การประลองระหว่างหลินเฟิงและเฮยม่อก็ได้ผ่านมาแล้วสองเดือน ผู้คนต่างพูดถึงเื่การต่อสู้ในวันนั้นน้อยลง ส่วนสำนักเทียนอี้ก็เข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
แต่ละคนได้พยายามบ่มเพาะเพื่อยกระดับความแข็งแกร่งให้มากกว่าเดิม และไม่มีเื่ผิดปกติอะไรระหว่างการบ่มเพาะ
ในขณะนั้นได้มีคนผู้หนึ่งเดินออกจากหอฝึกฝน คนคนนั้นสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและมีรูโหว่มากมายดูแล้วทรุดโทรมราวกับคนจรจัด อย่างไรก็ตามผู้คนที่เดินผ่านไปมา เมื่อเห็นชายคนดังกล่าวแล้ว สายตาของพวกเขาพลันฉายแววหวาดกลัวออกมา แม้การแต่งกายจะดูไม่ได้แต่ก็ไม่มีใครสามารถดูถูกเขาได้เลยแม้แต่น้อย
เ้าของร่างเงานี้คือ หลินเฟิง
เมื่อมองไปยังท้องฟ้า ตอนนี้ก็เป็เวลาเย็นแล้ว ท้องฟ้าที่ห่างไกลมีเมฆลอยอยู่มากมายช่างดูงดงาม ทว่าในโลกของผู้ฝึกยุทธ์นั้น กลับมีน้อยคนที่จะได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม ความแข็งแกร่งเป็ข้อได้เปรียบหนึ่งเดียวของโลกผู้ฝึกยุทธ์ หากแข็งแกร่งแล้วสามารถทำได้ทุกสิ่งอย่าง แต่เมื่ออ่อนแอก็ต้องถูกรังแกเสมอ
ในขณะที่หลินเฟิงกำลังจะก้าวเท้าไป กลับมีร่างหนึ่งปรากฏตัวด้านหน้าหลินเฟิง
เมื่อเห็นคนคนนี้แล้ว สายตาของหลินเฟิงดูแข็งทื่อเล็กน้อย ั์ตาของเขาฉายแววประหลาดใจออกมา
หลินเฟิงเคยเห็นชายผู้นี้มาก่อน ที่ร้านอาหารชิงซินที่อยู่นอกเมืองหลวงวันนั้น และชิงซินเ้าของร้านอาหารก็มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับชายชุดดำผู้นี้ หลินเฟิงไม่คาดว่าเขาจะมาที่นี่ อีกทั้งยังมาปรากฏต่อหน้าตนเองอีกด้วย
“นายน้อยหลิน ข้ามีนามว่าหนานซาน”
คาดไม่ถึงเลยว่าชายผู้นี้จะยิ้มให้หลินเฟิงอย่างสุภาพ และยังแนะนำตัวเองก่อนตามมารยาทอีกด้วย
“หนานซาน!” หลินเฟิงพึมพำขณะมองไปที่เขา แล้วกล่าวว่า “มีเื่อะไรหรือ?”
“อืม” หนานซานพยักหน้าเล็กน้อย สายตาของเขาในตอนนี้ไม่เ็าเหมือนครั้งที่เคยเจอกัน ใบหน้าเขาในตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม “ข้าเป็ห่วงนายน้อยหลินในการบ่มเพาะว่าทำไมวันนี้ยังไม่ออกมาเสียที แต่ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าหนานซานจะมาทันเวลาพอที”
หลินเฟิงรู้สึกสงสัย มาทันเวลา? อีกฝ่ายตามหาเขาไปเพื่ออะไรกัน?
“เรียนนายน้อยหลิน นายน้อยของข้า้าเชิญท่านไปร่วมงานเลี้ยง และให้ข้ามานำทางท่านไป เราหวังว่าท่านจะสามารถไปร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้นะขอรับ” หนานซานกล่าวอย่างสุภาพ ทำให้ในใจของหลินเฟิงยิ่งแปลกใจมากขึ้น งานเลี้ยง?
“นายน้อยของเ้าเป็ใครกัน? ทำไมถึงเชิญข้าไปงานเลี้ยง?” หลินเฟิงถามอย่างสงสัย ครั้งสุดท้ายที่เขาเผชิญหน้ากับหนานซาน พวกเขาเกือบเข้าปะทะกัน แต่คราวนี้คาดไม่ถึงว่าหนานซานจะมาเชิญเขาไปร่วมงานเลี้ยง จึงทำให้หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจมาก
“นายน้อยของข้าเคยพบท่านแล้ว ในการต่อสู้เมื่อสองเดือนก่อนนายน้อยของข้าได้มาด้วยตัวเองและนั่งอยู่ใจกลางอัฒจันทร์” คำตอบของหนานซานทำให้หลินเฟิงตัวแข็งทื่อ “องค์ชายรอง?”
“ใช่แล้วขอรับ นายน้อยของข้าก็คือองค์ชายรอง” หนานซานพยักหน้า
เมื่อได้ยินคำตอบที่ชัดเจนของอีกฝ่าย หลินเฟิงกลับจ้องเขม็งไปที่หนานซาน หนานซานคือคนขององค์ชายรอง ไม่น่าล่ะ... องค์ชายรองถึงได้รู้สถานะของเขา อาจเป็ครั้งนั้นที่เขากับหนานซานมีเื่ทะเลาะกันที่ร้านอาหารชิงซิน
“หรือเป็เพราะเมิ่งฉิง?”
ในใจของหลินเฟิงพลันเกิดความคิดขึ้นมา ว่าวันนั้นฝีมือของเขาแม้จะยังไม่ดี แล้วคงไม่เพียงพอที่จะทำให้องค์ชายรองต้องมาสนใจ แต่วันนั้นเป็เมิ่งฉิงที่ทำลายร้านอาหารชิงซินจนพังพินาศ ซึ่งทำให้ผู้คนต่างตื่นตระหนก
อย่างไรก็ตามหากองค์ชายรอง้าเชิญเมิ่งฉิงล่ะก็ เขาก็น่าจะลงมาเชิญด้วยตัวเอง ไม่น่าส่งใครมาเชิญแทนเช่นนี้ หรืออาจเป็เล่ห์กลน่าสงสัยบางอย่าง แล้วเขาจะเชิญหลินเฟิงไปร่วมงานเลี้ยงทำไมกัน? ฟังดูแล้วไม่น่าเป็ไปได้เลย
“ทำไมถึงเชิญข้าไปกัน?” หลินเฟิงกล่าวถาม
“ฝ่าากล่าวว่า หลังจากที่นายน้อยหลินไปแล้วจะเข้าใจเองขอรับ”
หนานซานตอบกลับ หลินเฟิงหรี่ตาลงและเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นได้กล่าวอีกครั้งว่า “จะเริ่มออกเดินทางตอนนี้เลยหรือไม่? ”
หนานซานเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางกล่าวว่า “งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มเร็วๆ นี้แล้ว หากตอนนี้นายน้อยหลินสะดวกก็เริ่มออกเดินทางได้ขอรับ”
“อืม” หลินเฟิงลังเลอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็พยักหน้า
ตอนนี้เขาอยากรู้ว่าทำไมองค์ชายรองถึงปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้?
ส่วนเื่ความปลอดภัยนั้นหลินเฟิงไม่ได้เป็กังวลเลย หากองค์ชายรอง้าสังหารหลินเฟิงล่ะก็ เขาไม่จำเป็ต้องใช้วิธียุ่งยากขนาดนี้เสียด้วยซ้ำ
เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ชายรองต้วนหวู่หยาแล้ว เขาในตอนนี้ก็เป็แค่คนต่ำต้อยเท่านั้น
ไม่คิดว่าจะชวนหลินเฟิงไปร่วมงานเลี้ยงได้ง่ายดายเช่นนี้ หลังจากคิดเช่นนั้นหนานซานก็นำทางหลินเฟิงออกไป
“นายน้อยหลิน ข้าได้เตรียมม้าไว้แล้ว” หนานซานชี้ไปที่ม้าสองตัวที่ผูกเอาไว้ พวกมันมีเขาสีแดงงอกออกมาจากหน้าผากดูเกรงขามอย่างคาดไม่ถึง
“ม้าั!”
เมื่อหลินเฟิงเห็นม้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเขาก็ถอนหายใจ ม้าัเป็ม้าที่มีศักยภาพสูงมาก สัตว์อสูรปีศาจธรรมดาไม่อาจที่เทียบกับมันได้ พวกมันมีความเร็วที่น่าเหลือเชื่อและมีกำลังขาที่ทรงพลัง ม้าธรรมดาเดินทางได้มากกว่า 500 กิโลเมตรต่อวัน ในขณะที่ม้าัสามารถเดินทางได้มากกว่า 5,000 กิโลเมตรต่อวัน พวกมันเร็วกว่าม้าธรรมดาถึง 10 เท่า แม้กระทั่งเร็วกว่าม้าโลหิต
“ใช่แล้วขอรับ นี่คือม้าั” หนานซานก้าวออกไปสองก้าวและจูงม้าัมาให้หลินเฟิง จากนั้นหนานซานก็ะโขึ้นไปบนหลังม้าอีกตัว แล้วหันไปกล่าวกับหลินเฟิงว่า “นายน้อยหลิน ข้าจะนำทางไปก่อน โปรดตามข้ามา”
หลังจากกล่าวจบ หนานซานก็ควบม้าออกไปด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
จากนั้นหลินเฟิงก็ะโขึ้นหลังม้า ทั้งสองคนได้พุ่งไปจากสำนักเทียนอี้ ซึ่งนั่นได้ดึงดูดสายตาของผู้คนเป็จำนวนมาก
…
ในเมืองหลวงของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ หากพูดถึงสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือพระราชวังเสวี่ยเยว่ อย่างไรก็ตามยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่มีชื่อเสียงเช่นกัน
เหล้าชั้นยอดที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองหลวงก็คือ ‘เหล้าเซียงซือ’ หากผู้ที่ชื่นชอบการร่ำสุราอยู่เป็นิจ หากได้ลิ้มรสหอมหวานราวกับอยู่ในห้วงความรักของเหล้าชนิดนี้ล่ะก็ คงไม่มีใครสามารถลืมเลือนมันได้
และเป็สถานที่แห่งเดียวเป็ต้นกำเนิดของวัตถุดิบสำคัญของเหล้าชนิดนี้ก็คือ ป่าเซียงซือ
ผู้คนในเมืองหลวงล้วนทราบชื่อเสียงของป่าเซียงซือดี แต่พวกเขากลับไม่เคยเข้าไปเหยียบป่าเซียงซือเลย อีกทั้งยังไม่เคยลิ้มลองรสชาติของเหล้าเซียงซือ เพราะเหล้าเซียงซือนั้นไม่อนุญาตให้นำออกจากป่าเซียงซือ นี่เป็กฎเหล็กของป่าแห่งนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ตามต้องปฏิบัติตามกฎ แม้จะเป็ขุนนางหรือแม้แต่คนของราชวงศ์ก็ตาม หากย่างกรายเข้าไปในป่าแห่งนี้แล้วทุกคนล้วนต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด
กฎเหล่านี้มีมาั้แ่ป่าเซียงซือได้ก่อตั้งขึ้น และไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง
มีข่าวลือว่าเ้าของป่าได้สร้างป่าเซียงซือไว้สำหรับคนรัก
อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ป่าเซียงซือถึงกลายเป็สถานที่สำหรับผู้มีฐานะ มีเพียงเหล่าชนชั้นสูงของเมืองหลวงเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้ามาเหยียบป่านี้ ซึ่งคนธรรมดาไม่อาจย่างกรายเข้ามาได้
ในเวลานี้หนานซานและหลินเฟิงได้เข้าไปในป่าเซียงซือแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้ขี่ม้าัเข้าไป เพราะป่าเซียงซืออนุญาตให้เดินเท้าเข้าไปเท่านั้น
เมื่อเห็นทิวทัศน์อันสวยงามรอบด้าน จิตใจของหลินเฟิงก็กลายเป็สงบมากขึ้น ที่นี่ล้อมรอบไปด้วยไม้ไผ่ มีสะพานพาดผ่านลำธารเล็กๆ ในอากาศมีกลิ่นหอมรัญจวนลอยอยู่ ทำให้ไม่ว่าใครก็ตามคงไม่อาจต้านทานได้
เป็เื่ยากที่จะจินตนาการว่า ท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองหลวง คาดไม่ถึงว่าจะมีสถานที่เช่นนี้ มันคล้ายคลึงกับสวนดอกท้อของท่านอาจารย์ที่สำนักเทียนอี้ไม่ผิดเพี้ยน
“ช่างเป็สถานที่ที่ดี”
หลินเฟิงอดกล่าวชื่นชมออกมาไม่ได้ ท่ามกลางป่าไผ่อาจมีคนดื่มเหล้าอยู่บางจุด คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็คนที่มีฐานะสูงส่ง ทว่าไม่มีใครแสดงท่าทางหยิ่งผยองออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เพราะที่นี่คือป่าเซียงซือ หากทำอะไรไม่คิดพวกเขาอาจเจอใครสักคนที่มีสถานะและตำแหน่งสูงกว่าพวกเขา
หนานซานนำทางหลินเฟิงไปตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียว พวกเขาก้าวไปช้าๆ จนกระทั่งเห็นทะเลสาบที่รายล้อมไปด้วยต้นไผ่ปรากฏขึ้นในสายตา ภาพที่เห็นราวกับเป็ดินแดนแห่งความฝันก็ไม่ปาน
เหนือทะเลสาบมีศาลากว้างใหญ่ คาดไม่ถึงว่าบนศาลาแห่งนั้นจะมีผู้คนมากมายอยู่
“ที่นี่แหละขอรับ นายน้อยหลินสามารถเข้าไปข้างในได้เลย”
หนานซานยิ้มให้กับหลินเฟิง เหนือทะเลสาบได้มีไม้สีแดงปูเป็ทางเดิน มันตั้งอยู่เหนือทะเลสาบที่นำไปสู่ศาลา
หลังจากกล่าวจบแล้วหนานซานก็หันหลังให้หลินเฟิงก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะหน้าที่ของเขาได้จบลงแล้ว ไม่มีเหตุผลให้เขาต้องอยู่ที่นี่ต่อ
หลินเฟิงได้แต่กะพริบตาแล้วทอดมองทะเลสาบอันงดงาม ศาลาเหนือทะเลสาบที่ปรากฏในสายตาของหลินเฟิง ยังมีศาลาอีกหลายหลังแต่กลับไม่มีผู้คนอยู่ จึงทำให้ทะเลสาบดูเงียบสงบ มีเพียงศาลาที่อยู่เบื้องหน้าหลินเฟิงเท่านั้นที่มีเสียงดังออกมา
หลินเฟิงก้าวไปตามทางเดินที่มีไม้สีแดงปูไว้เพื่อไปยังศาลา ในขณะนั้นได้มีคนปรากฏตัวด้านหลังของเขา
เมื่อคนคนนั้นเห็นหลินเฟิงที่แต่งกายซอมซ่อ จึงขมวดคิ้วย่นและกล่าวว่า “ไสหัวออกไปซะ”
หลินเฟิงหันไปและขมวดคิ้วมุ่น เขากวาดสายตามองชายหนุ่ม คนคนนี้สวมใส่ชุดที่หรูหรา ผมยาวถูกถักเป็เปีย และเขาก็มีใบหน้าหล่อเหลา ทว่าสีหน้าของเขากลับดูเย็นะเื สายตาที่มองหลินเฟิงเต็มไปด้วยความดูถูกและมีท่าทางหยิ่งยโส
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้