"ได้… พัก… เสียที"
เสียงพูดแ่เบาออกจากปากของหญิงวัยกลางคนซึ่งนอนหายใจรวยรินในตรอกมืดและเฉอะแฉะแห่งหนึ่งของเมืองหลวง เมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีคนพลุกพล่านที่สุดในประเทศไทย แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นร่างกายที่อาบนองไปด้วยเืและพร้อมจะปลิดลมหายใจออกไปจากร่างได้ตลอดเวลา
อนงค์กานต์ทำงานที่สถาบันการเงินและการลงทุนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในเมืองหลวง เป็พนักงานบริการทั่วไป ที่คอยดูแลและจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อมสำหรับเ้าหน้าที่ในสำนักงานและลูกค้าที่จะเข้ามารับบริการ และวันนี้ก็เช่นกันกว่าจะจัดการเอกสารเรียบร้อยก็ล่วงไปกว่าสี่ทุ่มแล้ว ใน่เวลานี้รถประจำทางเว้นระยะการเดินรถ ส่วนแท็กซี่จะนาน ๆ ผ่านมาสักคัน เนื่องจากไม่ใช่เส้นหลักของสถานบันเทิงยามค่ำคืน เธอจึงตัดสินใจเดินข้ามถนนเข้าไปยังตรอกเล็ก ๆ ตรงข้ามบริษัทเพื่อเดินทะลุไปยังถนนอีกเส้นซึ่งคึกคักและมีรถประจำทางวิ่งขวักไขว่เพื่อขึ้นรถกลับหอพัก แต่นึกไม่ถึงว่าเธอจะไม่มีโอกาสเดินไปถึงจุดหมาย
กว่าจะรู้ตัวว่ามีอะไรเกิดขึ้น เธอก็ล้มลงกับพื้นพร้อมความรู้สึกเ็ปยากจะทานทนที่ลำคอ เธอยกมือขึ้นััลำคอก็รู้สึกถึงน้ำอุ่น ๆ ที่เหนียวเหนอะหนะไหลทะลักออกมาพร้อมกลิ่นคาวคละคลุ้ง ระหว่างเดินอยู่กลางตรอกเธอถูกชายผอมสูงคนหนึ่งรัดคอจากด้านหลัง พร้อมใช้มีดปาดคอและแย่งกระเป๋าสะพายของเธอก่อนวิ่งหลบหนีไป
เธอนอนอยู่บนพื้นพร้อมลมหายใจที่ขาดเป็่ อนาถใจนัก ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าชีวิตที่กำลังจะจากโลกนี้ไปของเธอ จะจากไปเพราะชายคนหนึ่งที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เห็นหน้าและเงินในกระเป๋าสะพายที่มีแค่ 300 บาท
อนงค์กานต์อยู่ตัวคนเดียวมาเกือบทั้งชีวิต เธอเป็เด็กกำพร้า พ่อแม่เสียไปั้แ่เธออายุสิบสามปี เธอเป็ลูกคนเดียว หลังพ่อแม่จากไป เธอได้มาอยู่ในความดูแลครอบครัวปู่ซึ่งไม่ค่อยชอบเธอนัก
เพื่อแลกกับที่พัก อาหารและลายเซ็นต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการเรียน เธอต้องทำงานทุกอย่างในบ้าน ทั้งซักผ้า ทำความสะอาด ทำอาหาร หรือแม้แต่นั่งทำการบ้านให้กับหลานสาวของปู่เพื่อที่จะได้มีไปส่งครูในวันรุ่งขึ้น
นอกจากห้องพักเล็ก ๆ อาหารสามมื้อ และลายเซ็นการเป็ผู้ปกครองแล้ว ค่าใช้จ่ายด้านการเรียนต่าง ๆ อนงค์กานต์ต้องจัดการเองทั้งหมดด้วยเงินก้อนสุดท้ายที่ได้จากการเสียชีวิตของพ่อและแม่ ซึ่งดีหน่อยที่พวกเขายังมีมโนธรรมในใจ ไม่พยายามแย่งเงินก้อนเล็ก ๆ ที่เหลืออยู่ของเธอไป
เพื่อป้องกันไม่ให้เงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่หมดก่อนที่จะเรียนจบและบรรลุนิติภาวะ อนงค์กานต์จึงหางานพิเศษทำในทุกทาง ทั้งล้างจาน เข็นผักในตลาด ทำความสะอาดบ้าน หรือแม้แต่ตัดหญ้าตามบ้าน แม้แต่ละครั้งจะได้ค่าตอบแทนไม่มากนัก แต่เธอก็ไม่รังเกียจที่จะทำ เพื่อเก็บเงินให้ได้มากที่สุดสำหรับค่าเล่าเรียนและค่าที่พักซึ่งเธอเตรียมแยกออกไปอยู่เพียงลำพังหลังจากอายุครบสิบแปดปี
หลังจบชั้น ม.6 จากโรงเรียนเทศบาลเล็ก ๆ ในตัวเมือง เธอก็เข้าเรียนต่อในสถาบันราชภัฏประจำจังหวัดทันที เหตุผลเพราะค่าใช้จ่ายไม่แพงและสามารถเรียนจนจบวุฒิปริญญาตรีได้ และที่สำคัญคือผลการเรียนของเธอไม่ดีนัก การรับทุนเรียนดีหรือเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐจึงเป็ไปไม่ได้สำหรับเธอ การเรียนต่อที่นี่จึงเป็ทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วในขณะนั้น
สำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตหลังจากเข้าเรียนระดับปริญญาตรีมีสองอย่าง อย่างแรกคือเธอได้ย้ายออกมาใช้ชีวิตเพียงลำพังอย่างเต็มตัว ไม่ได้หันกลับไปพึ่งพิงหรือติดต่อกับปู่และครอบครัวอีกเลยนับแต่บัดนั้นถึงปัจจุบัน
และการเปลี่ยนแปลงอย่างที่สอง นั่นคือ เธอมีคนรัก อนงค์กานต์พบกับทิวา คนรักของเธอตอนทำงานพิเศษเป็พนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร ซึ่งทิวาไปเล่นดนตรีที่นั่นทุกคืน อาจเพราะความเงียบเหงาที่เผชิญมาเกือบตลอดชีวิต เธอจึงประทับใจในบุคลิกที่คุยสนุกและขี้เล่นของผู้ชายคนนี้อย่างง่ายดาย และในที่สุดก็หลงรักอย่างหัวปักหัวปำ เธอเป็ฝ่ายเดินไปสารภาพรักกับเขาเอง และยอมใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยไม่สนใจคำนินทาและสายตาของคนรอบข้างที่มองมา
และในที่สุดเมื่อเงินเก็บของอนงค์กานต์ร่อยหรอ ผู้ชายคนนี้ก็เริ่มเผยธาตุแท้ออกมา ดุด่าทุบตีเมื่อไม่ได้ดั่งใจ สุดท้ายก็ตีจากไปกับผู้หญิงอีกคนที่มีฐานะทางการเงินเพียบพร้อมกว่าเธอ
ชีวิตคนอื่นจะแย่กว่าเธอหรือไม่ เธอไม่รู้ แต่สิ่งที่เธอรู้อย่างชัดแจ้ง คือ ชีวิตเธอ ณ เวลานั้นคำว่า บัดซบ คงจะน้อยเกินไป อนงค์กานต์รู้สึกซวนเซไปหมดทุกทาง ไม่เหลือเงินเก็บ การเรียนก็แย่ลง รวมถึงเสียงเยาะเย้ยนินทาของคนรอบข้าง เพื่อนที่เคยสนิทก็ค่อย ๆ ตีจาก
และถ้าไม่ได้คนอย่างครูกานดา ครูที่ปรึกษาของเธอคอยพยุงไว้ เธอคงไม่มีชีวิตล่วงเลยมาจนอายุสี่สิบเจ็ดปี ครูกานดาคอยช่วยเื่การกินอยู่ และหางานพิเศษให้เธอตลอด่เวลาที่เธอเรียนอยู่ที่นั่น แม้แต่ค่าเทอมถ้าเธอรวบรวมไม่ทัน ครูกานดาจะช่วยเพิ่มเติมส่วนที่เหลือให้ทันที ทั้ง ๆ ที่ฐานะของครูก็ไม่ได้ดีมากมายนัก แม้กระทั่งงานที่เธอทำอยู่ในปัจจุบัน ก็เป็ครูกานดาที่แหละที่ช่วยฝากฝังกับลูกศิษย์ให้ แม้ตำแหน่งงานจะไม่ได้ดีมากมาย แต่ก็ช่วยให้เธอดำรงชีวิตนับจากนั้นอย่างไม่ลำบากนัก ครูกานดานับว่าเป็ความอบอุ่นเดียวที่เธอเจอนับั้แ่พ่อแม่จากไป
"ครูคะ… นิด… ขอลาครูตรงนี้นะคะ" อนงค์กานต์พูดด้วยเสียงที่สั่นพร่า ร่างกายเริ่มสิ้นเรี่ยวแรง มือเท้าเย็นะเื ร่างกายเริ่มกระตุกสั่น อาการใกล้ตายเป็แบบนี้นี่เอง "พ่อ.. แม่.. นิดกำลัง.. จะไปหาแล้วนะ… รอนิดนะคะ" เธอพูดพร้อมสะอื้นเฮือก ร่างกายกระตุกเกร็ง ความอึดอัดและเ็ปยากจะทานทนได้ทะลวงเข้ามาในอกและกดทับเธอไว้จนไม่สามารถขยับตัวและฝืนหายใจได้อีก และแล้วสติของเธอก็ดับวูบไปพร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้าย