เนื่องจากมู่จื่อหลิงไม่สนใจคำเย้ยหยันของไทเฮา นางยังคงนิ่งไม่ไหวติง แต่กลับเป็หลงเซี่ยวอวี่ผู้ซึ่งเฉยเมยมาโดยตลอดที่แสดงท่าทีจริงจังขึ้นมา
ไม่เพียงแค่เอาจริงเอาจัง แต่ถึงขั้นโกรธ!
สำหรับหญิงตัวเล็กคนนี้ที่เขาแสดงความห่วงใยและทะนุถนอมออกมาได้เพียงไม่นาน ผู้ที่เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะให้นางอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา แต่ยามนี้? ยามนี้มีคนพูดต่อหน้าเขาว่านางไม่มีคุณสมบัติเป็ฉีหวางเฟย? มันน่ารำคาญมากจริงๆ
ไม่มีใครรู้ว่าในสายตาของหลงเซี่ยวอวี่ ไม่ว่ามู่จื่อหลิงจะทำหรือพูดอะไร ทุกอย่างที่เกี่ยวกับนางั้แ่ปลายเท้าจนถึงเส้นผมล้วนมีคุณสมบัติเหมาะสม ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งฉีหวางเฟย
ดังนั้น หลงเซี่ยวอวี่ซึ่งถูกกระทบด้วยคำพูดของไทเฮา จะยอมให้ไทเฮาพูดอีกสักคำได้อย่างไร?
เพราะเหตุนี้ มุมปากของไทเฮาจึงแข็งทันทีทั้งที่พูดออกมาได้เพียงครึ่งทาง
เห็นได้ว่าหลงเซี่ยวอวี่ หันศีรษะของเขาอย่างช้าๆ ใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์ ดวงตาคู่งามเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง เปล่งประกายด้วยแสงที่เสียดแทง ดวงตาเฉียบคมของเขาจ้องมองไปยังไทเฮาอย่างไร้ความปรานี
การจ้องมองที่เ็าและจริงจังเช่นนี้...ดูเหมือนจะทำให้นางรู้สึกราวกับยืนอยู่บนปากเหวลึก [1] นางหวาดกลัวราวกับเดินบนน้ำแข็งบางๆ [2]
อุณหภูมิในห้องทรงพระอักษรลดลงถึงจุดเยือกแข็งอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็รู้สึกหนาวเหน็บราวกับถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ความเย็นยะเยียบกัดกระดูกค่อยๆ แล่นจากปลายเท้าเข้าสู่แขนขาและกระดูก หนาวจนไม่มีที่ให้หนี
ใน่เวลานี้พวกเขาไม่กล้ามองไปจุดก่อกำเนิดของอากาศเย็นเยียบอันแสนขมขื่นอีกต่อไป
แม้แต่มู่จื่อหลิงยังรู้สึกได้ว่าชายที่อยู่ข้างกายกำลังโกรธมากในยามนี้
เวลาผ่านไปไม่นานนัก เมื่อนางเห็นเขาเช่นนี้ ในใจของนางมีความรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ยามได้พิงแผ่นอกอบอุ่นมั่นคงของเขา ได้ฟังเสียงหัวใจแข็งแกร่งที่เต้นแรงของเขา มันทำให้นางรู้สึกทั้งสบายใจและมั่นคงอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
ยามเผชิญหน้ากับสายตาเ็าน่ากลัว ความตื่นตระหนกสุดจะบรรยายได้แผ่ซ่านไปทั่วพระวรกายของไทเฮาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ร่องรอยความหวาดกลัวฉายประกายในดวงตาแดงก่ำ
ครู่หนึ่ง ไทเฮารู้สึกว่านางอ่อนแรงไปทั้งร่าง นางแทบจะทรุดหล่นลงจากเก้าอี้
นางปิดปากที่อ้าออกเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แอบกัดริมฝีปากแน่น
ชั่วขณะหนึ่ง มีอาการปวดเสียดแทงในปากของนาง ไทเฮาจึงสงบลงเล็กน้อย
จากนั้นนางจึงใช้มือทั้งสองข้างจับที่วางแขนทั้งสองข้างไว้แน่น เพื่อไม่ให้นางทรุดตัวลงจากเก้าอี้อีกครั้ง
ไทเฮาพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อรักษาสถานะที่สง่างามและสูงส่งที่มีมาแต่แรกของนางเอาไว้ แต่เพราะนางจับที่วางแขนจนแน่น ปลายนิ้วที่สั่นระริกเผยให้เห็นความตื่นตระหนกในใจอย่างสมบูรณ์
นี่เป็ครั้งแรก...เป็ครั้งแรกที่หลงเซี่ยวอวี่จ้องมองนางด้วยสายตาอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ นางรู้สึกหวาดกลัวการจ้องมองเช่นนี้จริงๆ
ในอดีต แม้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะไม่พอใจนางเพียงใด เขาก็ไม่เคยกล้ามองนางด้วยสายตาเช่นนี้ แต่ยามนี้...ไทเฮาทรงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะใช้สายตาเช่นนี้เพื่อบังคับนางเพียงเพื่อมู่จื่อหลิง เขากล้าทำให้ไทเฮาผู้สง่างามเช่นนางเสียหน้า
ไทเฮาผู้อหังการจะรู้ได้อย่างไรว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางพยายามทุกวิถีทางเพื่อต่อสู้กับหลงเซี่ยวอวี่ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ นางพยายามวางแผนเพื่อดึงเขาลง
แต่กลับไม่รู้ว่า คนผู้นั้นที่นาง้าโค่นล้ม แม้จะรู้อุบายของนาง แต่ก็ทำตัวเฉยเมย ไม่เคยใส่ใจที่จะตอบโต้นางเลย
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้แผนอันแสนรอบคอบเสมอมาของไทเฮาจึงเปราะบางราวกับเปลือกไข่ [3] แม้ถูกกระทบเพียงครั้งเดียวก็เสี่ยงต่อการพังทลายลง...
ดังนั้น ไทเฮาผู้สร้างแผนการด้วยตนเองและตะเกียกตะกายอยู่ตลอดเวลาจึงไม่รู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่ไม่เคยกลัว มีเพียงการดูถูกเหยียดหยามเสียด้วยซ้ำ
แต่ในยามนี้ เนื่องจากคำพูดของไทเฮา หลงเซี่ยวอวี่ผู้มอบหัวใจให้กับหญิงตัวเล็กในอ้อมแขนของเขาเท่านั้นถึงได้ใส่ใจขึ้นมา
ไทเฮาเปิดพระโอษฐ์หลายครั้ง อยากจะพูด แต่เปล่งเสียงไม่ได้ เสียงสุดท้าย มีเพียงเสียงหัวใจของนางที่เต้นผิดจังหวะมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งห้องเงียบกริบ ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
ทุกคนััได้ถึงลมหายใจของกันและกันอย่างชัดเจน
นางกำนัลและองครักษ์ที่อยู่รอบพระวรกายไทเฮา รวมถึงหมอหลวงหลิน ไม่สามารถทนการบีบบังคับที่มองไม่เห็นอันทรงพลังนี้ได้ ในที่สุดพวกเขาก็คุกเข่าลงกับพื้น
เพราะพวกเขาทุกคนรู้ดีว่า การกระทำของฉีอ๋องเมื่อครู่นี้ เป็สิ่งที่น่ากลัวที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ไม่มีใครกล้าจินตนาการ
ประโยคเมื่อครู่ไทเฮายังพูดไม่จบ จะทำให้ฉีอ๋องทรงรู้สึกขุ่นเคืองได้อย่างไร คนที่คุกเข่าบนพื้นรู้สึกหวาดกลัวและสับสนในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังรู้สึกราวกับกำลังสูญเสียอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเพียงใด เมื่อผู้คนที่คิดว่าฉีอ๋องจะทรงพิโรธ ในยามนี้พวกเขากำลังจะเผชิญกับหายนะ
เห็นเพียงริมฝีปากของหลงเซี่ยวอวี่ที่ขยับเล็กน้อย ทันใดนั้นเสียงที่ปราศจากความอบอุ่นดังก้องอยู่ในห้องทรงพระอักษรอันเงียบสงบ
เสียงจากมุมปากบางของเขาราวกับกำลังข้ามชั้นน้ำแข็งหนา คำพูดเยือกเย็นอย่างยิ่ง “พูดอย่างที่เพิ่งกล่าวมาอีกครั้ง”
คำพูดไม่กี่คำที่ดูเหมือนจะสงบและเบาบาง กลับทำให้คนรู้สึกถึงการกดขี่รุนแรงเกินกว่าจะวัดค่าได้
ยามนี้หลงเซี่ยวอวี่ต่อกรกับมารดาแห่งแผ่นดินเพื่อนาง มู่จื่อหลิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย สถานการณ์ดังกล่าวทำให้นางรู้สึกราวกับไม่ใช่ความจริง
นางรู้มาตลอดว่าชายผู้นี้ทรงพลัง แต่นางไม่รู้ว่าเขาทรงพลังมากขนาดที่สามารถข่มขู่ไทเฮาได้โดยใช้เพียงคำพูดหนึ่งประโยค ส่วนผู้ที่ถูกคุกคาม...มู่จื่อหลิงเม้มริมฝีปาก มองไปยังทิศทางของไทเฮา...
แม้แต่ในยามนี้ที่ไทเฮาทรงอยากจะพูดให้จบในสิ่งที่นางยังไม่ได้พูด ทั้งยังอยากจะพูดซ้ำในสิ่งที่นางเพิ่งกล่าวไป
แต่ยามนางสบเข้ากับการจ้องมองที่เย็นะเืดุจใบมีด ถ้อยคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของไทเฮากลับเป็ “อะ อะไร? อายเจียผิดหรือ?”
แต่ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา มันทำให้ไทเฮารู้สึกอัปยศอดสูในทันใด
เนื่องจากท่าทีที่สงบผิดปกติของนาง ในยามนี้นางจึงอ่อนแรงจนไร้ซึ่งแรงผลักดัน น้ำเสียงสง่าตามปกติของนางจึงแฝงไปด้วยความลำบากใจเป็ระยะๆ
บทสนทนาสั้นๆ นี้ทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่ในนั้นเข้าใจในทันที เมื่อครู่ไทเฮาทรงตรัสเพียงสิ่งสำคัญที่สุด แน่นอนว่าย่อมเป็คำที่ไทเฮาทรงตรัสว่า มู่จื่อหลิงไม่มีคุณสมบัติเป็ฉีหวางเฟย
พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าฉีอ๋องจะทรงเปิดเผยอารมณ์ต่อหน้าไทเฮาเพียงเพราะประโยคเช่นนี้ มันช่าง...ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่านางเป็ที่นับถือ แต่ยามนี้กลับต้องอับอายต่อหน้าผู้น้อย ไทเฮารู้สึกไม่สบายพระทัย ในขณะเดียวกันก็มีร่องรอยของความไม่ยินยอมปรากฏอยู่อย่างเด่นชัด นางไม่เต็มใจอย่างยิ่ง!
แต่ไม่เต็มใจแล้วอย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาทรงลอบปรับอารมณ์ในพระทัยของตน พยายามปัดเป่าความกลัวภายในออกไป
แต่ก่อนที่ความตื่นตระหนกในใจของนางจะสลายไป ปากของหลงเซี่ยวอวี่ก็โค้งขึ้นอย่างช้าๆ มันดูตื้นเขิน “ว่าอย่างไร? ดูเหมือนไทเฮาจะไม่พอใจกับการสมรสที่ท่านทรงประทานให้เป็การส่วนพระองค์นะ”
รูปร่างอ้วนท้วนเล็กน้อยของไทเฮาสั่นสะท้านทันใด
มองอย่างไรที่ว่านางเหมือนจะไม่พอใจเพียงเล็กน้อย? ั้แ่ยามที่นางได้พบกับมู่จื่อหลิง นางก็ไม่เคยพอใจเลยต่างหาก
มันยิ่งกว่าความไม่พอใจเพียงเล็กน้อย? มีความไม่พอใจอยู่ทุกที่ เต็มเปี่ยมไปทั้งหัวใจ
ไทเฮาหรี่ตาลง กลืนน้ำลายอย่างแรง จากนั้นขยับมุมปากล่างเล็กน้อย พยายามพูดบางอย่างอีกครั้ง แต่นางก็ยังไม่สามารถพูดอะไรได้
เสียงเฉยเมยของหลงเซี่ยวอวี่ดังขึ้นอีกครั้ง “ใช่แล้ว เหตุใดสตรีของเปิ่นหวางถึงต้องให้ผู้อื่นพึงพอใจในตัวนางด้วย”
ในประโยคสั้นๆ เผยให้เห็นความเย่อหยิ่งที่ไม่สามารถปกปิดได้
ทันทีที่เอ่ยคำนั้นออกมา ไทเฮาทรงรู้สึกราวกับนางติดอยู่ในกลุ่มเมฆหมอก [4] ทันที
ไทเฮาทรงตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ นางไม่รู้ว่านางยังมีความมุ่งมั่นใดที่ทำให้นางยังนั่งอยู่ตรงนี้
จากนั้น หว่างคิ้วที่สงบนิ่งของหลงเซี่ยวอวี่ก็ดูเหมือนจะมีรอยบางๆ เขาลดสายตาลงเล็กน้อยเพื่อจ้องมองมู่จื่อหลิง ประกายอ่อนโยนในดวงตาของเขาบ่งบอกถึงความนุ่มนวลอย่างเหลือเชื่อ “มู่มู่ของเปิ่นหวาง ตราบเท่าที่เปิ่นหวางพอใจเพียงผู้เดียว แค่นั้นก็พอแล้ว” เขายิ่งกว่าพอใจ สิ่งนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง
เสียงของเขาทุ้มต่ำราวกับเสียง์ [5] แต่มีเพียงมู่จื่อหลิงเท่านั้นที่ได้ยินเสียงไพเราะเช่นนี้
มู่จื่อหลิงรู้อยู่แล้วว่าสาเหตุที่ทำให้หลงเซี่ยวอวี่โกรธได้นั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็เื่เล็กน้อยจนแม้แต่เื่เม็ดถั่วเขียวเม็ดงา [6] ก็ยังเทียบไม่ได้ หรือเขาเพียงแค่โกรธโดยไม่มีเหตุผล
แต่สาเหตุความโกรธของเขาในครั้งนี้ มันทำให้พายุลมในใจของนางสงบลงได้
ดูเหมือนว่านางผู้ซึ่งเป็หวางเฟยที่ได้รับพระราชทานจากไทเฮา บัดนี้ในที่สุดนางผู้เป็ฉีหวางเฟยก็สามารถมีจุดยืนที่มั่นคงในยามเผชิญหน้ากับไทเฮาได้แล้ว
หลงเซี่ยวอวี่ลูบมือมู่จื่อหลิง จากนั้นจึงจับศีรษะของนางให้ยกขึ้นเล็กน้อย ยกแขนที่โอบกอดนางอยู่ขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงลดศีรษะลง กดจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากเรียบเนียนของนาง
ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะทันได้ตอบโต้ เขาก็ปล่อยนางเสียแล้ว วางเท้าของนางลงบนพื้น จากนั้นจึงใช้มือข้างหนึ่งโอบรอบเอวบอบบางของนาง ลุกขึ้นยืนเคียงกัน
หลงเซี่ยวอวี่เดินออกไปพร้อมกับมู่จื่อหลิงราวกับไม่มีใครอยู่ที่นั่น ไม่สนใจห้องที่เต็มไปด้วยเหล่าคนที่ตัวสั่นเทา
ในขณะที่กำลังจะข้ามธรณีประตูออกไป หลงเซี่ยวอวี่หันศีรษะกลับไปด้านข้างอีกครั้ง เหลือบมองไทเฮาแวบหนึ่งอย่างเ็า ั์ตาสีเข้มเต็มไปด้วยความเย็นะเืจนน่าสะพรึงกลัว เขาโต้กลับไปว่า “ไม่ใช่ทุกคนจะมีคุณสมบัติในการถามถึงผู้หญิงของเปิ่นหวาง ไทเฮาก็เช่นกัน”
‘ตูม——'
ไทเฮารู้สึกว่าเืลมกำลังไหลทวนไปรวมกันอยู่บนหน้าผากของนาง มีเสียงะเิดังขึ้นในสมอง ทำให้นางวิงเวียนศีรษะ
นี่ไม่ใช่อาการประสาทหลอนทางหู หลงเซี่ยวอวี่กล้าดีอย่างไรถึงได้พูดกับนางด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น ทั้งยังปฏิบัติต่อนางด้วยท่าทีเช่นนี้?
ทรยศ ต่อต้าน เป็การต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด
ไทเฮาตัวแข็งทื่อ นางลุกขึ้นยืน ก่อนจะโงนเงนเล็กน้อยด้วยความไม่มั่นคง
นางจึงต้องเอนกายลงบนเก้าอี้ จ้องหลงเซี่ยวอวี่ด้วยความไม่เชื่อ ใบหน้าไร้สีเื เสียงสั่นอย่างรุนแรง “เ้า...เ้ากล้า เ้ากล้า...”
แต่หลงเซี่ยวอวี่กลับไม่สนใจแม้แต่จะเหลือบมองนางด้วยความเมตตา เขากอดมู่จื่อหลิงด้วยความรัก พาเดินออกจากห้องทรงพระอักษรไป
“เข้ามา! เข้ามา!” ไทเฮาทรงคำรามด้วยเนื้อตัวสั่นอยู่ด้านหลัง
แต่ยามนี้ไม่มีผู้ใด ต่อให้มี พวกเขาก็ไม่กล้ามาที่นี่!
ฉีอ๋องทรงก่อความผิดอย่างโจ่งแจ้ง แต่ในยามนี้กลับไม่มีผู้ใดกล้าลุกขึ้นพูดอะไรสักคำ อีกทั้งในทันทีที่ฉีอ๋องทรงเดินออกไป ในขณะเดียวกันพวกเขาก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ไทเฮาทรงทอดพระเนตรแผ่นหลังที่กำลังโอบกอดกันเดินไปของทั้งคู่ที่อยู่เบื้องหน้านาง ในที่สุดนางก็ไร้เรี่ยวแรง ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างสิ้นหวัง
ทันใดนั้น…
‘ตูม!' เสียงแตกดังโครมคราม
เสียงดังขึ้นหลังจากนั้นในทันที
“โอ๊ย!” ก่อนที่ไทเฮาจะกรีดร้องด้วยความเ็ป
มู่จื่อหลิงที่เดิมทีเสียอาการเล็กน้อยจากคำพูดของหลงเซี่ยวอวี่ ในยามที่นางได้ยินเสียงแตกร้าวจากด้านหลัง รวมถึงเสียงคร่ำครวญของไทเฮา นางก็หันศีรษะไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที
เห็นได้ว่าเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงที่ไทเฮาทรงประทับอยู่เกิดการแตกร้าว ในขณะที่ไทเฮาทรงทรุดกายลงกับพื้นอย่างทุลักทุเล
เมื่อเห็นเช่นนั้น มันช่างน่าอับอาย น่าอับอายยิ่งนัก
มู่จื่อหลิงมองดูความโชคร้ายของไทเฮาอย่างระแวดระวัง นางอยากจะปรบมือให้ ด้วยสิ่งนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
เก้าอี้ไม้จันทน์แดงแข็งมาก บอกให้แตกก็แตกได้ ไม่ต้องคิด นี่คือผลงานชิ้นเอกของใครบางคนอีกเช่นเคย
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ราวกับยืนอยู่บนปากเหวลึก (频临深潭的边缘) เป็วลี มีความหมายว่า อยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง
[2] ราวกับเดินบนน้ำแข็งบางๆ (如履薄冰) เป็สำนวน มีความหมายว่า สามารถเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ จึงควรระมัดระวังอย่างยิ่งในทุกการกระทำ
[3] เปราะบางราวกับเปลือกไข่ (脆弱得如同累卵) เป็วลี มีความหมายว่า สถานการณ์นั้นอันตรายมากราวกับไข่ที่พร้อมจะตกแตกได้ทุกเมื่อ
[4] ติดอยู่ในกลุ่มเมฆหมอก (如坠云烟) เป็วลี มีความหมายว่า ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ทางออก หรือสับสน
[5] ราวกับเสียง์ (犹如天籁) เป็คำพรรณนา มีความหมายว่า เสียงของบุคคลที่มีคุณภาพดี ไพเราะ น่าฟัง
[6] เื่เม็ดถั่วเขียวเม็ดงา (芝麻绿豆) เป็สำนวน มีความหมายว่า เื่เล็กๆ น้อยๆ หรือเื่ขี้ปะติ๋ว