ถังสุ่ยตามอวิ๋นโส่วจงและบุตรสาวกลับบ้านตระกูลอวิ๋น ส่วนอากุ้ยก็เตรียมรถม้า ทั้งสองคนไปรับอวิ๋นฉี่เยว่ที่บ้านอาจารย์หม่า หลังจากมาถึงอำเภอ ทั้งสองคนก็แยกย้ายกันไป อวิ๋นฉี่เยว่ตรงไปที่ร้านหนังสือหังไจ ส่วนถังสุ่ยก็ไปที่โรงเตี๊ยมที่มักจะส่งสินค้าให้
ทันทีที่อวิ๋นฉี่เยว่ปรากฏตัวที่ร้านหนังสือหังไจ หลงจู๊ร้านก็ตื่นเต้นเป็อย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องบนได้สั่งเอาไว้แล้วว่าอาจารย์หลานหลิงอยู่ที่เมืองจิ่วจิ้น ให้จับตาดูเขาให้ดี นิยายของอาจารย์หลานหลิงคราวที่แล้วขายดีเป็เทน้ำเทท่าทั้งในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ
ที่สำคัญคือ นิยายเื่นี้ของอาจารย์หลานหลิงยังเขียนไม่จบ เขายังมีภาคต่ออีก! ทุกๆ สองสามวันก็จะมีคนมาถามว่ามีภาคต่อหรือยัง ประตูร้านแทบจะพังอยู่แล้ว!
หลงจู๊ใหญ่ของร้านสาขาหลักก็ส่งจดหมายมากำชับเขาหลายครั้ง ให้จับตาดูเด็กหนุ่มที่ช่วยอาจารย์หลานหลิงทำงานให้ดี โชคดีที่หลงจู๊ใหญ่ของร้านฝูหรงเซวียนติดต่อกับครอบครัวของเด็กหนุ่มคนนั้น เขาจึงได้ข่าวคราวจากสาวใช้ของหลงจู๊ใหญ่ซุน ของร้านฝูหรงเซวียนเป็ครั้งคราว มิเช่นนั้นเขาจะไปจับตาดูที่ไหนได้เล่า
ตอนนี้พอเห็นอวิ๋นฉี่เยว่มาที่ร้าน หลงจู๊จึงรีบต้อนรับราวกับบูชาบรรพบุรุษ เชิญเข้าไปในห้องรับรองแขกสูงศักดิ์พร้อมกับนำชาชั้นเลิศ ผลไม้ และขนมหวานมาต้อนรับ
“...ในที่สุดท่านก็มาแล้ว หรือว่าอาจารย์หลานหลิงเขียนภาคต่อเสร็จแล้วหรือ?” ต้องเป็ภาคต่อแน่ๆ มิเช่นนั้นเขาก็คงต้องกระวนกระวายใจต่อไป
อวิ๋นฉี่เยว่ยกถ้วยชาขึ้นจิบ หลังจากวางถ้วยชาลงแล้วจึงเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์เขียนภาคต่อเสร็จแล้ว แต่ท่านอาจารย์บอกว่าราคาเดิมคงไม่ได้แล้ว”
หลงจู๊รีบพูด “ไม่เป็ไร พวกเราสามารถเพิ่มราคาได้ หนึ่งพันตำลึงเงิน ท่านว่าอย่างไร? ยุติธรรมพอหรือไม่?”
อวิ๋นฉี่เยว่ไม่ได้ตอบทันที แต่เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “เพียงแค่ในเมืองหลวง นิยายของท่านอาจารย์เล่มที่แล้วก็ขายได้มากกว่าสองสามหมื่นเล่มแล้ว จากราคาที่พวกท่านกำหนดไว้ เล่มละห้าตำลึงเงิน”
“ต่อให้ขายได้แค่สองหมื่นเล่ม ก็ได้เงินถึงหนึ่งแสนตำลึงเงิน แค่ในเมืองหลวงก็ขายได้มากมายขนาดนี้ นับประสาอะไรกับเงินที่ขายได้ในเมืองอื่นๆ! หลงจู๊จู ท่านคิดว่าหนึ่งพันตำลึงเงินเหมาะสมจริงๆ หรือ?”
หลงจู๊จูฟังอวิ๋นฉี่เยว่คำนวณบัญชีจนเหงื่อตก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็เด็กชายอายุสิบสามปี แต่เขากลับรู้สึกว่ากำลังเผชิญหน้ากับพ่อค้าที่มีประสบการณ์อยู่ในวงการค้าขายมานานหลายปี
“ดูท่านพูดเข้าสิ ค่าใช้จ่ายของร้านหนังสือพวกเราก็สูงมากเช่นกัน แม้จะขายเล่มละห้าตำลึงเงิน แต่กระดาษ ค่าแรง ค่าขนส่ง ล้วนต้องคำนวณต้นทุนทั้งสิ้น หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว สุดท้ายกำไรที่เหลือถึงมือก็มีไม่มากหรอก”
อวิ๋นฉี่เยว่ยิ้มๆ “ข้าก็ไม่ได้อยากทำให้ท่านหลงจู๊ลำบากใจ ท่านอาจารย์บอกว่าหากพวกท่านให้ราคาไม่ได้ ท่านอาจารย์จะเปิดร้านหนังสือเอง ข้าเชื่อว่าด้วยชื่อเสียงของท่านอาจารย์ การเปิดร้านหนังสือมิใช่เื่ยาก ถึงตอนนั้นนิยายของท่านอาจารย์วางแผง อย่างมากก็ขายให้ร้านของท่านเล่มละสามตำลึงเงิน”
หลงจู๊ได้ยินดังนั้นก็ใ อย่าเลยนะ หากอาจารย์หลานหลิงเปิดร้านหนังสือเอง พวกเขาจะเอาอะไรมาหากำไรเล่า? หนังสือหนึ่งเล่มได้กำไรสองตำลึงเงิน จะไปสู้กับการพิมพ์เองขายเองได้อย่างไร?
“คุณชายอวิ๋น ท่านบอกความ้าของอาจารย์หลานหลิงมาตรงๆ เลยเถิด”
อวิ๋นฉี่เยว่เอ่ยขึ้น “ท่านอาจารย์้าขายขาดภาคต่อให้ร้านหนังสือหังไจในราคาสามหมื่นตำลึงเงินเป็เวลาห้าปี หลังจากห้าปี หากร้านหนังสือหังไจยัง้าขายต่อ ก็ให้มาเจรจาราคากับท่านอาจารย์ใหม่ และทำสัญญา”
“แน่นอนว่าเื่นี้ข้าไม่้าให้ท่านตอบตกลงในทันที ท่านอาจารย์ให้เวลาพวกท่านห้าวันในการตัดสินใจ หากเกินกำหนด ข้าจะต้องทำตามคำสั่งของท่านอาจารย์ นำภาคต่อไปขายให้ร้านอื่น”
หลงจู๊จะยังพูดอะไรได้อีก? อย่างแรกเลยคืออวิ๋นฉี่เยว่เป็เพียงคนที่ช่วยทำงานแทนอาจารย์หลานหลิงเท่านั้น อย่างที่สองคือเขาไม่กล้าตอบตกลงหรือปฏิเสธเงื่อนไขที่อวิ๋นฉี่เยว่เสนอมา นี่มันราวกับเป็การฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็เลยนะ!
หลงจู๊ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนจะเอ่ยรับ “ตกลง ข้าจะรีบแจ้งเื่นี้ให้เบื้องบนทราบ พอได้ข่าวแล้วจะไปแจ้งท่านที่บ้าน”
อวิ๋นฉี่เยว่ลุกขึ้นยืน ประสานมือคำนับลา “เช่นนั้นก็รบกวนท่านแล้ว!”
หลงจู๊ฝืนยิ้ม โค้งคำนับส่งอวิ๋นฉี่เยว่ “ไม่รบกวนๆ เราต่างหากที่รบกวนให้ท่านเสียเวลาเดินทางมาหลายรอบ”
เดิมทีเขาคิดว่าอย่างมากก็จ่ายเงินไม่กี่พันตำลึงเงิน ก็สามารถซื้อภาคต่อของนิยายเื่นี้ได้ เช่นนั้นหลงจู๊ใหญ่ของร้านสาขาหลักก็ต้องชมเชยเขา เมื่อถึงสิ้นปีเขาก็คงจะได้รับโบนัสก้อนโต
แต่ตอนนี้... เฮ้อ รีบรายงานเื่นี้ให้เบื้องบนทราบดีกว่า โชคดีที่หลงจู๊ใหญ่ของร้านฝูหรงเซวียนอยู่ที่เมืองจิ่วจิ้น หลงจู๊ใหญ่ของร้านหนังสือเคยกำชับเขาเอาไว้ว่าหากเขาตัดสินใจเื่ของอาจารย์หลานหลิงไม่ได้ ให้ไปปรึกษาหลงจู๊ซุน หลงจู๊ใหญ่ของร้านฝูหรงเซวียน
หลงจู๊จูเพิ่งส่งอวิ๋นฉี่เยว่ออกไป ก็รีบตรงไปที่ร้านฝูหรงเซวียนทันที อวิ๋นเหนียงเพิ่งกลับมาที่ร้านฝูหรงเซวียนได้ไม่นาน นางเพิ่งสั่งงานเื่สบู่ผลึกแก้วเสร็จ หลงจู๊จูก็มาหาด้วยความรีบร้อน
หลังจากฟังหลงจู๊จูที่เหงื่อแตกพลั่กเล่าเื่ทุกอย่างจนจบ นางก็เริ่มครุ่นคิด คราวที่แล้วท่านโหวเคยบอกว่าอาจารย์หลานหลิงก็คืออวิ๋นฉี่เยว่ นิยายที่เขานำไปขายที่ร้านหนังสือหังไจคราวที่แล้วชื่อว่า ‘ลำนำศาลากลางคลื่นลม’ เนื้อเื่เกี่ยวกับบัณฑิตตกยากคนหนึ่งที่ละทิ้งการเรียน หันมาจับดาบเพื่อปกป้องแคว้น
เื่ราวทั้งหมดพลิกผันน่าติดตาม ในขณะที่ต่อสู้กับศัตรูอย่างกล้าหาญ ก็ยังสอดแทรกเื่ราวความรักระหว่างบัณฑิตกับบุตรสาวของท่านแม่ทัพ วีรสตรีผู้กล้าหาญ มีความฮึกเหิมจากการต่อสู้ มีสตรีโฉมงาม และความอบอุ่นจากความรัก
ทำให้อ่านแล้ววางไม่ลง แต่ ‘ลำนำศาลากลางคลื่นลม’ จบลงตรงที่บัณฑิตถูกคนทรยศหักหลัง ถูกฝ่ายศัตรูจับตัวไป ทำให้นักอ่านติดตามเื่ราวอย่างใจจดใจจ่อ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนนำ ‘ลำนำศาลากลางคลื่นลม’ ไปดัดแปลงเป็งิ้วแสดงบนเวที ในโรงน้ำชา นักเล่านิทานก็มักจะเล่าเื่ ‘ลำนำศาลากลางคลื่นลม’ เช่นกัน
เด็กหนุ่มวัยสิบสามปีสามารถแต่งเื่ราวและนิยายแบบนี้ออกมาได้ นับว่าเหลือเชื่อจริงๆ ตอนนี้ในใจอวิ๋นเหนียง อวิ๋นฉี่เยว่เป็เด็กหนุ่มอัจฉริยะที่เก่งรองจากท่านโหวของพวกนางแล้ว “นี่เป็เื่ดี เ้ารีบไปตกลงตามเงื่อนไขของเขา แล้วลงนามในสัญญาทันที!”
“ขอรับ ข้าจะรีบไปจัดการ!” หลงจู๊จูรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว ในเมื่อหลงจู๊ใหญ่ซุนบอกให้ลงนาม เขาก็ลงนาม หากเกิดเื่ผิดพลาดขึ้นมาก็ให้หลงจู๊ใหญ่ซุนรับผิดชอบ หากได้รับรางวัลเขาก็รับไว้ นับเป็เื่ดี!
หวังว่าอวิ๋นฉี่เยว่จะยังไม่ไปไหนไกล หลงจู๊จูรีบร้อนกลับไป แล้วถามลูกจ้างว่าอวิ๋นฉี่เยว่ไปทางไหน จากนั้นเขาก็ขี่ม้าตามหาอวิ๋นฉี่เยว่ตามเส้นทางที่ลูกจ้างบอก ในที่สุดเขาก็พบอวิ๋นฉี่เยว่ที่หน้าประตูเมือง จึงเชิญเขากลับไปที่ร้านหนังสือหังไจอีกรอบ
เมื่ออวิ๋นฉี่เยว่ออกจากร้านหนังสือหังไจอีกครั้ง ในกระเป๋าเสื้อของเขาก็มีตั๋วเงินจำนวนหกหมื่นตำลึงเงินและสัญญาหนึ่งฉบับ
อวิ๋นฉี่เยว่ไม่ได้รีบกลับบ้าน เขาแวะไปที่ร้านขนม ซื้อขนมหวาน ลูกกวาด และของว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อวิ๋นเจียวชอบ จากนั้นก็คิดได้ว่าอีกไม่นานอากาศก็จะเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว จึงไปที่ร้านผ้า ซื้อผ้าไหมและผ้าฝ้ายเนื้อดีสีอ่อนอีกหลายพับ
ทันทีที่อวิ๋นฉี่เยว่นำของทั้งหมดใส่รถม้า ก็ได้ยินเสียงคนเรียกเขา “สิงจือ! เ้าจริงๆ ด้วย!”
“พี่ฉี่เยว่!”
อวิ๋นฉี่เยว่หันไปมอง ก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินตรงมาหาเขาด้วยความตื่นเต้น
เขาประสานมือคำนับผู้มา “จิ่นอวี๋”
โลกใบนี้ช่างเล็กนัก ไม่คิดเลยว่าจะได้พบสหายร่วมชั้นเมื่อครั้งอดีตที่อำเภอจิ่วจิ้น!