“เ้าคอยดูม้าพวกนี้ไว้ ระวังอย่าให้มันวิ่งไปใกล้สระกระดูกเด็ดขาด ถ้าเห็นมันวิ่งไปทางนั้นเมื่อใด เ้าก็ใช้แส้นี้หวดมันกลับมา ฝูงม้านั้นกลัวคน เ้าเพิ่งมาอยู่ใหม่ก็อย่าไปเข้าใกล้มันนัก”
เหล่าปายื่นแส้สีแดงคล้ำให้อาลู่
แส้ดูราวกับเคยเปื้อนเืมานับแรมปี
เด็กหนุ่มเมื่อเข้าใจแล้วจึงพยักหน้าตอบ
เหล่าปาหลังจากมอบหมายงานแล้ว ก็ออกวิ่งไปทางฝูงม้าทันที
ทิ้งอาลู่ให้ยืนอยู่บนเส้นแบ่งแดนที่ชายหนุ่มเคยชี้ให้ดู จุดที่เรียกว่าเส้นแบ่งแดนนี้ดูแล้วคล้ายกับส่วนตรงกลางของผลน้ำเต้าที่คอดเข้าหากัน ทั้งสองด้านกว้างออก ทว่าตรงกลางกลับเล็กแคบ สองฝั่งมีไม้ผุๆ ปักเป็สัญลักษณ์ให้เห็น
เด็กหนุ่มหันกลับไปมองกระท่อมไม้ที่ตนอาศัย พบว่ากระท่อมไม้นั้นตั้งเดียวดายอยู่สุดเขตแดน
อาลู่ไม่ค่อยเข้าใจคำอธิบายแสนคลุมเครือของเหล่าปานัก
ทว่าประสบการณ์สอนเขาว่า การทำตามคำสั่งย่อมเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด
เหล่าปาเมื่อเข้าไปในฝูงม้าก็ง่วนอยู่กับงาน เห็นเขาค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ม้าด้านหน้าตนอย่างระมัดระวัง แล้วยื่นมือไปหยิกส่วนท้องและขาม้า...
เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร ได้แต่ทำตามคำสั่ง แล้วนั่งลงข้างเสาไม้ วางทารกน้อยที่แบกไว้บนหลังลง
ทารกก็ว่าง่าย ตาทั้งสองวาวระยับเบิกมองเด็กชาย เมื่อเห็นสายตานั้น อาลู่ก็อดรู้สึกมีความสุขไม่ได้
“ตอนนี้เ้ามีชื่อแล้วรู้หรือไม่ ซ้ำยังเพราะกว่าของพี่เสียอีก เ้าชื่อว่าเฉินโย่ว นับแต่นี้พี่จะเรียกเ้าว่าอาโย่ว” อาลู่หยกแก้มน้อยเบาๆ
“แอ้ๆ” เฉินโย่วยังพูดเป็แค่นี้
อาลู่ล้วงเอากระบอกไม้ที่เคยใส่นมแพะออกมา ต่อมาก็เทน้ำแกงข้นๆ ที่ต้มจากข้าวตังก้นหม้อ ป้อนให้ทารกน้อยอย่างระมัดระวัง
แม้จะเย็นชืดไปเสียหน่อย ทว่าก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกิน
น้ำแกงข้นนั้นเดิมทีก็มีไม่มาก ดื่มไปเพียงไม่กี่คำ ทารกน้อยก็ไม่อยากดื่มเสียแล้ว ใบหน้าน้อยๆ สะบัดหนีไปด้านข้าง
อาลู่ก็ไม่ได้ฝืนบังคับนาง ยกน้ำแกงที่เหลือขึ้นซดรวดเดียว
แม้จะยังไม่รู้สึกอิ่ม ทว่าก็ยังพอรองท้องได้
อาลู่มองเหล่าปาเดินลับหายเข้าไปในส่วนลึกของฝูงม้า เขานั่งตรงนี้ไม่ได้ทำงานอะไร จึงรู้สึกไม่ดีนัก
บนทางมีไม้ผุวางอยู่หลายท่อนที่ดูราวกับพวกมันถูกกระแทกจนเอนล้ม
คิดไปคิดมา เด็กหนุ่มจึงลากท่อนไม้เ่าั้แล้วเริ่มขุดหลุม ขุดไปสักพักก็พบท่อนไม้เล็กๆ จึงใช้มันค่อยๆ งัดหน้าดินขึ้นมา
ทว่าดินที่นี่ดูเหมือนจะแข็งผิดปกติ เขางัดอยู่นานสองนาน ยังเพิ่งจะงัดเพียงผิวหญ้าขึ้นมาได้ เผยให้เห็นว่าใต้ผืนหญ้าคือดินสีดำเข้ม
เด็กหนุ่มไม่ถอดใจ ฝูงม้าแม้จะจากเขาไปไกลแล้ว ทว่าน้องสาวยังคงอยู่ใกล้ๆ เขาจึงวางนางลงไม่ไกลกันนัก
พระอาทิตย์เริ่มลอยเด่นขึ้นจากขอบฟ้า ความหนาวเหน็บพลันมลาย เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ร่างกายก็ค่อยๆ รู้สึกอบอุ่น
อาลู่ให้ทารกน้อยนอนอาบแดดครู่หนึ่ง ผู้คนบนทุ่งหญ้า เวลาเลี้ยงลูกก็มักจะทำเช่นนี้ เพราะแสงอาทิตย์นั้นสามารถรักษาโรคได้นับไม่ถ้วน
แสงแดดจึงนับว่าเป็ยาที่ดีที่สุด
อาลู่เห็นเด็กน้อยเพียงเพิ่งจะเอนหลังก็เริ่มจับเท้าแล้วใช้แรงดึงเข้าปากด้วยท่าทางมีความสุขมาก
อาลู่เปลืองแรงอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ขุดหลุมลึกประมาณเข่าสำเร็จ เขาไม่คิดเลยว่าดินที่นี่จะแข็งขนาดนี้ โชคดีที่เขานั้นนับว่ามีแรง จึงพอจะขุดไหว
หน้าผากของเด็กหนุ่มตอนนี้เริ่มมีเหงื่อซึม
เด็กหนุ่มหรี่ตามองพระอาทิตย์เหนือหัว พลันรู้สึกร้อนเล็กน้อย
อาลู่เดินไปพลิกตัวทารกน้อย ให้นางนอนคว่ำอาบแดดสักครู่
เฉินโย่วน้อยที่เพิ่งถูกพลิกตัวให้นอนคว่ำ เงยหน้ามองพี่ชายที่เดินกลับไปทำงานต่อ
เด็กหนุ่มลากท่อนไม้ผุท่อนหนึ่งขึ้นมาปักลงในหลุมที่เพิ่งขุด แล้วใช้ดินจากการขุดหลุมกลบฝังกลับไปให้แน่น
เพื่อทำให้ดินแน่นขึ้น อาลู่จึงใช้เท้าเหยียบลงไป ทั้งยังใช้ทั้งตัวขึ้นไปะโเหยียบให้ดินแน่นที่สุด
เฉินโย่วน้อยเมื่อเห็นพี่ชายในมือจับไม้ผุท่อนหนึ่งะโไปมา ทันใดเสียงหัวเราะ “ฮ่าๆๆ”ก็ดังขึ้น
อาลู่เมื่อเห็นว่าทารกน้อยหัวเราะชอบใจ ก็ออกแรงะโให้แรงขึ้นอีก
ทารกน้อยดูเหมือนว่าจะชอบให้เขาทำเสียงดัง เพียงแค่เขาทำเสียงดังเพิ่มขึ้นสักหน่อย นางก็จะยิ่งหัวเราะชอบใจ
ภายใต้แสงแดดเจิดจ้าที่สาดส่อง เด็กหนุ่มยังคงออกแรงะโขึ้นลงเช่นนั้น
ทารกน้อยก็ยังคงแหงนหน้าหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ
ทว่าเมื่อหัวเราะไปได้ครู่หนึ่ง ทารกน้อยก็เงียบเสียงลงไปเฉยๆ กระนั้นก็มิใช่เพราะนางไม่อยากหัวเราะ แต่เป็เพราะหัวเราะจนเหนื่อยเสียแล้ว จนตอนนี้นางแทบจะยกหัวไม่ขึ้น ได้แต่นอนซบกับผ้าอ้อม ซ้ำนางยังพลิกตัวไม่เป็ จึงได้แต่ทำนอนคว่ำฟุบลงไปอย่างโง่งม
อาลู่เมื่อเห็นท่าทางของนางก็นึกขัน
จากมุมไกลๆ กลางฝูงม้า เหล่าปาเมื่อเห็นไม้ที่เคยล้มกองระเกะระกะเ่าั้ตั้งเรียงกันขึ้นมาใหม่ก็รู้สึกพอใจไม่น้อย
คนก่อนหน้าอาลู่นั้น เขาสั่งให้ดูม้าก็นั่งเซ่อดูแต่ม้าไปวันๆ ต่างกับเ้าเด็กหนุ่มตรงหน้า แม้จะตัวเล็กไปเสียหน่อย ทว่าทั้งเรี่ยวแรงใช้ได้ ซ้ำยังขยันขันแข็ง
แต่เพียงครู่ต่อมาสายตาของชายหนุ่มก็พลันแข็งค้าง
ลานเลี้ยงม้าแห่งนี้นับว่าเป็พื้นที่ของเขา แต่บัดนี้กลับมีสตรีนางหนึ่งพร้อมด้วยหญิงรับใช้ตามหลังมาอีกสองนางกำลังเดินนวยนาดปรากฏกายอยู่บนลานเลี้ยงม้า
ใบหน้าเหล่าปาพลันเปลี่ยนเป็ไม่น่ามอง ทว่าก็ไม่ได้โวยวายอะไร
ด้วยเขาจำได้ว่าแม่นางที่กำลังทอดน่องมาคือสตรีคนโปรดของนายท่านใหญ่ ว่ากันว่านางคือบุตรสาวของตระกูลเศรษฐี ดังนั้นเมื่ออยู่บนเขาแห่งนี้จึงพิเศษเหนือคนอื่น มีหญิงรับใช้คอยปรนนิบัติถึงสองคน
โดยเฉพาะเมื่อเดือนก่อนที่นางเพิ่งแท้งบุตรไป นิสัยก็เปลี่ยนเป็ประหลาดเหลือทน แต่นายท่านใหญ่ก็ไม่ได้ถือสา
อาลู่ที่กำลังจะพลิกตัวให้น้องสาวอีกรอบหนึ่ง ทันใดตรงหน้าตนก็เห็นคนทั้งสามยืนอยู่
ด้านหน้าสุดเป็สตรีใบหน้าหมดจด สวมชุดสีแดงลูกท้อตลอดร่าง ลำคอขาวนวล จมูกเชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่งามเรียวยาว
อาลู่มึนงงไปครู่หนึ่ง
คิดในใจว่ากระทั่งนายหญิงของตระกูลต้าปาซือยังไม่งามเท่าสตรีตรงหน้าตน
ส่วนท่านแม่ของตนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“นี่น่ะหรือ เ้าเด็กที่เพิ่งมาอยู่ใหม่” คิ้วคู่งามขมวดมุ่นขณะเอ่ยถาม
หญิงรับใช้ทางซ้ายเพียงพยักน้อยๆ เป็คำตอบ
“อุ้มมาให้ข้าดูที”
อาลู่เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบกอดน้องสาวตนแน่น
สาวใช้ตรงหน้าเด็กหนุ่มเพียงอึดใจก็ขยับมาอยู่ข้างกายเขาเสียแล้ว ซ้ำยังกระแทกเด็กหนุ่มอย่างแรงจนทารกน้อยพลันหลุดมือ
เด็กน้อยร่วงหล่นจากอ้อมอกพี่ชาย ทว่าสาวใช้เมื่อครู่พลันก้าวเข้ามารับตัวทารกไว้ แล้วส่งให้กับสตรีชุดแดง
สตรีชุดแดงยื่นมือรับทารกน้อยด้วยใบหน้าเ็า
อาลู่ต่อสู้สุดแรง แต่กลับรู้สึกราวกับถูกพันธนาการ มีบางสิ่งกำลังฉุดรั้งเขาไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อน กระทั่งตอนนี้ลำคอของเขาก็ราวกับถูกรัดไว้ ทำได้เพียงถลึงตามองน้องสาวของตนถูกอุ้มไป
“อัปลักษณ์เสียจริง ไม่อาจเทียบลูกข้าได้สักนิด” หญิงงามขมวดคิ้วกล่าวกับทารกน้อยในอ้อมอก
“ลูกข้าทั้งตาโตผิวพรรณขาวผ่อง แต่เ้าเด็กนี่ทั้งอัปลักษณ์ ทั้งตัวดำ มีสิทธิ์อันใดจึงยังมีชีวิตรอด” ยิ่งพูด มือเรียวก็ยิ่งบีบตัวทารกน้อยแรงขึ้น ซ้ำยังเตรียมจะโยนทารกที่อุ้มอยู่ลงพื้น
ทว่าครู่ต่อมานางก็จำต้องหน้าแดงด้วยความอับอาย
มือน้อยๆ ของเฉินโย่วยื่นออกไปกุมหน้าอกสตรีตรงหน้าตนเสียแน่น ก่อนจะออกแรงทั้งเคล้นทั้งบีบ เพียงพริบตา น้ำนมสีขาวขุ่นก็ค่อยๆ ไหลออกมา เฉินโย่วน้อยเห็นดังนั้นก็มิได้สนใจสิ่งใด รีบซุกหน้าดูดน้ำนมทันที แม้จะมีเสื้อผ้าหลายชั้นกั้นอยู่ ทว่าทารกน้อยก็ยังคงรู้สึกว่ามันอร่อยเหลือเกิน