เมิ่งอู่ลุกขึ้นกล่าวกับอินเหิงว่า “อาเหิง เื่นี้อาจมีบางอย่างผิดปกติ ข้าจะไปดูหน่อย”
อาการาเ็เล็กน้อยของนางเหอก่อนหน้านี้ต้องพักฟื้นพักหนึ่ง แต่ระหว่างพักฟื้นไม่จำเป็ต้องใช้ยามากนัก เหตุใดนางเย่กับเมิ่งเจียนเจียจึงไปเอายาจากหมอหยางคนนั้นติดๆ กันเล่า?
ประจวบเหมาะกับวันนี้พวกเขาเชิญซวี่เฉินฟางไปที่เรือน เกรงว่ายาขนานนั้นอาจเป็ยาที่เตรียมไว้ให้ซวี่เฉินฟางก็เป็ได้
เมื่อครู่เมิ่งอู่ใคร่ครวญ หากแค่กินอาหารด้วยกันมื้อเดียว ในหมู่บ้านนี้ก็ไม่มีอาหารชั้นเลิศจากูเาทะเลหรืออาหารจานใหญ่จากเนื้อและปลา แล้วจะกินได้นานเพียงใด?
ซวี่เฉินฟางน่าจะกลับมานานแล้ว แต่ยามนี้ยังไม่เห็นวี่แวว
เดิมเมิ่งอู่คิดว่าพวกเขาเชิญซวี่เฉินฟางไปที่เรือน เพราะแค่อยากจะสืบสถานะของเขา ครอบครัวของเมิ่งต้ามีบุตรสาวสองคนคือเมิ่งเจียนเจียกับเมิ่งซวี่ซวี การที่พวกเขาคิดจะรับซวี่เฉินฟางไว้เป็บุตรเขยย่อมเป็เื่ปกติ
เมิ่งอู่ครุ่นคิด อย่างไรเสียซวี่เฉินฟางก็เป็บุรุษ ย่อมไม่มีทางเสียเปรียบ
แต่ยามนี้ดูคล้ายจะไม่แน่นอนเสียแล้ว พวกเขาคิดจะวางยาซวี่เฉินฟางหรือ?
สีหน้าของเมิ่งอู่เริ่มเ็า แต่ยังกล่าวกับอินเหิงด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบและอ่อนโยน “อาเหิง เ้าอยากกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนหรือไม่?”
แม้อินเหิงจะคิดว่าคนในครอบครัวเมิ่งต้าทำอันใดซวี่เฉินฟางไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามนาง เพียงกล่าวว่า “ข้ายังไม่ง่วง ข้าจะรอเ้ากลับมา ระวังตัวด้วย”
ทันใดนั้นเสียงของนางเซี่ยก็ดังมาจากในห้อง “อาอู่ เมื่อครู่ผู้ใดพูด หรือญาติผู้พี่ของเ้ากลับมาแล้ว?”
เมิ่งอู่กล่าว “ญาติผู้พี่กินอาหารที่เรือนของท่านลุงใหญ่จนอิ่มมากเกินไป จึงบอกให้ข้าไปรับเ้าค่ะ ท่านแม่นอนก่อนเถิด ข้าไปไม่นานก็กลับ”
เมิ่งอู่รีบร้อนออกจากเรือนโดยไม่รอคำตอบของนางเซี่ย นางปิดประตูลานเรือนให้เรียบร้อย ก่อนหายไปในความมืดเร็วรี่
แสงไฟที่เคยสว่างไสวทั่วบริเวณเรือนของครอบครัวเมิ่งต้าดับลงแล้ว เหลือเพียงห้องหนึ่งที่ยังคงมีแสงสลัวๆ
ในลานเรือนโต๊ะอาหารเย็นที่เลี้ยงต้อนรับซวี่เฉินฟางถูกเก็บไปนานแล้ว ไม่มีผู้ใดแม้แต่คนเดียว
เวลานี้ซวี่เฉินฟางกับเมิ่งซวี่ซวีถูกขังอยู่ในห้องเดียวกัน เพียงแต่เมิ่งซวี่ซวีนอนหมดสติอยู่บนพื้น
ต่อให้ดื่มสุราเก่าอีกสองจอก นางก็ไม่สมควรจะมึนเมาจนนิ่งเงียบเช่นนี้
ปกติห้องนี้เป็ห้องที่เมิ่งเจียนเจียกับเมิ่งซวี่ซวีอยู่ร่วมกัน ก่อนหน้านี้พวกเขาได้จัดเตรียมสถานที่เอาไว้อย่างพิถีพิถัน ห้องของเด็กสาวย่อมต้องมีกลิ่นหอมนิดหน่อยถึงจะดี ดังนั้นจึงนำบุปผาที่ไม่รู้ว่าเก็บมาจากที่ใดมาวางไว้ในห้อง คละเคล้ากับกลิ่นแป้งที่หอมเลี่ยน จนกลิ่นหอมฉุนหลากหลายตลบอบอวลไปทั่ว
ซวี่เฉินฟางนอนหลับตาอยู่บนเตียง
เสื้อผ้าและเรือนผมของเขากระจายอยู่บนเตียง คิ้วตาดุจภาพวาด เงียบสงบ อ่อนโยนและงดงามดั่งดอกไห่ถังที่แบ่งบานยามรัตติกาล
ประตูห้องถูกผลักเปิดออกส่งเสียงเบาๆ ในจังหวะที่เหมาะสม
ซวี่เฉินฟางค่อยๆ ลืมตา แสงในดวงตาคู่นั้นชวนให้คนมึนเมา แสงในตาล่องลอยระคนพร่าเลือน ทำให้ผู้คนยากจะแยกแยะว่าเขามีสติหรืออยู่ในภวังค์กันแน่
เขามองสองแก้มของเมิ่งเจียนเจียที่แดงก่ำขณะนางก้าวโงนเงนเข้ามา นางหยุดอยู่ข้างเตียง ก่อนยื่นมือขึ้นกุมหน้าผากตนเอง แลดูอ่อนแอดั่งว่าจะล้มลงได้ทุกเมื่อหากััเพียงเล็กน้อย นางโซเซนิดๆ
เมิ่งต้า นางเย่และนางเหอขังเมิ่งซวี่ซวีกับซวี่เฉินฟางไว้ในห้องเดียวกัน โดยเมิ่งเจียนเจียอาสาจะเฝ้ายามคืนนี้ พวกเขาจึงกลับไปนอนในห้องอย่างสบายใจ
เพียงแค่ตื่นขึ้นมาดูผลลัพธ์ในยามเช้าก็พอ
ดูเหมือนพวกเขาคาดไม่ถึงว่า เวลานี้เมิ่งซวี่ซวีจะหลับเป็ตายดุจสุกร ส่วนเมิ่งเจียนเจียก็เดินโซเซเข้าห้องราวกับคนขี้เมา
เมิ่งเจียนเจียทำทีว่าอ่อนแอ นางยกมือยันขอบเตียงเพื่อพยุงตัวพลางมองซวี่เฉินฟางด้วยสายตาพร่ามัว ก่อนเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “คุณชายเฉินฟาง... ไฉนถึงมาอยู่ที่นี่เล่า... ”
ซวี่เฉินฟางย้อนถาม “เ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
เมิ่งเจียนเจียขมวดคิ้วเล็กน้อย กัดริมฝีปากนิดๆ พึมพำว่า “คุณชายเฉิน… ข้า… ข้ารู้สึกเวียนหัว... ” กล่าวจบ นางก็ทำท่าจะล้มลงในอ้อมกอดของซวี่เฉินฟาง
เขาลอบมองการกระทำของเมิ่งเจียนเจียลับๆ ไม่ตระหนกใ ไม่รำคาญ และไม่มีรอยยิ้มเ้าชู้เหมือนยามปกติที่หยอกล้อเด็กสาวในหมู่บ้าน สายตาของเขามองทะลุไปถึงก้นบึ้งหัวใจของผู้คน คล้ายมองเห็นด้านมืดที่น่าเกลียดที่สุดที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจของคนได้
เขาคุ้นเคยกับการรับมือกับคนที่มีจิตใจโสมมพวกนี้มาโดยตลอด และไม่เคยเปิดโปงใคร แต่ผู้ที่ถูกเขามองทะลุจะรู้สึกเย็นะเืไปทั่วสรรพางค์กายอย่างอธิบายไม่ถูก
หัวใจของเมิ่งเจียนเจียเต้นกระหน่ำราวกับตีกลอง ไม่รู้ว่าเป็เพราะอารมณ์คลั่งไคล้หรือความคิดที่สับสนว้าวุ่นที่เกิดขึ้นกะทันหัน
เมิ่งเจียนเจียพึมพำเบาๆ “คุณชายเฉิน… เจียนเจียรู้สึกเวียนหัวจริงๆ เ้าค่ะ... ”
ซวี่เฉินฟางกล่าว “คุณหนูเจียนเจีย ก่อนจะทำอันใดต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน”
ซวี่เฉินฟางค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น ชั่วขณะนั้นพิลาสล้ำไร้ขอบเขตจริงๆ
เมิ่งเจียนเจียยังไม่ทันรู้สึกตัว เหมือนได้ยินเสียงประตูดังปัง เสียงนั้นยังคงก้องอยู่ในหัวของนาง พริบตาต่อมาก็มีเงาร่างสีดำปรากฏขึ้นด้านหลังนาง
หัวใจของนางพลันเต้นตึกตัก ยังไม่ทันหันกลับไปมอง นิ้วของนางเพิ่งจะััชายเสื้อของซวี่เฉินฟาง ก็ถูกมือข้างหนึ่งเหยียดออกมาในแนวทแยง แล้วยับยั้งด้วยการบีบมือนางแน่น
สีหน้าของเมิ่งอู่เรียกได้ว่าเ็า ถ้อยคำแ่เบาที่เข้าหูของเมิ่งเจียนเจีย พาให้นางขนลุกซู่ “หากเขาไม่เต็มใจ เ้าก็อย่าแตะต้องเขาจะดีกว่า อย่างไรเสียข้าเป็ผู้ที่พาเขากลับมา หากเขาพลาดท่าเสียทีที่นี่ ข้าไม่เสียหน้าแย่หรือ?”
เพียงแค่ได้ยินเสียงนี้ เมิ่งเจียนเจียก็รู้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ด้านหลังเป็ผู้ใด สีหน้าของนางซีดเผือด
นางไม่มีแม้แต่ความกล้าและมิกล้าหันกลับไปมองใบหน้าของเมิ่งอู่ ความทุกข์ทรมานที่ได้รับครั้งก่อนภายใต้เงื้อมมือของเมิ่งอู่ยังคงชัดเจนอยู่ในใจจนถึงทุกวันนี้
ั์ตาของเมิ่งเจียนเจียสั่นไหว หยาดน้ำตากลิ้งลงมาเป็สาย ดูแล้วน่าสงสารเหลือหลาย
เมิ่งอู่เอ่ยถามซวี่เฉินฟางอย่างตรงไปตรงมา “หากเ้าเต็มใจ พวกเ้าก็ทำต่อไปเถิด ข้าจะไปแล้ว”
ดวงตาของซวี่เฉินฟางเจือยิ้ม ดูคล้ายไฝน้ำตาที่เดียวดายใต้หางตาเจิดจ้าท่ามกลางแสงเทียน เขามองเมิ่งอู่พลางกล่าวว่า “ข้ายังไม่พร้อม ยามนี้ข้าไม่เต็มใจ ไว้คราวหน้าเถิด”
สิ้นเสียง เมิ่งอู่ก็ยื่นมือไปยกตัวเมิ่งเจียนเจียขึ้นมา แล้วเหวี่ยงใส่ผนังห้องอย่างแรงราวกับเป็เพียงผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง
เมิ่งเจียนเจียกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง ก่อนร่วงลงพื้น อวัยวะภายในทั้งหมดสั่นะเื เจ็บจุกจนลุกไม่ขึ้น
ภายใต้เรือนผมที่ยุ่งเหยิง อ้างว้างหดหู่และอ่อนแอ น้ำตาหลั่งรินดั่งหยาดพิรุณโปรยปราย
เมิ่งอู่ก้มลงดึงซวี่เฉินฟางขึ้นมา พาดแขนของเขาไว้บนไหล่ของนาง ก่อนลากเขาลงจากเตียง