หยางหนิงไม่รีบร้อนพูดสิ่งใด โต้วเหลียนจงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าโม่สายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก มองเดี๋ยวเดียวก็ทราบว่าของจริงหรือของปลอม” เขาจ้องไปที่หยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “เ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
“จะให้ข้าพูดสิ่งใด?” หยางหนิงตอบอย่างนิ่งๆ “ใต้เท้าโม่ท่านตัดสินแล้วหรืออย่างไร?”
“เ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร ใต้เท้าโม่บอกว่ามันทำมันทำจากหยกหลิวหลีหยาบ” โต้วเหลียนจงยืดอก “พูดถึงเพียงนี้แล้ว ข้าไม่รู้ว่าเ้าจะยังให้ตัดสินสิ่งใดอีก”
“ใต้เท้าโม่เพียงแต่บอกว่าหากมองจากคุณภาพภายนอก มันดูเป็ของไม่มีราคาค่างวดเท่าไหร่นัก” หยางหนิงยังคงนิ่ง “แต่ไม่ได้บอกว่าม้าหลิวหลีตัวนี้มิใช่ของวิเศษแต่อย่างใด ในเมื่อเ้ารู้จักของโบราณมากมายเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเ้าก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ กระดาษและหมึกที่ใช้เขียนตัวอักษรที่ดูจะแสนธรรมดาแต่เมื่อเขียนมันออกมาแล้ว กลับมีมูลค่าเกินกว่าเราจะประเมินได้ ของล้ำค่าที่แท้จริง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมาทำหรอกนะ”
โต้วเหลียนจงยังคิดจะแก้ต่าง ผู้ว่าโม่ก็ยิ้ม แล้วพูดว่า “ฉีหนิงเ้าพูดถูกแล้ว มองแค่ภายนอก มันดูไม่ใช่ของมีค่าอะไรมากนัก แต่ข้าไม่ได้บอกว่าม้าหลิวหลีตัวนี้ไม่ใช่ของล้ำค่า”
โต้วเหลียนจงอึ้งไปครู่ใหญ่ รู้สึกงุนงงไม่น้อย
“ฉีหนิง เ้าบอกว่านี่เป็มรดกตกทอดของตระกูลเ้าอย่างนั้นหรือ?” ผู้ว่าโม่ถาม “มันหมายความว่าอย่างไร?”
“เรียนใต้เท้า ม้าหลิวหลีตัวนี้เป็ของที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้กับท่านปู่ ภายในมีหกดาวใต้กับเจ็บดาวเหนือ สามารถทำนายความเป็ความตายได้” หยางหนิงพูดต่อไปว่า “หากม้าหลิวหลีตัวนี้ยังคงสภาพเดิม พอในยามกลางคืนยังสามารถส่องแสงออกมาได้”
ผู้ว่าโม่ตะลึงอึ้งไปครู่ใหญ่ “นี่เป็ของที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้องขอรับ” หยางหนิงพูดต่อว่า “มันถูกเก็บไว้ในจวนจิ่นอีโหวของข้าน้อยมานานกว่าสิบปี วันนี้เพิ่งจะหยิบออกมา คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูก...!” แล้วจ้องไปที่โต้วเหลียนจง แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “โต้วเหลียนจงกลับมาทำลายมรดกตกทอดของตระกูลข้าน้อย อีกทั้งยังหาข้ออ้างเพื่อไม่รับผิดชอบอีก ขอใต้เท้าให้ความเป็ธรรมด้วยขอรับ”
ผู้ว่าโม้พยักหน้าเบาๆ โต้วเหลียนจงเห็นดังนั้น จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ใต้เท้าโม้ เขาบอกว่าสิ่งนี้เป็ของที่อดีตฮ่องเต้ประทานให้ก็ต้องเป็เช่นนี้อย่างนั้นหรือ? ผู้ใดจะรู้ว่าเขาอาจจะเอาอดีตฮ่องเต้มาแอบอ้างหรือไม่ อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว คนตายไม่อาจ...!”
“หุบปาก!” ผู้ว่าโม่ตะคอก “โต้วเหลียนจง เ้าบังอาจยิ่งนัก เ้ากล้าดูิ่อดีตฮ่องเต้ เ้ารู้หรือไม่ว่าจะมีโทษสถานใด?”
โต้วเหลียนจงร้อนรนไปชั่วขณะ เมื่อถูกผู้ว่าโม่ต่อว่า ถึงได้สติ จากนั้นก็พูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “ใต้เท้าโม่ ข้าน้อย...ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นขอรับ”
“เ้ารู้หรือไม่ เพียงคำพูดของเ้าเมื่อครู่ที่เ้าเอ่ยออกมา ข้าสามารถสั่งลงโทษเ้าสถานหนักได้” ผู้ว่าโม่สายตาดุดัน “ที่นี่คือจวนผู้ว่าการเมืองหลวง เ้ากล้าดูิ่อดีตฮ่องเต้ต่อหน้าข้า เ้ามีเจตนาใดกันแน่?”
ใบหน้าของโต้วเหลียนจงแดงก่ำขึ้นมา “ใต้เท้าโม่ ข้าไม่ได้มีเจตนาดูิ่อดีตฮ่องเต้แต่อย่างใด ข้าเพียงแค่อยากจะบอกว่า...แค่อยากจะบอกว่าหากเป็ของที่อดีตฮ่องเต้ประทานให้จริง ก็น่าจะมีบันทึกในสมุด ม้าหลิวหลีตัวนี้ใช่ของที่อดีตฮ่องเต้ประทานให้หรือไม่ เราตรวจสอบในบันทึกเพียงเท่านี้เราก็สามารถรู้ได้แล้วขอรับ”
ในตอนนี้เองเลขาของผู้ว่าโม้ก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วหันไปถามผู้ว่าโม่ว่า “ใต้เท้า คำพูดเมื่อครู่นี้ท่านจะให้...?”
โต้วเหลียนจงได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป แล้วรีบพูดขึ้นมาว่า “ใต้เท้าโม่ ใต้เท้าโม่ ข้าน้อย...!” ในใจของเขารู้ดีว่า หากคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้ถูกบันทึกลงในคำให้การ ผลที่ตามมาแทบจะไม่อยากคิด ปกติเขาอาศัยอำนาจที่เขามีคอยรังแกคนอื่น วันนี้มาอยู่ที่จวนผู้ว่าการเมืองหลวง จริงๆ แล้วก็ระวังคำพูด แต่เมื่อครู่เห็นผู้ว่าโม่มีท่าทีเปลี่ยนไปเพราะคำว่า “อดีตฮ่องเต้ประทานให้” จึงกลัวว่าผู้ว่าการโม่จะเข้าข้างหยางหนิง ด้วยความร้อนใจ จึงพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ทำให้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงนัก
ในใจของเขายังคงโกรธยิ่งนัก หยางหนิงหันไปพูดกับใต้เท้าโม่ด้วยความเคารพว่า “ใต้เท้า ตอนนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี ควรต้องบันทึกคำให้การทุกคำพูดหรือไม่?”
“เ้าไม่ต้องเตือนข้า” ผู้ว่าการโม่พูดอย่างเรียบเฉย แล้วหันไปพูดกับเลขาว่า “เ้าเป็เลขาบันทึกคำให้การมากี่ปีแล้ว กฎเพียงเท่านี้เ้าก็ไม่รู้หรือ? ยังต้องมาถามข้าอีกรึ?”
เลขารีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าน้อยสับสนไปชั่วขณะขอรับ” เขาไม่พูดอะไรต่อ หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนลงไป
สีหน้าของโต้วเหลียนจงเหมือนตายทั้งเป็ เหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากซิบๆ ในใจรู้ดีว่าวันนี้เขาทำผิดอย่างใหญ่หลวง เื่นี้จริงๆ เป็แค่เื่เล็ก จะว่าใหญ่มันก็ไม่ได้ใหญ่ถึงเพียงนั้น
หากเป็ผู้อื่น เขาคงให้พ่อของตนไปจัดการแล้ว แก้ไขแบบบันทึกมันเป็เื่ง่ายนิดเดียว แต่เขาคือผู้ว่าการโม่ “ท่านโม่ผู้ตัดสินอย่างเที่ยงธรรม” ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ได้ยินคำที่เขาพูดยังเป็หยางหนิงอีกต่างหาก
“ที่โต้วเหลียนจงพูดมานั้นก็มีเหตุมีผล” ผู้ว่าการโม้พูดว่า “สิ่งของที่โอรส์ประทานให้ ราชสำนักต้องมีการบันทึกเอาไว้ในคลังสมบัติหลวง ของในพระราชสำนักมีการจดบันทึกเอาไว้ทุกชิ้น หากแต่ว่ามีการดึงมาจากกรมพระคลัง กรมพระคลังก็จะต้องมีบันทึกเอาไว้ด้วย” แล้วพูดต่อว่า “พ่อของโต้วเหลียนจงเป็ราชเลขากรมพระคลัง หากว่าม้าหลิวหลีตัวนี้เป็ของที่ออกมาจากกรมพระคลังแล้วล่ะก็ สามารถไปตรวจสอบที่กรมพระคลังได้ มิเช่นนั้นก็สามารถไปตรวจสอบที่คลังสมบัติหลวงในวังหลวงได้”
โต้วเหลียนจงรีบพูดขึ้นมาว่า “ใช่แล้วขอรับ หากเป็เช่นนั้น ใต้เท้าโม่ ข้าได้ส่งคนไปที่กรมพระคลัง เพื่อตรวจสอบบันทึกของม้าหลิวหลีแล้วขอรับ”
หยางหนิงถึงได้เข้าใจว่า ก่อนหน้านี้ที่จ้าวซิ่นแยกตัวออกไปนั้น โต้วเหลียนจงก็น่าจะส่งเขาไปที่กรมพระคลัง
ผู้ว่าการโม่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “โต้วเหลียนจง เ้าเหมือนจะไม่มีตำแหน่งขุนนาง”
โต้วเหลียนจงตะลึงไป ไม่เข้าใจความหมาย
“เ้าไม่ได้เป็ขุนนางราชสำนัก เหตุใดถึงได้มีสิทธิ์ส่งคนไปตรวจสอบบันทึกที่กรมพระคลังได้เล่า?” ผู้ว่าการโม่พูดอย่างเรียบเฉย “ถึงแม้พ่อของเ้าจะเป็ราชเลขากรมพระคลัง ต่อให้เป็ตัวของเ้าเอง ก็ต้องยื่นขอตามขั้นตอนกฎระเบียบ ไม่ทราบว่าเหตุใดเ้าถึงได้ส่งคนไปตรวจสอบบันทึกได้ง่ายดายเช่นนี้กัน? คดีนี้ หากจะให้ตรวจสอบบันทึก ก็น่าจะเป็จวนผู้ว่าการของข้าเป็คนออกหน้ายื่นขอ ทำเื่ไปยังกรมพระคลังหรือไม่ก็คลังสมบัติหลวงเพื่อขอตรวจสอบ เ้าเหมือนจะรีบร้อนเกินกระมัง?”
โต้วเหลียนจงเหมือนจะรู้สึกตัวได้ว่าเขาทำผิดพลาดเป็ครั้งที่สองเสียแล้ว
โต้วขุยเป็ราชเลขานั้นไม่ผิด แต่โต้วเหลียนจงมิได้เป็ขุนนาง ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปก้าวก่ายเื่ของกรมพระคลังได้ แต่เขากลับส่งคนไปตรวจสอบบันทึกของกรมพระคลัง นั่นหมายความว่าเขาอาศัยอำนาจของครอบครัวเขาจัดการเื่ของตัวเอง หากเื่นี้แพร่สะพัดออกไป หากศัตรูทางการเมืองของเขารู้เข้า อาจจะใช้เื่นี้ในการโจมตีโต้วขุยก็เป็ได้
โต้วเหลียนจงหน้าสั่นไปหมด
เลขาผู้ว่าการบันทึกทุกถ้อยคำโดยไม่มีขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่คำเดียว
หยางหนิงคิดว่าผู้ว่าการโม่เป็ผู้ที่ตัดสินอย่างเที่ยงธรรม ไม่ไว้หน้าผู้ใดจริงๆ หากเป็เช่นนี้ก็ดี โต้วเหลียนจงยังไม่ทันได้เข้าประเด็นเื่มรดกสืบทอดของตระกูล ก็พลาดพูดผิดไปตั้งหลายหน ผู้ว่าการโม่จึงจับผิดได้ถึงสองครั้ง อีกทั้งสองครั้งที่ถูกจับผิดได้นั้นหากทำให้เป็เื่ใหญ่ มันจะกลายเป็คดีใหญ่ทันที
โต้วเหลียนจงคิดจะแก้ตัวอีก แต่จ้าวอู๋ซางจึงพูดขึ้นมาว่า “ข้าน้อยจ้าวอู๋ซาง มีเื่อยากจะเรียนท่านใต้เท้า!”
ผู้ว่าการโม่พูดว่า “เ้าจะพูดสิ่งใดเล่า?”
“มรดกสืบทอดของตระกูลที่แตกไป เป็ของที่อดีตฮ่องเต้ประทานให้กับท่านเหล่าโหว” จ้าวอู๋ซางค่อยๆ พูดต่อไปว่า “ท่านผู้ว่าการโม่ ข้าน้อยขอถามสักคำ ชื่อของจิ่นอีโหวมีที่มาอย่างไร ท่านพอจะทราบหรือไม่?”
ผู้ว่าการโม้ตอบว่า “ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ยกทัพปราบฏ ท่านจิ่นอีเหล่าโหวติดตามอดีตฮ่องเต้ไปด้วย เมื่อสามารถกำราบฏที่สิงหนานได้ การศึกได้หยุดลงชั่วคราว ในตอนนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างขาดแคลน แนวหน้าขาดเสื้อผ้าอาหารอย่างหนัก ลากยาวถึงหน้าหนาว ปีนั้นอากาศหนาวยิ่งนัก ทหารไม่น้อยต้องหนาวตาย อดีตฮ่องเต้ทรงร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่าทหาร ได้ยินว่าในตอนนั้นอดีตฮ่องเต้เองก็ทรงสวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ จนทรงประชวร” เขาหยุดไปครู่ แล้วพูดต่อว่า “ในตอนนั้นท่านเหล่าโหวได้ถอดเสื้อของท่านทั้งหมดให้อดีตฮ่องเต้ทรงสวมใส่ แล้วตนก็ขึ้นเขาไปเพื่อไปหาสมุนไพรมารักษาพระอาการ จนทำให้อดีตฮ่องเต้ทรงหายจากอาการประชวรในครั้งนั้น ส่วนท่านจิ่นอีเหล่าโหวก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะความหนาว”
“เป็เช่นนั้น” จ้าวอู๋ซางพูดต่อว่า “ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ต่อมาได้ทรงแต่งตั้งให้ท่านเหล่าโหวเป็จิ่นอีโหว เนื่องด้วยทรงระลึกถึงมิตรภาพระหว่างกัน”
ผู้ว่าการโม่ยกมือขึ้นมาคำนับแล้วพูดว่า “ท่านเหล่าโหวจงรักภักดี ถือเป็แบบอย่างของขุนนางอย่างพวกข้า”
“หากเป็เช่นนั้นใต้เท้าโม่ก็น่าจะทราบดีว่า ในสมัยนั้นอดีตฮ่องเต้ยกทัพลงใต้ บุกชิงดินแดนได้มากมาย” จ้าวอู๋ซางพูดอย่างเรียบง่ายว่า “พระองค์ก็ได้สมบัติของมีค่าต่างๆ กลับมาไม่น้อย อดีตฮ่องเต้ได้ทรงนำของมีค่าเ่าั้มาแจกจ่ายให้กับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ไม่เพียงแค่ท่านจิ่นอีเหล่าโหว หากแต่บรรดาศักดิ์โหวทั้งสี่ ก็ได้รับของพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้เช่นเดียวกัน”
ผู้ว่าโม่พยักหน้า แต่ก็มิได้พูดสิ่งใด
“ของพระราชทานในครั้งนั้น ไม่ได้มีการจดบันทึกเอาไว้” จ้าวอู๋ซางพูดว่า “ข้าน้อยสามารถยืนยันได้ว่า หากทางกรมพระคลังหรือคลังสมบัติหลวงตรวจไม่พบของชิ้นนี้ ถ้าอย่างนั้นม้าหลิวหลีที่อดีตฮ่องเต้ทรงพระราชทานมาให้ตัวนี้ หมายความว่าท่านจิ่นอีเหล่าโหวได้มาอย่างไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ?”
ผู้ว่าการโม้ขมวดคิ้ว แล้วกล่าวว่า “เ้าหมายความว่า ม้าหลิวหลีตัวนี้เป็ของที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้กับท่านจิ่นอีเหล่าโหวตอนที่ไปออกรบอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้องแล้วใต้เท้า” จ้าวอู๋ซางพูดว่า “ตอนที่ประทานของชิ้นนี้ อู่เซียงเหล่าโหวก็อยู่ด้วยขอรับ”
โต้วเหลียนจงแทบจะกระอักเืออกมา
จิ่นอีเหล่าโหว อู่เซียงเหล่าโหว รวมถึงอดีตฮ่องเต้ต้าฉู่ ทั้งสามคนนี้ตายไปหมดแล้วตั้งหลายปี จะให้ไปขุดพวกเขามาเป็พยานจากหลุมหรืออย่างไร?
แต่ในตอนนี้เขาไม่กล้าจะพูดอะไรมาก กลัวว่าตนจะทำผิดซ้ำอีก
ผู้ว่าการโม้พูดว่า “ในเมื่อเป็ของที่อดีตฮ่องเต้ประทานให้ แสดงว่ามันเป็ของที่ไม่สามารถประเมินค่าได้” จากนั้นเขาก็หันไปมองโต้วเหลียนจง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “โต้วเหลียนจง ของที่อดีตฮ่องเต้ทรงประทาน ถูกเ้าทำแตก เ้ายังมีสิ่งใดจะพูดอีกหรือไม่?”
โต้วเหลียนจงอ้าปากค้าง สุดท้ายก็พูดออกมาว่า “พวกเขา... พวกเขาจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเป็ของที่อดีตฮ่องเต้ทรงประทานให้จริง?”
“พระนามของอดีตฮ่องเต้ ผู้ใดจะกล้านำมาแอบอ้างเล่า?” ผู้ว่าการโม่ยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “ผู้ใดกล้าแอบอ้างพระนามของอดีตฮ่องเต้ ดูิ่อดีตฮ่องเต้ โทษคือปะาชีวิต”
โต้วเหลียนจงถึงกับเหงื่อไหล ก้มหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น...ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าน้อยทำอย่างไร?” ในตอนนี้เขากลัวว่าท่านโม่ผู้ตัดสินอย่างเที่ยงธรรมผู้นี้ จะไม่สนใจเื่ม้าหลิวหลีที่แตก เพราะเขาเอาแต่จับผิดเื่ที่เขาพูดไม่เลิก หากเป็อย่างนั้นจริง มันก็จะเป็เื่ใหญ่กว่าม้าหลิวหลีเสียอีก
“ฉีหนิง ม้าหลิวหลีแตกไปแล้ว ไม่อาจย้อนคืนได้” ผู้ว่าการโม่พูดอย่างเรียบๆ “เ้าคิดจะให้โต้วเหลียนจงชดใช้ให้เ้าอย่างไร?”
“เรียนใต้เท้า ม้าหลิวหลีเป็มรดกตกทอดของตระกูลจิ่นอีโหว มันไม่ใช่เื่สำคัญอะไรมากนัก ที่สำคัญที่สุดคือเป็ของพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้ ของชิ้นนี้ประเมินค่าไม่ได้” หยางหนิงพูดอย่างมีมารยาทว่า “ข้าเองก็ไม่กล้าจะเรียกร้องเงินทองเป็ค่าชดเชยเพราะมันจะเป็การดูิ่อดีตฮ่องเต้ ตอนนี้ท่านย่ายังไม่ทราบเื่ ต้องไปแจ้งท่านย่าเสียก่อน ถึงจะทราบได้ว่าต้องชดใช้เท่าไหร่ ข้าคิดว่าจะให้โต้วเหลียนจงเขียนใบค้างหนี้เอาไว้ก่อน ขอใต้เท้าพิจารณาด้วย!”
“ใบค้างหนี้อย่างนั้นรึ?”
“ใช่แล้วขอรับ” หยางหนิงพูดว่า “ให้โต้วเหลียนจงเขียนยอมรับว่าได้ทำสมบัติมรดกตกทอดประจำตระกูลของข้าแตก ขอแค่ให้ใต้เท้าโม่ตรวจสอบรองรับและเป็พยานให้ เื่นี้ก็จะคุยกันได้ง่ายหน่อยขอรับ”
ผู้ว่าการโม่คิดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “โต้วเหลียนจง ฉีหนิงจะให้เ้าเขียนใบค้างหนี้ เ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?” สีหน้าของเขานิ่งไป สายตาจ้องไปที่โต้วเหลียนจง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้