ตอนนี้จิ่งเต๋อเจิ้นมีความทันสมัยจนไม่เหลือกลิ่นอายบรรยากาศแบบโบราณอีกแล้วเครื่องมือเครื่องใช้ในการรับประทานอาหารและอุปกรณ์อื่นๆ ภายในบ้าน นอกจากจาน ชามถ้วยแล้ว อุปกรณ์อื่นๆ ล้วนใช้แก้วแทนที่ ดังนั้น อุปกรณ์เครื่องเคลือบจึงค่อยๆ หมดไปเครื่องเคลือบที่ประณีตสวยงามจึงแทบจะไม่มีตลาดอีกแล้วการพัฒนาเครื่องเคลือบมาจนถึงปัจจุบันจึงกลายเป็สถานการณ์ลักลั่นไม่สามารถพัฒนาให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป แต่ทำได้เพียงหวนรำลึกถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตเท่านั้น
หลินเยว่กลับเข้ามาที่โรงแรมอีกครั้งก็เป็เวลาค่ำแล้วอันที่จริงตอนแรกเขาคิดจะไปพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จิ่งเต๋อเจิ้นในตอนบ่ายแต่ผลปรากฏว่าที่นั่นกำลังทำการปรับปรุง ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าชม ดังนั้นหลินเยว่จึงได้แต่ไปเดินเล่นที่สถานที่อื่นๆ
เมื่อกลับเข้าห้องหลินเยว่จึงโทรศัพท์หาฉินเหยาเหยาเพื่อบอกกล่าวว่าเขาปลอดภัยดีหลังจากนั้นจึงหยิบท่อนไม้เล็กๆท่อนหนึ่งที่เขาขอมาจากโรงงานไม้จิ่งเต๋อเจิ้นในวันนี้
วันนี้เขาจะเริ่มฝึกขั้นตอนแรกของการแกะสลักจากหนังสือ“คัมภีร์การแกะสลัก” นั่นก็คือ “การแกะรูป!”
หากคิดจะสร้างสรรค์งานแกะสลักที่เป็สิ่งมีชีวิตขึ้นมาสักชิ้นให้ดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมาจริงๆนั้น นอกจากจะต้องสังเกตรายละเอียดต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นทุกส่วนแล้วยังจำเป็ต้องสร้างเป็ภาพสามมิติในสมอง อีกทั้งยังต้องมีมุมในการลงมีดที่ถูกต้องแม่นยำและที่สำคัญที่สุดก็คือวิธีการใช้มีดที่มีความซับซ้อนเป็อย่างมาก
จากคำแนะนำของท่านฉางไท่อาจารย์ของเขาท่านฉางไท่บอกให้หลินเยว่เริ่มฝึกแกะสลักไม้จากสิ่งไม่มีชีวิตก่อน เช่น ใบไม้หรือต้นไม้ต้นหนึ่ง หรือแม้กระทั่งให้ฝึกแกะสลักเป็ก้อนหินก้อนหนึ่งและเมื่อฝึกจนถึงส่วนท้ายของขั้นตอนการแกะรูปแล้วค่อยเริ่มแกะสลักงานเป็สิ่งที่มีชีวิตการฝึกเป็ขั้นเป็ตอนเช่นนี้จะทำให้หลินเยว่มีพื้นฐานแน่นมากยิ่งขึ้น
วันนี้สิ่งที่หลินเยว่จะแกะสลักคือแก้วใบหนึ่ง
เขาจะแกะสลักเพียงตัวแก้วเท่านั้น
อีกทั้งเขาจะใช้เครื่องมือได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บ
การแกะสลักลักษณะภายนอกดูไม่ค่อยยุ่งยากนักแต่ทว่าการใช้มีดจันทราหนาวเหน็บแกะส่วนที่เว้าลึกด้านในของตัวแก้วนั้นจะมีความยากลำบากทีเดียว
แต่บรรพบุรุษของเขายังสามารถทำได้ แล้วทำไมเขาจะทำไม่ได้ล่ะ?
หลินเยว่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แต่ยังไม่มีวิธีไหนที่ดีไปกว่านี้เขาจึงต้องให้กำลังใจตัวเองด้วยประโยคนี้เท่านั้นเอง
เขาวางท่อนไม้ลงบนโต๊ะชาแล้วตั้งไว้ให้มั่นหลังจากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ ถือมีดจันทราหนาวเหน็บขึ้นแล้วเริ่มผ่าไปบนท่อนไม้นั้นทันที
มีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บเล่มนี้หากเป่าเส้นผมไปโดนคมมีดเส้นผมก็ขาดแล้ว มันยังสามารถตัดเหล็กได้เหมือนกับการตัดโคลนเลยทีเดียว ดังนั้นการตัดท่อนไม้ก็เหมือนกับการตัดก้อนเต้าหู้เท่านั้น คิดอยากจะตัดแบบไหนก็สามารถทำได้ตามใจชอบ
หากใช้มีดธรรมดาทั่วไปท่านฉางไท่อาจจะให้หลินเยว่เริ่มฝึกจากก้อนดินก่อน แล้วค่อยฝึกกับท่อนไม้หลังจากนั้นค่อยใช้ก้อนหิน แล้วสุดท้ายก็ใช้วัตถุดิบเป็พวกโลหะต่างๆแต่เนื่องจากมีดแกะสลักจันทราหนาวเหน็บมีความคมมากและสิ่งที่หลินเยว่ฝึกฝนก็ไม่ใช่เทคนิคการแกะสลักทั่วไป ดังนั้นท่านฉางไท่จึงให้หลินเยว่เริ่มฝึกจากท่อนไม้เป็อันดับแรก
สมองของหลินเยว่ปรากฏเป็ภาพลักษณะของแก้วทั้งใบเขาจะเริ่มแกะท่อนไม้ให้เป็รูปทรงประมาณทรงกระบอกก่อน
แต่ทว่าหลินเยว่ก็พบว่าเขาได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดอย่างรวดเร็วแก้วที่เขาแกะสลักจะไม่มีหูจับ! มันจะเป็เพียงตัวแก้วโล่งๆเปล่าๆ เท่านั้น
หลินเยว่จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างอ่อนใจแล้วก็ฝืนยิ้มตรงมุมปากออกมา
ดูแล้ว สิ่งที่เขาขาดก็คือประสบการณ์จริงๆเพราะเขากลับลืมตรงส่วนหูจับไปอย่างสนิท
ไหนๆ ก็พลาดไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ลุยเต็มที่เลยละกันดังนั้น เขาจึงเลิกสนใจรายละเอียดพวกนี้
หลินเยว่จึงตัดท่อนไม้ให้เป็รูปทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากหลังจากนั้นจึงตัดตรงมุมให้เรียบต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากทั้ง4 มุมกลายเป็ 8มุม และทำให้ 8 มุมกลายเป็ 16 มุม......
หากทำการตัดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ มุมรอบๆ ก็จะค่อยๆแคบลงเรื่อยๆ สุดท้ายรูปทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากก็จะเข้าใกล้ทรงกระบอกมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นรูปทรงที่เขา้าเริ่มปรากฏขึ้นหลินเยว่จึงใช้ใบมีดค่อยๆ เหลาส่วนที่เกินทีละนิดๆ
เขาจึงพบว่าสำหรับงานของช่างไม้ หากเป็คนธรรมดาก็คงไม่สามารถทำได้หรอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจับมีดแกะสลักค่อยๆ เหลาเช่นนี้หากใช้แรงไม่สม่ำเสมอก็จะทำให้ท่อนไม้เกิดเป็หลุมตื้นหลุมลึกได้อย่างง่ายดาย
หลินเยว่มองท่อนไม้ที่ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ และมุมปากของเขาที่กำลังฝืนยิ้มอยู่ก็กว้างขึ้นเรื่อยๆหากเขายังเหลาต่อไปเพื่อ้าให้ได้ผิวเรียบสวยสมบูรณ์แบบ สุดท้ายท่อนไม้ท่อนนี้ก็อาจจะกลายเป็ไม้จิ้มฟันเลยก็ได้
เมื่อเหลาเสร็จแล้วหลินเยว่จึงเริ่มจัดการส่วนที่ยากที่สุดก็คือการคว้านเนื้อไม้ด้านในแต่แล้วเขาก็คิดวิธีบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว
เขานำปลายมีดจันทราหนาวเหน็บกดลงตรงผิวหน้าของท่อนไม้หลังจากนั้นจึงบิดตัวมีดเอียงลงแล้วหมุนเป็วงกลมโดยใช้คมมีดกรีดเนื้อไม้ออกมาเป็รูปทรงพีระมิดทำให้ท่อนไม้จึงมีรอยเว้าเกิดขึ้น
เมื่อทำวิธีนี้ต่อไปเรื่อยๆ จึงทำให้ส่วนที่เว้าเข้าไปมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆและในที่สุดก็มีความลึกเพียงพอตามความ้าอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่ามีอยู่บางส่วนที่ตัวท่อนไม้มีความหนาไม่สม่ำเสมอ
หลินเยว่จึงต้องจัดการปรับแต่งอยู่ชั่วครู่สุดท้ายจึงได้ชิ้นงานที่เป็รูปแก้วขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
สำเร็จแล้ว!
หลินเยว่มองงานศิลปะชิ้นแรกของตนเอง ในใจของเขาเกิดความภาคภูมิใจอยู่ลึกๆถึงแม้ว่าเขาก็รู้สึกว่าแก้วใบนี้เป็ผลงานที่แย่มากเพราะไม่สามารถบรรลุเงื่อนไขพื้นฐานข้อแรกของการ “แกะรูป” ด้วยซ้ำแต่ทว่านี่เป็ครั้งแรกที่เขาแกะสลัก ถึงจะทำได้เพียงเท่านี้ แต่เขาก็รู้สึกพอใจแล้ว
หากลงมือปฏิบัติบ่อยๆ เดี๋ยวก็จะเกิดความชำนาญเองต่อไปมันต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน
หลินเยว่เก็บเศษไม้บนพื้นให้เรียบร้อยแล้วก็เริ่มฝึกฝนประจำวันที่เขาต้องทำโดยไม่มีการงดเว้น... การผ่าธูป
สำหรับการฝึกฝนของหลินเยว่ในขั้นตอนนี้นั้นการผ่าธูปถือว่าเป็สิ่งที่จำเป็อย่างยิ่ง
สภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กย่อมเป็สภาวะที่ดีที่สุดในการแกะสลักแต่ทว่าตอนนี้เขาสามารถคงสภาวะนี้ไว้ได้สั้นจนเกินไป หากเขาสามารถคงสภาวะนี้ได้สัก1 ชั่วโมงการแกะสลักของหลินเยว่ย่อมสามารถพัฒนาได้ถึงระดับบรมครูอย่างแน่นอน
อีกทั้งดูเหมือนว่าสภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กจะมีส่วนช่วยในการแกะรูปเช่นกันหากสมาธิทั้งหมดถูกจดจ่ออยู่ที่วัตถุใดวัตถุหนึ่ง การมองเพียงแวบเดียวย่อมสามารถจดจำลักษณะเฉพาะได้ทั้งหมดแต่แค่แก้วใบเดียว หลินเยว่ยังต้องใช้เวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง แต่สภาวะจิตสงบนิ่งของเขากลับคงสภาพนี้ได้เพียง30 วินาที ซึ่งเวลาทั้งสองส่วนนี้ช่างแตกต่างกันมากมาย
เส้นทางที่หลินเยว่ต้องเดินยังอีกยาวไกลนัก!
เมื่อฝึกผ่าธูปเสร็จแล้วหลินเยว่จึงเข้านอนอย่างมีความสุข
วันถัดมา หลินเยว่ตื่นขึ้นมาแต่เช้าเมื่อผ่านการพักผ่อนมาตลอดหนึ่งคืน ความเหน็ดเหนื่อยจากเมื่อคืนก็หายไปเกือบทั้งหมดณ เวลานี้ หลินเยว่มีความสดใสกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก
เมื่อทานอาหารเช้ากับท่านเฮ่อฉางเหอแล้วท่านเฮ่อฉางเหอ หลินเยว่ อีกทั้งท่านเจี่ยเหวยเกิ่งและจางฮุยิลูกศิษย์ของเขาพวกเขาทั้งสี่คนจึงเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ที่หลินเยว่เข้าชมไม่ได้เมื่อวานนี้
การเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์เป็รายการที่ทางจิ่งเต๋อเจิ้นได้จัดไว้ให้แต่การมาครั้งนี้กลับเป็สิ่งที่ท่านเฮ่อฉางเหอเรียกร้องขึ้นด้วยตัวเองเป็เพราะพวกเขามาถึงค่อนข้างเร็ว ส่วนคนอื่นๆ ยังมาไม่ถึงที่นี่ แผนเดิมที่ทางจิ่งเต๋อเจิ้นจัดไว้ก็คือการจัดให้ทุกคนมาที่นี่พร้อมๆกัน แต่ท่านเฮ่อฉางเหอ้าดูแลหลินเยว่เป็พิเศษและถือโอกาสนี้ให้หลินเยว่ได้เรียนรู้บางอย่างเพิ่มขึ้น จึงได้ขอมาก่อน
ส่วนท่านเจี่ยเหวยเกิ่งก็ไม่ได้มาจิ่งเต๋อเจิ้นนานแล้วดังนั้นเขาจึงตามมาด้วย และที่ไหนมีท่านเจี่ยเหวยเกิ่ง ที่นั่นย่อมมีจางฮุยิ
เมื่อมาถึงพิพิธภัณฑ์ก็มีคนมารอต้อนรับพวกเขาแล้วแต่ท่านเฮ่อฉางเหอกลับไม่้าพนักงานที่จะพาพวกเขาเข้าชมพิพิธภัณฑ์แต่เป็ตนเองที่พาพวกหลินเยว่เข้าชมเอง
ภายในพิพิธภัณฑ์จิ่งเต๋อเจิ้นนอกจากจะมีเครื่องเคลือบที่ประณีตสวยงามแล้ว ยังมีเครื่องมือและอุปกรณ์ของช่างผลิตเครื่องเคลือบในสมัยโบราณอีกทั้งภาพวาดขั้นตอนการเผาเครื่องเคลือบ และตำนานที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
ถึงแม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องเคลือบจะไม่ค่อยมีความหลากหลายแต่ทว่าหลินเยว่กลับััได้ถึงวัฒนธรรมที่แฝงอยู่อย่างลึกซึ้ง
เครื่องเคลือบมีต้นกำเนิดมาจากเครื่องปั้นดินเผาและเป็เพราะมีหินพอร์ซเลนจึงสามารถทำเครื่องปั้นดินเผาออกมาได้ ั้แ่สังคมดั้งเดิมในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ก็มีเครื่องปั้นดินเผานี้ปรากฏขึ้นแล้วและหลังจากนั้นก็มีการพัฒนาต่อเนื่องกันมา โดยประวัติศาสตร์ของเครื่องเคลือบก็มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์ชาติจีนอย่างแน่นแฟ้น
เมื่อเทียบกับความเก่าแก่ของเครื่องเคลือบหลินเยว่ก็รู้สึกว่าอายุ 25 ปีของตัวเองมันช่างอ่อนด้อยจนไม่น่ากล่าวถึง
...มันช่างกระจ้อยร่อยราวกับแมลงเม่าในแผ่นดินกว้างหรือกระจิริดราวกับข้าวฟ่างในมหาสมุทร พวกเราได้แต่คร่ำครวญกับชีวิตของเราที่ได้เกิดมาเพียงระยะเวลาสั้นๆและได้แต่อิจฉาสายน้ำแห่งแม่น้ำแยงซีที่ไหลรินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด...
มิน่า... คนโบราณถึงได้เขียนรำพึงรำพันไว้เช่นนี้เมื่ออยู่เบื้องหน้าความยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์เช่นนี้มนุษย์ก็กลายเป็เพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ เท่านั้น
หลินเยว่ได้แต่ลอบถอนหายใจ เขาสังเกตเครื่องเคลือบอันสวยงามแต่ละชิ้นในขณะเดียวกัน ในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกนับถือบุคคลทั้งหลายที่ได้อุทิศตนเพื่อสร้างสรรค์ผลงานเครื่องเคลือบเหล่านี้เป็อย่างยิ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้