“เออ หม่อมฉันจะไปนำชามาให้นะเพคะ”
“ในห้องครัวยังต้มน้ำไว้อยู่”
สองหญิงสาวหาข้ออ้างที่จะออกไป พร้อมกับขยิบตาให้
ลานตำหนักจึงเหลือเพียงชิงอีกับเซียวเจวี๋ย และเชือกถักสีแดงที่พลิ้วไหวตามสายลม
บรรยากาศชะงักงันอยู่เป็เวลานาน
เซียวเจวี๋ยหันหน้ามาพูดเบาๆ ว่า “มันไม่ใช่ของข้า”
“อ๋อเหรอ”
น้ำเสียงของใครบางคนเยาะเย้ย
“เป็องค์รัชทายาทที่ขอให้ข้านำมันมาให้ท่าน”
“อืม”
“ข้าคิดว่าข้างในคือยา”
“ฮ่าๆ”
พูดคำ ตอบคำ
คนหนึ่งที่ชีวิตนี้ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ส่วนอีกคนเ็าจนยากคาดเดา
เซียวเจวี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กำมือไว้ด้านหลัง ฉู่จื่ออวี้...
ชิงอีมองดูเขาด้วยสายตาเยาะเย้ย โยนเชือกถักสีแดงลงกับพื้น แล้วทิ้งตัวลงนอนบนตั่ง
“ไหนๆ ก็มาแล้ว เช่นนั้นก็นั่งสักครู่เถอะ”
นางลูบแหวนจื่อจินบนมือ และมองมาที่เขาโดยไม่ทราบสาเหตุ
เซียวเจวี๋ยขมวดคิ้วและเดินไปนั่งบนม้านั่งหินที่อยู่ห่างจากนางเล็กน้อย ราวกับว่าไม่เห็นสายตาของชิงอีที่มองมา
“เมื่อวาน ท่านออกไปจากห้องเครื่องั้แ่เมื่อไร?” นางถาม
เซียวเจวี๋ยหลุบตามองเชือกถักบนพื้น ซึ่งเขรอะโคลน
“ข้าไม่เคยไปที่นั่น”
เฮอะ ชิงอีกลอกตา
ขนาดนี้แล้วยังจะไม่ยอมรับอีก!
ผู้คนมากมายเห็นขนาดนี้ ยังคิดจะมาเล่นเล่ห์อยู่อีกหรือไร?
“ตอนข้าเมา เ้าคงไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ควรกับข้าใช่หรือไม่?” ชิงอีรู้สึกว่าหลังจากตื่นนอน ร่างกายของนางก็ร้าวระบมราวกับร่างจะแหลกสลายอยู่ตลอด นี่ไม่ใช่อาการที่มาจากการเมา แต่เหมือนถูกทุบตีมาเสียมากกว่า
ไม่ว่าจะมองอย่างไร หนุ่มน้อยผู้นี้ก็น่าสงสัยที่สุดอยู่ดี
เป็ไปได้ไหมว่าหลังจากที่เขาถูกบังคับให้จูบกับนางแล้ว เขาโกรธมากจนลงไม้ลงมือ?
คำพูดไร้ยางอายเหล่านี้
เซียวเจวี๋ยกระตุกมุมปาก เขาทำอะไร?!
เหตุใดเ้าไม่กล่าวถึงเื่ที่เ้าทำบ้างล่ะ?!
ฤทธิ์ของสุราช่างน่าทึ่ง มันทำให้นางบ้าคลั่ง เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ และกอดจูบลูบคลำผู้อื่น
เขาแค่ยอมใจอ่อนคืนพลังให้นาง ทั้งยังปลดผนึกแหวนจื่อจินให้ กลับกลายเป็ว่านางตื่นเต้นเสียจนร่ายเวทเผาหลังคาห้องเครื่อง...
บีบบังคับให้เขาต้องมานั่งจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ลบความทรงจำตอนที่นางเมามายทิ้ง
เขาระบายความโกรธที่เหลือด้วยการยัดนางลงไปในโถข้าว และเรียกผู้ที่ดูแลห้องเครื่องมาแล้วค่อยออกมาจากที่นั่น
“ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น” เซียวเจวี๋ยพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ชิงอีตีลงบนที่เท้าแขน ั์ตาคู่งามวาวโรจน์ “เมื่อครู่เ้ายังพูดอยู่เลยว่าไม่ได้ไปที่นั่น! ต้องเป็เ้าแน่ๆ สารภาพมาซะเถอะ!”
เซ่อเจิ้งอ๋องหายใจเข้าลึก
เขาแอบเสียใจกับการกระทำของตนเอง เหตุใดเมื่อวานเขาถึงคืนพลังให้นางไป? ปล่อยให้นางเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ถูกรังแกในวังหลังเสียดีกว่า?
เซียวเจวี๋ยรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ส่วนใครบางคนยังคงพร่ำเื่ไร้สาระของตนเอง โดยไม่ทันสังเกต
“ข้าเกิดมาพร้อมรูปร่างหน้าตางดงามราวกับบุปผา งดงามเลิศที่สุดในปฐี หนุ่มน้อยอย่างเ้าคงอิจฉาที่ข้าหน้าตาดีกว่า เลยไม่พอใจข้ามานานแล้ว ถึงได้ฉวยโอกาสนี้ลงมืออย่างโเี้ใช่หรือไม่!”
ได้ยินเช่นนี้ เซียวเจวี๋ยเหยียดยิ้มเคืองๆ ขึ้นมาทันใด
เขาตวัดมองนาง ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าครุ่นคิดระคนขบขัน วันๆ นางมีแต่ความคิดที่ต่างจากคนทั่วไป สรุปแล้วนางแกล้งโง่ หรือคิดเช่นนั้นจริงๆ?
มันมีผีหญิงสาวที่หลงตัวเองได้ขนาดนี้ด้วยหรือ?
แม้ว่าเขาจะรังเกียจคนหรือสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเย่เหยียนทั้งหมด ทว่า ครานี้เขาสงสัยจริงๆ ว่าชายผู้นั้นเลี้ยงน้องสาวให้เป็เช่นนี้ได้อย่างไร?
นางร้ายกาจ เสแสร้ง และหลงตัวเอง ทั้งยังพูดที่น่าทึ่งออกมาอยู่หลายครั้ง ในความโง่เขลาแล้วถือว่าเป็สอง ซึ่งก็ไม่ได้ดีไปกว่าหลิงเฟิงสักเท่าไร
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกของนางที่มีต่อเย่เหยียนค่อนข้างลึกซึ้ง
ดูเหมือนจะเป็คนใจร้าย ทว่า สิ่งแรกที่นึกถึงในเวลาเมามายคือผู้ชายคนนั้น แล้วก็...
ท่านหายไปแล้ว ข้าจะแต่งงานกับเป่ยอินได้อย่างไรล่ะ...
ประโยคนี้ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดอีกครั้ง
ดวงตาเซียวเจวี๋ยไหววูบครู่หนึ่ง และรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองนั้น นอกจากจะไร้สาระแล้วยังซับซ้อนมากๆ เช่นกัน
“นี่ ถ้าเ้าไม่พูดก็ถือว่ายอมรับแล้วนะ!”
เมื่อชิงอีเห็นว่าเขาเงียบอยู่เป็เวลานาน ทั้งยังมองดูนางด้วยท่าทางแปลกๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จนมันทำให้นางขนลุกขนชันอย่างอธิบายไม่ได้
บางครั้งเ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ก็คาดเดาไม่ได้ แม้แต่ผียังดูไม่ออกเลยว่าเป็คนเช่นไร
“คำพูดที่ไม่มีหลักฐาน องค์หญิงอย่ามาพูดเื่ไร้สาระเสียดีกว่า” หลังจากที่สติของเซียวเจวี๋ยกลับคืนมา เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเ็าและหยุดครู่หนึ่ง ราวกับกำลังหาข้ออ้างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ “ข้ากำลังคิดว่า แหวนที่เหมือนกับแหวนบนนิ้วขององค์หญิงวงนั้น ไม่รู้ว่ามันหายไปอยู่ที่ไหนกันแน่?”
เมื่อพูดถึงแหวนจื่อจิน ชิงอีก็จับมือตนเองโดยไม่รู้ตัว
เฮอะ ตอนนี้เ้าเด็กอ้วนที่อยู่ในอาวุธเซียนตื่นขึ้นมาแล้ว ในที่สุด นางก็ไม่ต้องทนทุกข์กับความร้อนจากพลังัในวังหลวงอีกต่อไป ทั้งยังสามารถเพลิดเพลินกับความเย็นจากพลังหยินได้อีกด้วย หากเขากล้าพูดว่าแหวนจื่อจินนี้เป็ของนาง นางก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อมันมาอยู่ในมือนางแล้วอย่าได้คิดที่จะมาเอามันกลับไปเด็ดขาด!
ต่อให้จื่อเซียวเฒ่านั่นจะมาหานางถึงที่ด้วยตัวเอง นางก็จะซัดให้หงายหลังกลับไปเช่นกัน!
เซียวเจวี๋ยถึงกับพูดไม่ออก เมื่อมองท่าทีปกป้องอาหารของนาง เมื่อตอนยังเป็เด็ก นางอ้วนจ้ำม่ำและไร้เดียงสา นับว่าเป็เด็กที่มีภูมิฐานที่ดีเลยทีเดียว แล้วจู่ๆ ก็ถูกเย่เหยียนเลี้ยงจนกลายเป็นางมาร
หลังจากถอนหายใจอย่างเงียบๆ เซียวเจวี๋ยก็ลุกขึ้นเพื่อเตรียมจะเดินจากไป
ทว่า กลับได้ยินเสียงอาเจียนดังขึ้นมา
จริงๆ แล้ว ชิงอีกลั้นมันเอาไว้มาระยะหนึ่งแล้ว เป็ผลให้อาการคลื่นไส้ตีขึ้นมา จนกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไป
ในท้องของนาง ราวกับมีผีตัวเล็กสิบเจ็ดสิบแปดตนกำลังเต้นรำอยู่
เซียวเจวี๋ยที่อยู่ใกล้ๆ เห็นนางปิดปากแน่นด้วยท่าทางอวดเก่ง
เดิมทีนางเป็ราชินีแห่งภูตผี เป็เื่ยากที่ร่างกายของมนุษย์ธรรมดาจะรับมือกับจิติญญาของนางได้ โชคดีที่วันเกิดของเ้าของร่างคนเดิมมีพลังหยินเพียงพอ ไม่เช่นนั้น ร่างกายนี้คงจะถูกทำลายโดยิญญาของนางไปนานแล้ว
นางคิดว่าตนสบายดีเลยไม่รู้จักระวังตัว ยิ่งไม่ไปต้องพูดถึงร่างกายของเ้าของเดิมที่ดื่มเหล้าไม่ได้ และเปราะบางเป็ทุนเดิม เมื่อวานนางดื่มหนักขนาดนั้น ไม่ใช่ว่ามันเป็ราดน้ำมันบนกองไฟหรอกหรือ?
เช่นนั้นจึงไม่แปลกที่จะไม่สบาย
“จะไปก็รีบไปสิ! อย่ามาเกะกะลูกตาข้า”
ชิงอีไม่อยากจะเสียหน้าต่อหน้าเขา จึงหันบ่ายหน้าหนีอย่างหงุดหงิด พร้อมกับกัดฟันและกลั้นอาการคลื่นไส้เอาไว้
ทรมานจะตายอยู่แล้ว
เมื่อด้านหลังเงียบสงบลงแล้ว ชิงอีจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ทันใดนั้น มีเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง มีใครบางคนเดินเข้ามาใกล้ๆ
มือข้างหนึ่งลูบหลังนาง พร้อมกับิญญาร้ายบริสุทธิ์รายล้อมรอบตัวนาง ความปั่นป่วนในท้องก็ค่อยๆ ลดลง
ชิงอีถึงกับตะลึง ไม่ใช่นางไม่รู้ว่าใครเป็เ้าของิญญาชั่วร้ายนี้
ิญญาชั่วร้ายบนร่างของเซียวเจวี๋ยนั้นบริสุทธิ์มาก นางอยากได้มันมานานแล้ว เวลาอยู่ใกล้ชายหนุ่มให้ความรู้สึกสบายใจอย่างยากจะอธิบาย ตอนที่นางกำลังทรมาน เขาก็มาลูบหลังให้นาง ิญญาชั่วร้ายนั่นก็ถูกนางดูดกลืนโดยไม่รู้ตัว
มันเหมือนกับการชอบใครสักคนโดยที่ไม่มีเหตุผล ความร้อนและไฟที่โหมกระหน่ำทั้งหมดระเหิดหายไป หลงเหลือเพียงแค่ความเย็นสบาย
ชิงอีผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเล็กน้อย ด้วยการััของเขา แล้วนางก็ผล็อยหลับไป
เถาเซียงและต้านเสวี่ยเข้ามาพร้อมกับน้ำชาร้อนๆ พวกเขาที่เห็นเหตุการณ์จากระยะไกล ก็ยิ้มให้กันแล้วถอยหลังกลับไป
จนกระทั่งเสียงลมหายใจของหญิงสาวเป็จังหวะที่นิ่งสงบ มือของเซียวเจวี๋ยจึงค่อยๆ หยุดลูบหลังของนาง เขาเหลือบไปมองมือที่ห้อยอยู่อีกข้างหนึ่งของเขา และขมวดคิ้วทันใด สายตามองไปเห็นหัวมนุษย์เล็กๆ ที่โผล่ออกมาจากแหวนจื่อจิน
เ้าเด็กอ้วนตาเบิกกว้าง มองเขาด้วยความประหลาดใจ
ขณะเดียวกัน นั่นทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เล็กน้อย
เขาลุกขึ้น คิดแค่อยากจะออกไปจากสถานการณ์ที่น่าหงุดหงิดนี้โดยเร็ว ทว่า เท้ากลับเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่าง
เซียวเจวี๋ยหยุดโดยไม่รู้ตัว แล้วยกเท้าขึ้นเพื่อดู
มันคือเชือกถักสีแดงเส้นนั้น...
