหยวนอย่างเคลือบแคลง ทว่าพอคิดไปคิดมา เมื่อไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว เจิ้งเฉวียนกังจึงพยักหน้าตกลง
เฉินชุ่ยอวิ๋นสังเกตสีหน้าของเจิ้งเฉวียนกังอยู่ตลอด ครั้นเห็นสามีพยักหน้าตกลง เธอก็ฉีกยิ้มอย่างยินดีทันที ก่อนเอ่ยต่อ “ไม่ลำบากหรอก ไม่ลำบากอยู่แล้ว แค่เพิ่มตะเกียบอีกคู่เท่านั้นเอง”
ทำไมเ้าเด็กอ้วนจะไม่ชอบใจเล่า ไม่ต้องทำอาหารถือเป็เื่ดีที่สุดแล้ว! เขาจึงไม่รีรอที่จะตอบรับเลยสักนิด “งั้น... งั้นก็... ก็รบกวนอาสะใภ้ด้วยครับ…”
พอตกลงกันเป็มั่นเป็เหมาะแล้ว เจิ้งหยวนพลันลอบเหยียดยิ้มมุมปาก เธอเสนอเช่นนี้ไม่ใช่เพราะ้าดูแลซ่งปิงหรอก แต่เพรราะรู้ดีว่าคุณพ่อของเขาคือข้าราชการประจำมณฑล หากปล่อยลูกข้าราชการที่ถูกต้องชอบธรรมไว้เกินสิบปีหลังจากนี้ ถึงตอนนั้นอยากประจบประแจงก็ทำไม่ได้แล้ว หลังปฏิรูปเศรษฐกิจจีน หากเธอทำธุรกิจเปิดบริษัท จำเป็ต้องหาคอนเนกชัน การผูกสัมพันธ์อันดีกับลูกข้าราชการไว้เสียั้แ่ปัจจุบัน ย่อมทำให้สะดวกสบายขึ้น แถมนิสัยใจคอซ่งปิงก็ดี ไม่ต้องกลัวว่าวันหน้าเขาเจริญแล้วจะลืมบุญคุณ
จริงๆ แล้วความคิดของเจิ้งหยวนค่อนข้างประจบคนใหญ่คนโตไปบ้าง แต่จะโทษเธอก็ไม่ได้หรอก คนที่ใช้ชีวิตมาหลายสิบปีและเชื่อในหลักการ ‘ไม่มีเพื่อนแท้ มีแต่ผลประโยชน์ที่คงอยู่ตลอดกาล’ อย่างเธอ เป็เื่ยากที่จะชำระตัวเองให้กลายเป็ดอกไม้ขาวบริสุทธิ์ไร้มารยาอีกรอบได้ ครั้นตัดสินใจอะไรได้เสร็จสรรพแล้ว เจิ้งหยวนก็ยกประเด็นที่เคยเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะให้ซ่งปิงไปเป็ผู้ประกาศสถานีวิทยุ เธอจึงถามว่าสำเนียงภาษากลางของเขาเป็อย่างไรบ้าง
ซ่งปิงเป็คนในเมืองเอกของมณฑล ซึ่งการใช้พินอินและภาษาจีนกลางแพร่หลายมาจากเมืองเอกของมณฑลแห่งนี้เป็ที่แรก ดังนั้น เด็กหนุ่มเลยเริ่มเรียนภาษากลางั้แ่ชั้นประถม เขาจึงเอ่ยรับ “ผมพูดภาษากลางได้ครับ!” ว่าแล้วเขาก็เปลี่ยนมาใช้ภาษากลางต่อ “พวกเราใช้ภาษากลางอ่านบทความที่โรงเรียนทั้งหมด คุณอาเฉวียนกัง คุณคิดว่าภาษากลางผมพอใช้ได้ไหมครับ?”
เจิ้งเฉวียนกังอายุตั้งเท่าไรแล้ว ไฉนจะเข้าใจเื่นี้ ฟังอย่างไรเขาก็รู้สึกว่าสำเนียงภาษาจีนกลางพิลึกพิลั่นอยู่ดี เลยหันไปมองเจิ้งหยวน เจิ้งหยวนจึงตอบแทนผู้เป็พ่อ “พูดใช้ได้ทีเดียว” ก่อนหันกลับมาสั่งเจิ้งเทียนเลี่ยงต่อ “เทียนเลี่ยง นายไปหาหนังสือพิมพ์ของพ่อเราในบ้านมาสักฉบับหน่อยสิ”
เจิ้งเทียนเลี่ยงที่กินข้าวเสร็จแล้วกำลังนั่งยองๆ เล่นมดอยู่ เมื่อได้ยินเสียงพี่สาวก็วิ่งแจ้นเข้าไปหยิบหนังสือพิมพ์ในบ้านออกมาทันที
เมื่อได้หนังสือพิมพ์มาแล้ว เจิ้งหยวนก็ยื่นให้ซ่งปิงอ่านให้ฟัง
เขาวางตะเกียบลงและเริ่มอ่านทีละคำ คนของมณฑลอย่างพวกเขามักออกเสียงห่อลิ้นกับเสียงไม่ห่อลิ้นไม่ค่อยชัดเจน แต่เด็กหนุ่มไม่มีปัญหานี้ ทั้งภาษากลางยังได้มาตรฐาน เสียงที่เปล่งออกมาแต่ละคำล้วนใสไพเราะ มีจังหวะจะโคน น่าฟังเป็อย่างยิ่ง เจิ้งหยวนพยักหน้าแช่มช้าและให้เขาอ่านอีกประโยค ครั้นอ่านเสร็จจึงให้เขาหยุด ก่อนหันไปยังเจิ้งเฉวียนกัง “ฉันว่าเขาพูดภาษาจีนกลางดีทีเดียว หนังสือพิมพ์ก็อ่านดีด้วยค่ะ”
เจิ้งเฉวียนกังเองก็รู้สึกว่ายุวปัญญาชนคนนี้อ่านดีเหมือนกัน เสียงดังกังวานมีพลังเหมือนผู้ประกาศในวิทยุ อันที่จริงดีกว่าสหายหญิงในสถานีวิทยุของกองพวกเขาเสียอีก ถึงกระนั้น เขาก็ยังลังเลเล็กน้อย “สถานีวิทยุไม่น่า้าคนมากขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
เจิ้งหยวนเตรียมคำพูดมากมายรอไว้ก่อนแล้ว “ปกติสถานีวิทยุของพวกเราจะอ่านประกาศ และคำบันทึกเสียงของท่านประธานเหมา ฉันคิดว่ามันไม่เกิดประโยชน์สักเท่าไรค่ะ พ่อ สำนักงานกองสมัครหนังสือพิมพ์ไว้เยอะไม่ใช่เหรอคะ หนังสือพิมพ์เป็แหล่งความรู้ พวกข่าวสารบ้านเมืองปัจจุบัน สถานการณ์ทางการเมืองมากมาย ไหนจะยังความคิดเห็นหรือคำปราศรัยของผู้นำอีก ทางหนังสือพิมพ์ก็เผยแพร่ออกสู่สาธารณชนในทันที สมาชิกกองของพวกเราก็ไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือพิมพ์กัน งั้นทำไมไม่ให้ผู้ประกาศสถานีวิทยุของกองเราอ่านให้พวกเขาฟังล่ะคะ? พวกเขาจะได้เปิดหูเปิดตารู้เื่ราวของโลกภายนอกบ้าง ไม่จดจ่อแต่เพียงโลกใบเล็กๆ ข้างหน้าตัวเอง และเดินตามรอยของพรรคการเมืองทัน”
เจิ้งเฉวียนกังตกอยู่ในห้วงภวังค์ คำพูดของลูกสาวเขาฟังดูมีเหตุผลอยู่บ้าง
ส่วนในใจของซ่งปิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ไม่ต้องลงแปลงนา แค่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในสถานีวิทยุเขาย่อมยินดีอยู่แล้ว มันเป็งานเบาสบายที่หาได้ยากยิ่ง! เขามองเจิ้งเฉวียนกังด้วยสายตาสุดแสนจะคาดหวัง เขาอยากให้เจิ้งเฉวียนกังตอบตกลงเสียเดี๋ยวนี้
ครั้นผ่านไปสักพัก เจิ้งเฉวียนกังจึงค่อยเอ่ย “ฉันจะไปปรึกษาหย่งชิ่งก่อนแล้วกัน”
เ้าเด็กอ้วนเผยสีหน้าเสียดายออกมาโดยไม่คิดปิดบังแต่อย่างใด เขาคิดว่าสิ่งที่เจิ้งเฉวียนกังพูดเป็การปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่เจิ้งหยวนรู้ว่าเื่นี้เกือบจะยืนยันแน่ชัดแล้ว เพราะปกติคุณพ่อเธอจะปฏิเสธตามตรง ไม่มีทางปรึกษาเสมียนหย่งชิ่งหากไม่ใช่เื่ที่มีแนวโน้มเป็ไปได้
เมื่อทานข้าวเสร็จ ซ่งปิงตัดสินใจนั่งคุยเล่นกับคนอื่นๆ สักพักก่อนจะขอตัวกลับไป เจิ้งเจวียนจึงสบโอกาสใช้ศอกสะกิดเจิ้งหยวนเงียบๆ ขณะที่พวกเธอสองคนกำลังช่วยกันเก็บชามและตะเกียบไปล้างกัน ก่อนเอ่ยถาม “ทำไมพี่ถึงปล่อยให้เ้าอ้วนมากินข้าวที่บ้านเราได้ง่ายๆ ล่ะ?” เธอจำได้ว่าพี่สาวเธอไม่ใช่คนมีน้ำใจชอบช่วยเหลือผู้อื่นสักหน่อย
แน่นอนว่าเจิ้งหยวนไม่มีวันพูดแผนการที่คำนวณไว้ออกไป จึงต้องคิดแผนใหม่เฉพาะหน้า เธอวางชามตะเกียบที่ล้างเรียบร้อยแล้วลงในถังตื้นสำหรับวางภาชนะพวกนี้โดยเฉพาะ หลังสะบัดน้ำออกจากมือ และเช็ดบนตัวเรียบร้อยแล้วจึงค่อยตอบว่า “แกบอกเองนี่ว่าฉันแต่งออกไปแล้วคุณแม่คงดูแลบ้านคนเดียวไม่ไหว ต่อไปเ้าอ้วนมากินข้าวกับครอบครัวเรา จะได้ช่วยพวกเราทำงานบ้าง ไม่ดีหรอกเหรอ? แกเหลืออีกแค่ปีเดียวจะจบมัธยมต้นแล้ว ยังไงก็ต้องเรียนให้จบ” ดีร้ายอย่างไร การจบมัธยมต้นก็เป็วุฒิการศึกษาอย่างหนึ่ง เธอไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเตรียมหนังสือสำหรับการติวอีกนานแค่ไหน ทั้งยังขาดความรู้พื้นฐานวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีไป ต่อให้รู้โจทย์ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดิม ก็ใช่ว่าจะแก้โจทย์ได้เสียหน่อย! ดังนั้น การให้เจิ้งเจวียนไปเรียนจนจบมัธยมต้นจะดีที่สุด
“เขาน่ะเหรอ? คนแบบเขาจะทำอะไรได้กัน?” เจิ้งเจวียนทำหน้าดูถูก
ครั้นได้ยินดังนั้น เจิ้งหยวนจึงเอ่ยตอบตามจริง “ไม่เป็ก็เรียนรู้ได้ ฉันเหลือเวลาอีกหลายเดือนกว่าจะแต่งออก สอนทันอยู่แล้ว”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้