วันที่สองอ๋าวหรานก็ไปที่สวนสมุนไพรนั่นั้แ่เช้า วันนี้จิ่งฝานมีธุระ ดังนั้นวันนี้เขาจึงมีเวลาอยู่ที่นี่ทั้งวัน
เช้าตรู่ฟ้ายังไม่สว่าง ถึงแม้จะไม่มีลม แต่มักจะรู้สึกว่ามีความเย็นที่แผ่เข้าสู่ร่างกายและจิตใจ เรียกได้ว่าเย็นสบายอยู่ไม่น้อย เมื่อวานหลังจากกลับไปแล้ว เขากลับมาที่ที่พักเก่าของเขาตอนกลางดึก เลือกกิ่งไผ่ที่เหมาะสมสองสามกิ่ง ใช้เวลาทั้งคืนเหลาเป็พู่กันไผ่สองสามด้าม พู่กันไผ่ชนิดนี้ส่วนหัวปากเหลาให้มีรูปลักษณ์แหลมเหมือนปากกาหมึกซึม ส่วนหัวแหลมนอกจากจะมีความยืดหยุ่นดีแล้ว ยังสามารถกักเก็บและดูดน้ำได้ ความหนาบางของปลายพู่กันเองก็สามารถเหลาได้เรื่อยๆ เล็กอย่างไรก็ได้ให้เหมือนกับปากกายุคปัจจุบันตามความ้าของตนเอง
อ๋าวหรานนอกจากจะได้รับสืบทอดวรยุทธ์จากเ้าของร่างเดิมมาแล้ว อย่างอื่นเขายังไม่เข้าใจอะไรเลย เขาอยากจะจดบันทึกสักหน่อย ผลปรากฏว่าลายมือที่เขียนด้วยพู่กันนั้นเขาไม่อาจทนดูได้ เหตุผลนี้ก็ยังพอว่า แต่เขากลับเขียนได้ช้ามาก อีกทั้งยังควบคุมความเล็กใหญ่ของตัวอักษรไม่ได้อีก กระดาษแผ่นหนึ่งเขียนได้แค่ไม่กี่ตัวก็ไม่เหลือที่ว่างแล้ว
สุดท้ายจึงทำได้เพียงเหลาพู่กันปากกาไผ่ที่แข็งแรงขึ้นมาเพื่อเขียนหนังสือ เมื่อคืนเร่งรีบจัดเตรียมพู่กันปากกา น้ำหมึก กระดาษ และที่ฝนหมึก ซึ่งตอนนี้อ๋าวหรานถืออยู่เต็มไม้เต็มมือ น่าเสียดายไม่มีย่าม วันนี้อ๋าวหรานวานสาวใช้คนหนึ่งในเรือนของจิ่งฝานั้แ่เช้าว่าให้ช่วยทำย่ามสะพายให้เขาสักหนึ่งใบ ต่อไปจะได้ใส่ของพวกนี้ได้สะดวก
เด็กรับใช้คนนั้นน่าเอ็นดูเป็อย่างมาก หลังจากตอบรับคำขอร้องของเขาแล้วก็รับปากว่านางสามารถทำเสร็จได้ภายในคืนนี้ อ๋าวหรานรู้สึกผิดในใจเป็อย่างมากที่ต้องใช้งานสาวน้อยตัวเล็กๆ
เปิดประตูสวนสมุนไพร อ๋าวหรานคิดว่าตัวเองมาถึงเช้าที่สุด ตอนนี้น่าจะยังไม่มีใครมา กลับพบว่าจิ่งจื่ออยู่ในสวนสมุนไพรอยู่ก่อนแล้ว
จิ่งจื่อถูกเสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูดึงดูดให้เงยหน้าขึ้น ทั้งสองคนตาประสานตาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในดวงตาทั้งสองล้วนมีความประหลาดใจปรากฏอยู่
จิ่งจื่อย่นหัวคิ้ว “เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
อ๋าวหรานไม่ได้รีบร้อนตอบเขา เดินอย่างช้าๆ ก้าวเข้าไป
จิ่งจื่อโกรธ “ข้าถามเ้าอยู่นะ”
อ๋าวหรานยิ้มตอบ “แน่นอนว่าก็เหมือนกับเ้าไง ไม่เช่นนั้นเช้าตรู่ขนาดนี้มาที่นี่ มาเพื่อกินหญ้าหรืออย่างไร”
จิ่งจื่อ “……” เ้านั่นแหละที่กินหญ้า!
จิ่งจื่อทำเสียงฮึพูดว่า “เ้าก็คงทำได้แค่กินหญ้าสินะ”
อ๋าวหราน “กินเ้าหรือ?”
จิ่งจื่อ “ !!! ”
จิ่งจื่อพูดด้วยความโกรธ “เ้านั่นแหละที่เป็หญ้า”
จิ่งจื่อ “เ้าคิดว่าการพยายามและความขยันจะช่วยชดเชยความโง่ของเ้าได้หรือ? กระเป๋าหญ้า! [1] ”
อ๋าวหรานคิดว่าตัวเองอายุปูนนี้แล้ว ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับหนุ่มน้อยที่การกระทำเหมือนป่วยด้วยโรคมอสองเช่นนี้ เขาส่งยิ้มราวสายลมฤดูใบไม้ผลิไปให้จิ่งจื่อ แล้วหันกายจากไปทันที สิ่งที่เขาต้องจำในวันนี้ยังมีอีกเยอะมาก เวลามีค่าจะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้
จิ่งจื่อมองอ๋าวหรานที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มจอมปลอม รู้สึกว่าความโกรธติดอยู่ที่หลอดลม จะเอาลงไปก็ไม่ได้เอาออกมาก็ไม่ได้
อย่างไรเสียก็ยังเป็เพียงหนุ่มน้อย ต่อให้จะเฉลียวฉลาดสักแค่ไหนก็ยังคงมีความเืร้อนของวัยรุ่นอยู่บ้าง อีกทั้งเขายังเป็อัจฉริยะที่ทั้งตระกูลยกย่อง เมื่อยืนโกรธอยู่ตรงนั้นคนเดียวครู่หนึ่งก็สามารถดึงสติกลับมาได้ สงบอารมณ์สงบจิตใจได้แล้วก็ส่งเสียงหึไปทางอ๋าวหรานทีหนึ่ง หันกายเข้าไปในโรงยา
ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากอยู่ร่วมกับอ๋าวหรานในสถานที่เดียวกันหรอก แต่เพราะเขาไม่มีความจำเป็ต้องอยู่ด้านนอกนี่แล้วจริงๆ
สมุนไพรด้านนอกที่ปลูกไว้ล้วนเป็สมุนไรระดับล่าง ก็มีเพียงแค่เด็กๆ ในตระกูลกับอ๋าวหรานอัจฉริยะที่เพิ่งเริ่มเรียนเท่านั้นที่จะอยู่ที่นี่
ทั้งสองคนมาั้แ่เช้า ตอนนี้ลูกหลานคนอื่นในตระกูลจิ่งล้วนยังมาไม่ถึง ทั้งโล่งและสงบเป็อย่างมาก อ๋าวหรานนั่งเปรียบเทียบกับ “ตำรายา” ทำตามขั้นตอนเดิม แต่วันนี้เขานำหนังสือตำรับยาอย่างง่ายมาด้วยเล่มหนึ่ง เป็สิ่งที่เมื่อวานหลังจากกลับไปแล้วเขาขอมาจากจิ่งฝาน ค่อนข้างพื้นฐานเหมาะสมกับระดับความรู้ของเขาเป็อย่างมาก
ทั้งเรียนและใช้ในเวลาเดียวกัน วิธีการเช่นนี้ง่ายต่อการจำและการเข้าใจ
อ๋าวหรานเรียนไปด้วยจำไปด้วย เมื่อวานตอนที่เหลาพู่กันปากกาไผ่ เขาก็ยังทำสมุดบันทึกขึ้นมาเล่มหนึ่งด้วย ชนิดของกระดาษที่ใช้ค่อนข้างหนา ไม่ใช่พลิกหน้าขึ้นในแนวนอนแบบโบราณ แต่เป็แบบพลิกหน้าข้างในแนวตั้ง ใต้กระดาษเขายังติดแผ่นไม้บางๆ เอาไว้เพื่อเป็ที่รอง ด้วยฝีมือกระบี่ของเขาในตอนนี้ การเหลาแผ่นไม้สวยๆ สักแผ่นก็ถือเป็เื่ง่ายดาย
อ๋าวหรานอดทอดถอนใจไม่ได้ว่า มีวรยุทธ์นี่มันดีเสียจริง