“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ท่านอาหลี่บอกว่า ท่านพ่อเป็แม่ทัพใหญ่ที่ฝ่าาทรงแต่งตั้ง ก็คือ...ก็คือมีหน้าที่ปกป้องรักษาบ้านเมือง กระหม่อมเป็บุตรชายของท่านพ่อ ย่อมต้องเหมือนท่านพ่อแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหนิงฮ่องเต้ทรงรำลึกถึงเมื่อครั้งนั้นที่หลี่ซวี่ในวัยสิบสามปีคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า “ข้าน้อยขอสาบานว่าจะติดตามรับใช้ท่านอ๋องไปจนวันตาย” จ้าวหนิงฮ่องเต้ในเวลานั้น เป็เพียงฉีอ๋องที่ไร้ซึ่งอำนาจใดๆ ในมือ
เมื่อหันกลับมามองบุตรชายของหลี่ซวี่ในตอนนี้ที่พูดอย่างเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจว่า้าช่วยตนทำการใหญ่ เ้าเด็กน้อยคนนี้ ยังมิรู้ว่าการทำงานให้องค์ฮ่องเต้นั้นเป็เื่ที่สมควรและสมเหตุสมผลอยู่แล้ว คำว่าช่วยนั้น มิสามารถใช้ได้ ทว่าดวงตาทั้งคู่ที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความคาดหวังพึ่งพา ความไร้เดียงสาที่ไร้ซึ่งตำหนิเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน “เมื่อครู่เ้าพูดว่าเ้าชื่ออะไรนะ?”
“หลี่ลั่วขอรับ ท่านย่าของกระหม่อมบอกว่า เป็ของล้ำค่าที่ตกลงมาจากฟ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าเขียนหนังสือได้หรือไม่?”
“เขียนได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเรียนหนังสือเขียนตัวอักษรกับท่านตาั้แ่อายุสามขวบ”
“อ้อ? ถ้าเช่นนั้นจงเขียนชื่อของเ้ามาให้เจิ้นดูซิ?” ชื่อของตนนั้นเขาย่อมรู้ จ้าวหนิงฮ่องเต้จึงจัดเตรียมกระดาษและพู่กันให้เขา
ทว่าโต๊ะทรงพระอักษรนั้นสูงเกินไป ถึงแม้ว่าหลี่ลั่วจะเขย่งเท้าแล้วก็ตาม มือก็ยังวางบนโต๊ะไม่ถึงอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงหยิบกระดาษและพู่กันแล้วนั่งลงบนพื้น ค่อยๆ เขียนชื่อและแซ่ของตนออกมาทีละขีดๆ
เด็กน้อยที่นั่งขยับเคลื่อนไหวอยู่บนพื้นนั้นดูแล้วช่างน่ารักน่าชังยิ่งนัก จ้าวหนิงฮ่องเต้หลุบพระเนตรลงต่ำ ทอดพระเนตรมองหลี่ลั่วขณะเขียนชื่อของตนเอง ตัวอักษรของเด็กอายุห้าขวบย่อมไม่มีความเป็ศิลปะอยู่ในนั้น แต่ทว่าแต่ละขีดนั้นเขียนลำดับอักษรได้ถูกต้องตามหลักการ แววพระเนตรของจ้าวหนิงฮ่องเต้ปรากฏความประหลาดใจขึ้นมาวูบหนึ่ง ตัวอักษรนี้ช่างสมบูรณ์แบบ ครั้นแล้วฮ่องเต้จึงทรงหยิบกระดาษและพู่กันบนโต๊ะอักษร ทรงอักษรหลี่ลั่วสองตัวอักษร จากนั้นจึงส่งให้เขา “ต่อไป ให้ใช้ชื่อหลี่ลั่ว ลั่ว[1] ตัวนี้”
เมื่อหลี่ลั่วเห็นตัวอักษรลั่วตัวนี้ หัวใจก็พลันกระตุกวูบ มันช่างบังเอิญโดยแท้ “เพราะเหตุใดเล่า?” ต้องใช้ความช่างสงสัยของเด็กน้อย ไม่เข้าใจก็ถาม
“ตัวอักษรลั่วที่ข้างบนเป็หมวดต้นหญ้าดูแล้วให้ความรู้สึกอ้างว้างไปบ้าง ตัวอักษรลั่วตัวนี้อยู่ในหมวดน้ำ สะอาดใสบริสุทธิ์ เหมาะกับเ้า” จ้าวหนิงฮ่องเต้ทรงอธิบายเช่นนั้นแก่เด็กน้อยโดยที่ไม่ได้ใส่ใจว่าหลี่ลั่วนั้นจะฟังเข้าใจหรือไม่
“คุณชายน้อยขอรับ ฝ่าาทรงพระราชทานชื่อแก่ท่าน ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าา” ไห่กงกงเอ่ยเตือนขึ้น นี่ก็นับว่าเป็การพระราชทานชื่อ ถ้าหากใช้ได้ดีก็เป็วาสนาใหญ่คับฟ้า
หลี่ลั่วเดิมนั้นนั่งอยู่กับพื้น จึงเปลี่ยนเป็คุกเข่าในทันใด “เป็พระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าาทรงพระราชทานชื่อให้กระหม่อม” จากนั้นหลี่ลั่วจึงนำกระดาษที่มีตัวอักษรหลี่ลั่วสองตัวพับอย่างดีแล้วซ่อนไว้ในอกเสื้อของตน นี่คือชื่อที่ฮ่องเต้ทรงพระอักษรด้วยลายพระหัตถ์ ต้องนำกลับไป
มองเห็นท่าทางโง่เขลาของเด็กน้อยแล้ว จ้าวหนิงฮ่องเต้กลั้นไว้ไม่ไหว ทรงพระสรวลออกมาอีกครั้ง “รู้หรือไม่ว่าหลี่จงิตามหาเ้ากลับมาเพื่อทำอันใด?”
“รู้พ่ะย่ะค่ะ เพื่อเป็โหวเหฺยพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบครั้งนี้ของหลี่ลั่วรวดเร็วยิ่ง
ฮ่าๆๆ...จ้าวหนิงฮ่องเต้ทรงกลั้นไม่ไหว ทรงพระสรวลด้วยเสียงอันดัง “ถูกต้อง เพื่อมาเป็โหวเหฺย หลี่ลั่วรับราชโองการ ฮ่องเต้มีพระบรมราชโองการ บุตรชายคนเล็กของจงหย่งโหว หลี่ซวี่ มีเมตตากรุณา ฉลาดเฉลียวและมีไหวพริบ พระราชทานนาม หลี่ลั่ว สืบทอดตำแหน่งขั้นหนึ่ง จงหย่งโหว พระราชทาน...” จ้าวหนิงฮ่องเต้ทรงหยุดไตร่ตรองครู่หนึ่ง แล้วจึงตรัสถามหลี่ลั่ว “เ้า้าอะไรเป็รางวัล?”
ดวงตาของหลี่ลั่วทอประกายวิบวับ “รางวัลนั้นขอได้กี่ข้อพ่ะย่ะค่ะ?”
ไห่กงกงมุมปากกระตุก เด็กคนนี้ช่างไม่รู้มารยาทเอาเสียเลย
“เช่นนั้นเ้า้ากี่ข้อเล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสถามยิ้มๆ
สำหรับองค์ฮ่องเต้แล้วนั้น ทุกๆ คำถามย่อมมีความหมายลึกซึ้ง หน้าซาลาเปาหลี่ลั่วยื่นนิ้วเล็กๆ ของเขาออกมาสองนิ้ว “กระหม่อมอยากได้สองข้อพ่ะย่ะค่ะ”
“สองข้อไหนเล่า ลองพูดมาก่อน” ยังไม่ถือว่าโลภ จ้าวหนิงฮ่องเต้ทรงดำริในใจ
“ข้อที่หนึ่ง กระหม่อม้าเงินพ่ะย่ะค่ะ ข้อที่สอง กระหม่อมอยากพบฝ่าาบ่อยๆ” หลี่ลั่วนั้นมิใช่คนเขลา เงินที่ใช้ไม่หมดนั้นเป็เื่ที่หนึ่ง แต่การกอดขาฮ่องเต้ให้แน่นต่างหากที่เป็เื่ที่สำคัญที่สุด
“อ้อ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ทรงรู้สึกผิดคาด “เหตุใดจึงเป็สองข้อนี้เล่า?” ไฉนจึง้าพบหน้าเจิ้นบ่อยๆ?”
หลี่ลั่วเงยหน้าขึ้น มีร่องรอยของความขัดเขินของเด็กน้อยปรากฏอยู่บนใบหน้า “เพราะฝ่าาพระราชทานรางวัลให้กระหม่อม หากกระหม่อมพบเห็นของดีๆ ก็อยากจะนำมาถวายพระองค์พ่ะย่ะค่ะ อย่างนี้...อย่างนี้มิใช่ได้รับมาตอบแทนไปตามธรรมเนียมมารยาทหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่ลั่วได้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับหลี่ซวี่จากปากของหลี่จงิ นี่คือองค์ฮ่องเต้ที่มีทั้งน้ำพระทัยและความชอบธรรมองค์หนึ่ง และฮ่องเต้ที่ทรงมีน้ำพระทัยและความชอบธรรมย่อมอนุญาตให้เด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่งพูดจาออดอ้อนเบื้องพระพักตร์
“หากว่าบิดาของเ้ายังมีชีวิตอยู่ นายทหารขั้นที่หนึ่งจะได้รับเงินปีหนึ่งพันตำลึงเงิน แล้วคาดว่ายังได้รับราวๆ สี่สิบปี เจิ้นจะให้เงินปีของบิดาสี่สิบปีนี้กับเ้า รวมเป็สี่หมื่นตำลึงเงิน” จ้าวหนิงฮ่องเต้ทรงไตร่ตรองดูแล้วเอ่ยต่อ “แต่เ้าเป็เพียงเด็กเล็กๆ นำเงินไปสี่หมื่นตำลึงเงินนั้นย่อมเป็การไม่ปลอดภัย เอาอย่างนี้ เจิ้นจะแบ่งให้เ้าในเวลาห้าปี ปีละแปดพันตำลึง ส่วนที่เ้าบอกว่าอยากจะพบเจิ้นบ่อยๆ...” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถอดหยกแขวนจากบั้นพระองค์วางลงบนฝ่ามือของหลี่ลั่ว “อยากพบเจิ้น ก็มาเถิด”
หยกแขวนชิ้นนี้ ฮ่องเต้ถึงกับทรงพระราชทานหยกแขวนชิ้นนี้ให้แก่เสี่ยวโหวเหฺยแห่งจวนจงหย่งโหว ไห่กงกงถึงกับรู้สึกคาดไม่ถึง
[1] ชื่อเดิมของเ้าของร่างคือ ลั่ว (落) ที่แปลว่าตกหรือว่าร่วงหล่น ตัวอักษรสามขีดแรกข้างบนมีความหมายว่าหญ้า จึงถือว่าอยู่ในหมวดต้นหญ้า แต่ว่าชื่อเดิมของหลี่ลั่วก่อนที่จะกลับมาเกิดใหม่ใช้ตัวอักษรว่า ลั่ว (洛) ที่มักใช้เรียกเป็ชื่อแม่น้ำในสมัยโบราณ ตัวอักษรสามขีดแรกข้างบนมีความหมายว่าน้ำ ซึ่งเป็ตัวอักษรเดียวกับชื่อที่จ้าวหนิงฮ่องเต้พระราชทานให้ใช้นับจากนี้ไป