ก่อนออกจากบ้าน ชวีเสี่ยวปอถูกเซี่ยเจิงห่อเอาทั้งด้านนอกและด้านในอย่างละสามชั้น ความจริงหลังจากทานหมี่น้ำเสร็จเหงื่อก็ไหลออกมาทั่วทั้งศีรษะแล้ว อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นมากแล้วด้วย แต่เซี่ยเจิงกลับบอกว่าไม่ได้เด็ดขาด
“ต้องใส่เยอะๆ หน่อย วันนี้หนาวกว่าเมื่อวานอีกนะ” เซี่ยเจิงขมวด ก่อนออกจากบ้าน ชวีเสี่ยวปอถูกเซี่ยเจิงห่อเอาทั้งด้านนอกและด้านในอย่างละสามชั้น ความจริงหลังจากทานหมี่น้ำเสร็จเหงื่อก็ไหลออกมาทั่วทั้งศีรษะแล้ว อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นมากแล้วด้วย แต่เซี่ยเจิงกลับบอกว่าไม่ได้เด็ดขาด
“ต้องใส่เยอะๆ หน่อย วันนี้หนาวกว่าเมื่อวานอีกนะ” เซี่ยเจิงขมวดคิ้วพลางสวมเสื้อไหมพรมให้เขา “ยกแขนขึ้น”
ชวีเสี่ยวปอปล่อยให้เขาจัดการใส่เสื้อให้อย่างเชื่อฟัง เพียงแต่ศีรษะของเขาถูกคอเสื้อรัดจนเจ็บ จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกไปว่า : “ทำไมนายถึงทำแบบเดียวกับแม่ตอนฉันยังเด็กเลยเนี่ย”
“อะไรเหรอ? ” เซี่ยเจิงถาม
“ก็แบบพอใส่ไม่ลงก็ดึงไปเลย” ชวีเสี่ยวปอดึงคอเสื้อไหมพรมลงมา แบบนี้สบายขึ้นเยอะเลย
เซี่ยเจิงจ้องมองเขา เสื้อไหมพรมของเขาชวีเสี่ยวปอใส่ได้พอดีเป๊ะ จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “ที่ตานายตกแบบนี้ก็เป็เพราะถูกดึงั้แ่เด็ก”
“ตาฉันเหรอ? ”
เนื่องจากไม่มีกระจก ชวีเสี่ยวปอจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อมองเงาสะท้อนของตัวเองดวงตาของเซี่ยเจิง... มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง แต่ขณะเดียวกันเซี่ยเจิงกลับยื่นมือไปโอบเอวเขาไว้
“นี่ฉันได้พ่อมา ตาเขาก็เป็แบบนี้ แต่ตอนนี้เขาอายุเยอะแล้วก็เลยหย่อนคล้อยลงมาหมด รอยย่นก็เยอะขึ้นด้วย” ชวีเสี่ยวปอสวมเสื้อขนเป็ด เสื้อผ้าหนามากจนทำให้เขารู้สึกขยับตัวได้ไม่ค่อยสะดวก “เฮ้ ทำไมยังมีอีกเนี่ย? ”
“เพิ่มความอบอุ่น” เซี่ยเจิงพันผ้าพันคอให้ชวีเสี่ยวปอไปสองรอบโดยไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง “เชื่อฟังฉันน่ะถูกต้องแล้ว”
ทั้งสองคนนั่งรถแท็กซี่จนมาถึงหมู่บ้านของซือจวิ้น ผ่านไปเพียงไม่นานก็เห็นซือจวิ้นจูงเด็กน้อยสองคนเดินออกมา แต่พวกเด็กๆ วิ่งเร็วมาก ซือจวิ้นกลัวว่าเขาสองคนจะหกล้ม จึงออกแรงยื้อไว้จากด้านหลังไม่ให้เขาสองคนวิ่งพุ่งไปด้านหน้าเร็วเกินไป มองจากไกลๆ ก็ดูเหมือนซือจวิ้นถูกลากไปลากมาอยู่เหมือนกัน
“ทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นตาขนาดนี้นะ” ชวีเสี่ยวปอเขี่ยเท้าไปมาบนพื้น ก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ รู้สึกว่าภาพเหตุการณ์นี้เป็เหมือนเดจาวูอย่างไรอย่างนั้น
“จูงหมาละมั้ง” เซี่ยเจิงใช้คำได้ถูกต้องตรงเปะ “แล้วก็เป็หมาตัวใหญ่ซะด้วย”
“นายสองคนหัวเราะอะไรกัน” ซือจวิ้นยืนนิ่งพลางหอบหายใจออกมา ส่วนเขาทั้งสองคนก็ยังหัวเราะกันไม่หยุด จนกระทั่งเห็นเด็กทั้งสองคนมองมาด้วยสายตาที่ว่า “คนบ้าสองคนนี้มาจากไหนเนี่ย” พวกเขาถึงกดปุ่มหยุดชั่วคราวเอาไว้ก่อน ขณะนั้นชวีเสี่ยวปอกระแอมขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะก้มตัวลงไปมองเด็กทั้งสองคน “ยังจำพี่ได้ไหม? ”
ซือจวิ้นเคยพาพวกเขาสองคนไปเล่นกับชวีเสี่ยวปอมาก่อน แต่มันก็ผ่านมานานมากแล้ว
เด็กน้อยสองคนแต่งตัวเหมือนกันอย่างกับแกะ ใบหน้าเล็กถูกลมพัดจนแดงระเรื่อ เมื่อครู่พวกเขายังมีความสุขกันอยู่ แต่เมื่อถูกชวีเสี่ยวปอจ้องมองเช่นนี้ พวกเขากลับรีบไปแอบอยู่ด้านหลังซือจวิ้นทันที
“โอเค” ชวีเสี่ยวปอยืนตรงขึ้นมา “เ้าเปี๊ยกทั้งสองลืมฉันไปซะแล้ว”
“ต้าเป่า เอ้อร์เป่า” ซือจวิ้นดันเด็กทั้งสองคนไปด้านหน้า “เรียกพี่เขาก่อน”
คนหนึ่งไม่ได้ขยับเขยื้อน ส่วนอีกคนก้มศีรษะอย่างกล้าหาญ พร้อมทั้งเรียกพี่ชายออกมาคำหนึ่ง ทว่ากลับหันไปทางเซี่ยเจิง
ชวีเสี่ยวปอและซือจวิ้น : “ฮึ? ”
เซี่ยเจิง : “อย่ามองฉันแบบนั้นสิ ฉันไม่ได้เป็คนบอกให้น้องเขาเรียกสักหน่อย”
ชวีเสี่ยวปอมองประเมินเซี่ยเจิงไปรอบหนึ่ง “นายดูเป็ที่รักของเด็กๆ มากเลยนะเนี่ย”
เซี่ยเจิงเชิดคางขึ้น : “น่าจะเป็เพราะว่าฉันหล่อด้วยมั้ง”
ซือจวิ้น : “......” ชวีเสี่ยวปอนายดูแลแฟนตัวเองหน่อยเถอะ ทำไมก่อนหน้านี้ฉันไม่เห็นจะรู้สึกเลยว่าเขาเป็คนหลงตัวเองขนาดนี้
แต่โชคดีที่ความหลงตัวเองนี้ทำให้เด็กน้อยทั้งสองคนชอบใจเป็อย่างมาก ผ่านไปเพียงเสี้ยววินาทีก็กลายเป็สภาพที่เด็กน้อยสองคนไปกอดแข้งกอดขาของเซี่ยเจิงเอาไว้ ทั้งยังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวพูดไม่หยุด ขณะนั้นซือจวิ้นผู้ซึ่งถูกทรมานมาตลอดทั้งเช้าก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจสักที จากนั้นจึงโบกมือขึ้นมา “ไปกันเถอะ วันนี้อยากเล่นอะไรกัน ฉันเลี้ยงเอง”
ทั้งสี่คนตัดสินใจไปสนามเด็กเล่นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมาก
ที่บอกว่าเป็สนามเด็กเล่น ความจริงแล้วคือสวนสาธารณะเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งด้านในมีเครื่องเล่นตั้งอยู่นิดหน่อย แต่ก็เพียงพอสำหรับเด็กน้อยทั้งสองคนแล้วคิ้วพลางสวมเสื้อไหมพรมให้เขา “ยกแขนขึ้น”
ชวีเสี่ยวปอปล่อยให้เขาจัดการใส่เสื้อให้อย่างเชื่อฟัง เพียงแต่ศีรษะของเขาถูกคอเสื้อรัดจนเจ็บ จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกไปว่า : “ทำไมนายถึงทำแบบเดียวกับแม่ตอนฉันยังเด็กเลยเนี่ย”
“อะไรเหรอ? ” เซี่ยเจิงถาม
“ก็แบบพอใส่ไม่ลงก็ดึงไปเลย” ชวีเสี่ยวปอดึงคอเสื้อไหมพรมลงมา แบบนี้สบายขึ้นเยอะเลย
เซี่ยเจิงจ้องมองเขา เสื้อไหมพรมของเขาชวีเสี่ยวปอใส่ได้พอดีเป๊ะ จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “ที่ตานายตกแบบนี้ก็เป็เพราะถูกดึงั้แ่เด็ก”
“ตาฉันเหรอ? ”
เนื่องจากไม่มีกระจก ชวีเสี่ยวปอจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อมองเงาสะท้อนของตัวเองดวงตาของเซี่ยเจิง... มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง แต่ขณะเดียวกันเซี่ยเจิงกลับยื่นมือไปโอบเอวเขาไว้
“นี่ฉันได้พ่อมา ตาเขาก็เป็แบบนี้ แต่ตอนนี้เขาอายุเยอะแล้วก็เลยหย่อนคล้อยลงมาหมด รอยย่นก็เยอะขึ้นด้วย” ชวีเสี่ยวปอสวมเสื้อขนเป็ด เสื้อผ้าหนามากจนทำให้เขารู้สึกขยับตัวได้ไม่ค่อยสะดวก “เฮ้ ทำไมยังมีอีกเนี่ย? ”
“เพิ่มความอบอุ่น” เซี่ยเจิงพันผ้าพันคอให้ชวีเสี่ยวปอไปสองรอบโดยไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง “เชื่อฟังฉันน่ะถูกต้องแล้ว”
ทั้งสองคนนั่งรถแท็กซี่จนมาถึงหมู่บ้านของซือจวิ้น ผ่านไปเพียงไม่นายก็เห็นซือจวิ้นจูงเด็กน้อยสองคนเดินออกมา แต่พวกเด็กๆ วิ่งเร็วมาก ซือจวิ้นกลัวว่าเขาสองคนจะหกล้ม จึงออกแรงยื้อไว้จากด้านหลังไม่ให้เขาสองคนวิ่งพุ่งไปด้านหน้าเร็วเกินไป มองจากไกลๆ ก็ดูเหมือนซือจวิ้นถูกลากไปลากมาอยู่เหมือนกัน
“ทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นตาขนาดนี้นะ” ชวีเสี่ยวปอเขี่ยเท้าไปมาบนพื้น ก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ รู้สึกว่าภาพเหตุการณ์นี้เป็เหมือนเดจาวูอย่างไรอย่างนั้น
“จูงหมาล่ะมั้ง” เซี่ยเจิงใช้คำได้ถูกต้องตรงเปะ “แล้วก็เป็หมาตัวใหญ่ซะด้วย”
“นายสองคนหัวเราะไรกัน” ซือจวิ้นยืนนิ่งพลางหอบหายใจออกมา ส่วนเขาทั้งสองคนก็ยังหัวเราะกันไม่หยุด จนกระทั่งเห็นเด็กทั้งสองคนมองมาด้วยสายตาที่ว่า “คนบ้าสองคนนี้มาจากไหนเนี่ย” พวกเขาถึงกดปุ่มหยุดชั่วคราวเอาไว้ก่อน ขณะนั้นชวีเสี่ยวปอกระแอมขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะก้มตัวลงไปมองเด็กทั้งสองคน “ยังจำพี่ได้ไหม? ”
ซือจวิ้นเคยพาพวกเขาสองคนไปเล่นกับชวีเสี่ยวปอมาก่อน แต่มันก็ผ่านมานานมากแล้ว
เด็กน้อยสองคนแต่งตัวเหมือนกันอย่างกับแกะ ใบหน้าเล็กถูกลมพัดจนแดงระเรื่อ เมื่อครู่พวกเขายังมีความสุขกันอยู่ แต่เมื่อถูกชวีเสี่ยวปอจ้องมองเช่นนี้ พวกเขากลับรีบไปแอบอยู่ด้านหลังซือจวิ้นทันที
“โอเค” ชวีเสี่ยวปอยืนตรงขึ้นมา “เ้าเปี๊ยกทั้งสองลืมฉันไปซะแล้ว”
“ต้าเป่า เอ้อร์เป่า” ซือจวิ้นดันเด็กทั้งสองคนไปด้านหน้า “เรียกพี่เขาก่อน”
คนหนึ่งไม่ได้ขยับเขยื้อน ส่วนอีกคนก้มศีรษะอย่างกล้าหาญ พร้อมทั้งเรียกพี่ชายออกมาคำหนึ่ง ทว่ากลับหันไปทางเซี่ยเจิง
ชวีเสี่ยวปอและซือจวิ้น : “ฮึ? ”
เซี่ยเจิง : “อย่ามองฉันแบบนั้นสิ ฉันไม่ได้เป็คนบอกให้น้องเขาเรียกสักหน่อย”
ชวีเสี่ยวปอมองประเมินเซี่ยเจิงไปรองหนึ่ง “นายดูเป็ที่รักของเด็กๆ มากเลยนะเนี่ย”
เซี่ยเจิงเชิดคางขึ้น : “น่าจะเป็เพราะว่าฉันหล่อด้วยมั้ง”
ซือจวิ้น : “......” ชวีเสี่ยวปอนายดูแลแฟนตัวเองหน่อยเถอะ ทำไมก่อนหน้านี้ฉันไม่เห็นจะรู้สึกเลยว่าเขาเป็คนหลงตัวเองขนาดนี้
แต่โชคดีที่ความหลงตัวเองนี้ทำให้เด็กน้อยทั้งสองคนชอบใจเป็อย่างมาก ผ่านไปเพียงเสี้ยววินาทีก็กลายเป็สภาพที่เด็กน้อยสองคนไปกอดแข้งกอดขาของเซี่ยเจิงเอาไว้ ทั้งยังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวพูดไม่หยุด ขณะนั้นซือจวิ้นผู้ซึ่งถูกทรมานมาตลอดทั้งเช้าก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจสักที จากนั้นจึงโบกมือขึ้นมา “ไปกันเถอะ วันนี้อยากเล่นอะไรกัน ฉันเลี้ยงเอง”
ทั้งสี่คนตัดสินใจไปสนามเด็กเล่นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมาก
ที่บอกว่าเป็สนามเด็กเล่น ความจริงแล้วคือสวนสาธารณะเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งด้านในมีเครื่องเล่นตั้งอยู่นิดหน่อย แต่ก็เพียงพอสำหรับเด็กน้อยทั้งสองคนแล้ว