หลังกินอาหารเย็นเสร็จ เมิ่งอู่ก็อาสาล้างชาม ก่อนตักน้ำให้นางเซี่ยอาบ นางพยายามไม่พูดคุยกับอินเหิงแม้แต่คำเดียว นางเซี่ยจึงไม่ติดใจเอาความอีก
แม่ไก่ป่าชอบเล้าใหม่ของมันมาก หลังเข้าไปอยู่ในเล้าเวลากลางคืนแล้ว มันก็ไม่ยอมออกมาอีก
ยามค่ำหลังฝนตกใหม่ๆ มักเงียบสงบเป็พิเศษ
เมิ่งอู่ยังไม่รีบเข้านอน ก่อนหน้านี้มีเื่ราววุ่นวายมากมาย ทำให้นางรู้สึกว่าตนลืมเื่สำคัญบางอย่างไป ยามนี้ค่อยนึกขึ้นได้ จึงเอ่ยถามซวี่เฉินฟางอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเกือบลืมไปแล้ว เื่ที่เ้าให้พวกอันธพาลในหมู่บ้านช่วยเก็บเกี่ยวข้าวฟ่างเป็อย่างไรบ้าง? เ้ารับซื้อข้าวฟ่างทั้งหมดจากสิบหลี่แปดหมู่บ้านเลยหรือ?”
ซวี่เฉินฟางกำลังนอนเล่นอย่างเกียจคร้านอยู่ใต้ชายคาเพื่อรอให้อาหารย่อย เมื่อได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ “เชื่อถือคำพูดของอันธพาลเ่าั้ไม่ได้”
อินเหิงกล่าวเสียงราบเรียบ “เมื่อฝนผ่านไปท้องฟ้าแจ่มใส และทุกครอบครัวเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวฟ่าง จะปิดบังเื่นี้ไปได้อีกนานเพียงใด”
ซวี่เฉินฟางยิ้ม หรี่ตาก่อนเอ่ย “อาอู่ ข้าวฟ่างของบ้านเ้าจะขายหรือไม่ ข้าให้ราคาดีกว่าบ้านอื่นแน่นอน”
เมิ่งอู่กล่าว “ขอถามหน่อยว่าข้าจะเอาหัวเ้ากดลงพื้น แล้วให้เ้ากินดินโคลนได้หรือไม่?”
ซวี่เฉินฟางหัวเราะเบาๆ “ไม่ขายก็ไม่ขาย ไม่เห็นจะต้องดุร้ายขนาดนั้น”
เมิ่งอู่ถาม “เ้ามิใช่ถูกไล่ออกจากตระกูลซวี่แล้วหรือ? เอาเงินมาจากที่ใดมากมายเช่นนี้?”
“ข้าบอกเ้าแล้วว่านั่นเป็เงินเก็บของข้า”
เมิ่งอู่เหลือบมองซวี่เฉินฟาง คุณชายที่ชอบเที่ยวเตร่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายผู้นี้ ดูคล้ายเป็คนเก็บเงินอยู่หรือ? ต่อให้เขามีเงินเก็บ แต่หากคิดจะซื้อข้าวฟ่างทั้งหมดในสิบหลี่แปดหมู่บ้าน ก็ไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อยเลย
เมิ่งอู่กล่าว “เ้าซื้อข้าวฟ่างไปหมดแล้ว หากคนตระกูลซวี่ล่วงรู้ พวกเขาอาจจงใจกลั่นแกล้งเ้า โดยไม่ยอมให้เ้าขายออก ข้าวฟ่างเหล่านี้ก็จะขึ้นราและเน่าเสียไม่ใช่หรือ?”
ซวี่เฉินฟางหยักมุมปากยิ้ม ไม่ตอบคำถาม
อินเหิงอธิบายให้นางฟัง “ข้าวฟ่างไม่เพียงเป็อาหาร ยังนำไปหมักสุรา บดเป็แป้ง หรือใช้ในกิจการอย่างอื่นได้อีก ทั้งหอสุรา โรงเตี๊ยม ร้านขายแป้ง และอื่นๆ ล้วน้า ต่อให้ตระกูลซวี่ไม่เอา ก็มีผู้อื่น้า หากตระกูลซวี่ยังคิดจะแข่งกับผู้อื่นก็ต้องซื้อข้าวฟ่างในมือเขา การที่จะขายข้าวฟ่างได้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตระกูลซวี่จะตัดสินใจ แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของชาวบ้าน”
คาดว่าคนตระกูลซวี่คงไม่คาดคิดว่าจะมีคนฉวยโอกาสตัดหน้าพวกเขา และยังซื้อข้าวฟ่างไปทั้งหมดด้วย
การที่คนตระกูลซวี่ไม่รีบร้อน เพราะทุกปีผลผลิตข้าวฟ่างที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก ต่อให้มีคนมาซื้อไปก็ไม่มีผู้ใดซื้อทั้งหมดในคราวเดียว
เมิ่งอู่ไม่สนใจเื่การค้าของผู้อื่น นางสนใจเพียงการค้าของตนเอง
เมิ่งอู่ถาม “เช่นนั้นเ้ามียุ้งฉางไว้เก็บข้าวหรือไม่?”
ซวี่เฉินฟางกล่าว “กองไว้ที่เรือนของเ้าได้หรือไม่?”
คาดไม่ถึงว่าเมิ่งอู่จะพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “แน่นอนว่าได้ แต่มีเงื่อนไขหนึ่ง”
ซวี่เฉินฟางเอ่ย “ข้าจะพยายามทำตามเงื่อนไขของญาติผู้น้องอาอู่จนพอใจแน่นอน”
เมิ่งอู่กล่าว “รวงข้าวฟ่างให้เ้า ส่วนแกนข้าวฟ่างให้ข้า”
ซวี่เฉินฟางหรี่ตามองเมิ่งอู่ กล่าวว่า “แกนข้าวฟ่างส่วนใหญ่ถูกทิ้งไว้ในนาเพื่อตากแดดให้แห้งไว้ใช้เป็ฟืน จะมีประโยชน์ใด เรือนของเ้าขาดแคลนฟืนหรือ?”
เมิ่งอู่กล่าวอย่างไร้ช่องโหว่ “ยังไงก็เป็ของที่ไร้ประโยชน์สำหรับเ้า เ้าให้ข้าก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด ซวี่เฉินฟาง เ้าจะให้หรือไม่ หากไม่ให้ก็ไปหาที่เก็บข้าวที่อื่น”
ซวี่เฉินฟางตกลงกับนาง
เมิ่งอู่ยิ้มจนหุบปากไม่ลง สายตาที่มองซวี่เฉินฟางราวกับมองเทพเ้าแห่งโชคลาภที่มีชีวิต
เื่นี้กระตุ้นความสนใจของซวี่เฉินฟาง สองวันต่อมาเขาขบคิดอย่างหนักเกี่ยวกับถ้อยคำของเมิ่งอู่ด้วยความอยากรู้ว่านางจะเอาแกนข้าวฟ่างไปใช้ประโยชน์อันใด
เมิ่งอู่ระวังตัวอย่างดี คนผู้นี้เ้าเล่ห์นัก หากให้เขารู้ นี่มิเท่ากับตัดช่องทางทำมาหากินของตนหรือ
ซวี่เฉินฟางแย้มยิ้มดุจเพียงพอน กล่าวว่า “อาอู่ พวกเรามาแลกเปลี่ยนความลับกันดีหรือไม่? เ้าถามข้าหนึ่งข้อ ข้าถามเ้าหนึ่งข้อ ตอบทุกคำถาม”
เมิ่งอู่ชายตามองเขา “เ้าลองบอกมาซิว่าเ้ามีความลับใดที่ข้าอยากรู้?”
ซวี่เฉินฟางเคาะฝ่ามือด้วยพัด “อย่างเช่นข้ามีเงินเก็บเท่าไร?”
เมิ่งอู่กล่าว “ข้าไม่สนใจสักนิด”
เมิ่งอู่ยังคงจำเื่ที่จะต้องหาไก่ตัวผู้ให้แม่ไก่ได้ หลังท้องฟ้าแจ่มใส นางจึงไปยืมไก่ตัวผู้มาจากเรือนชาวบ้านที่เลี้ยงไก่
ไก่ตัวผู้ที่เมิ่งอู่ยืมมามีขนสีแดงสดเป็มันเงา หัวและอกตั้งตระหง่าน สมบูรณ์แข็งแรงมาก
นางคิดว่า แม้ไม่สวยงามเท่าไก่ป่า แต่ในบรรดาไก่บ้านทั้งหมด ก็น่าจะเป็ตัวที่ดูดีที่สุดแล้ว
หลังอุ้มไก่ตัวผู้กลับเรือน แม่ไก่ก็ไม่ค่อยสนใจไก่ตัวผู้ แต่ไก่ตัวผู้กลับเดินวนเวียนอยู่รอบๆ แม่ไก่
ต่อมาแม่ไก่น่าจะตระหนักถึงความเป็จริง และพอจะทนๆ ยอมรับไก่ตัวผู้ตัวนี้ได้ พวกมันจึงเข้าไปอยู่ในเล้าไก่ด้วยกันสองวัน
เื่อย่างเช่นไก่สองตัวเข้าเล้า หรือสุนัขสองตัวกัดกัน เป็เื่ที่เมื่อสาวชาวบ้านพบเห็นล้วนหน้าแดงด้วยความอาย พยายามหลบเลี่ยงหากทำได้ หรือถึงพวกนางอยากดู แต่ก็มิกล้าดูอย่างโจ่งแจ้ง ต่างจากเมิ่งอู่ที่ตรงไปตรงมากว่ามาก อยากดูก็นั่งยองดูข้างเล้าไก่อย่างเพลิดเพลิน
เมิ่งอู่สังเกตด้วยความสนใจใคร่รู้ นางเคยดูสารคดีสัตว์โลกหลายตอนมาก่อน...
ด้วยเหตุนี้นางเซี่ยจึงรู้สึกปวดหัวยิ่งยวด ในเรือนยังมีบุรุษถึงสองคน เมิ่งอู่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขาบ้างหรือไม่?
เห็นได้ชัดว่าไม่
เมิ่งอู่เพ่งพินิจมองแล้วยังเอ่ยเรียกอินเหิง “อาเหิง เ้ามาดูเร็ว ไก่ตัวผู้นี่ช่างใช้ไม่ได้ ใกล้จะโดนแม่ไก่ของพวกเราข่มเหงอยู่แล้ว!”
อินเหิง “...”
เทียบกันแล้วซวี่เฉินฟางกระด้างและไม่ถือว่าเป็เื่ต้องห้าม เขาลูบคางนั่งยองอยู่ข้างกายเมิ่งอู่ รับชมด้วยกันพลางหัวเราะเบาๆ “ญาติผู้น้องอาอู่ ความรู้สึกละอายเป็สิ่งที่ดี เ้าน่าจะมีบ้าง”
“ละอายหรือ?” เมิ่งอู่ใช้นิ้วเกาแก้มแล้วถามว่า “มีประโยชน์อันใด? เ้าพูดราวกับว่าตนเองมีอย่างนั้นแหละ”
กล่าวเยี่ยงนั้นแล้ว เมิ่งอู่ก็รู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลังโดยไม่ทันตั้งตัว นางเหลียวกลับไปมอง ก็เห็นนางเซี่ยยืนอยู่ด้านหลัง สีหน้ามืดครึ้ม
ซวี่เฉินฟางรีบเปลี่ยนเื่ทันควัน “ญาติผู้น้องอาอู่ เ้านี่จริงๆ เลย เหตุใดถึงได้ดูเื่ที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้”
ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วกว่าเขาอีกแล้ว!
สุดท้ายนางเซี่ยลากเมิ่งอู่กลับเข้าห้องเพื่ออบรมบ่มเพาะความคิดใหม่ นางพยายามต่อต้านอย่างไม่ยินยอม “ท่านแม่ นั่นเป็สัญชาตญาณตามธรรมชาติของสัตว์ ไม่ใช่เื่น่าอาย... หากจะอายก็สมควรเป็พวกมันที่อาย ไก่พวกนี้ช่างไร้ยางอาย!”
การอบรมบ่มเพาะครานี้กินเวลานานถึงหนึ่งชั่วยาม หัวของเมิ่งอู่แทบขยายใหญ่เป็สองขนาด สุดท้ายจึงได้แต่ยอมแพ้ “ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้วเ้าค่ะ ครั้งหน้าข้าจะใส่ใจอย่างแน่นอน...”
ต่อมายามที่เมิ่งอู่อุ้มไก่ตัวผู้ไปคืน ดูเหมือนไก่ตัวผู้จะไม่แข็งแรงเฉกเช่นตอนมาใหม่ๆ ไม่รู้ว่าเป็เพราะปล่อยตัวปล่อยใจมากเกินไปหรือไม่
ยามกลับมา เมิ่งอู่ซื้อไข่ไก่กลับมาด้วยหนึ่งตะกร้า นางนึกถึงไข่ตุ๋นฝูหรงที่ทำคราวก่อนซึ่งไม่พอแบ่งกันจริงๆ หากกินคนละหนึ่งช้อน ยังไม่ทันได้ลิ้มรสดีก็หมดเสียแล้ว
ดังนั้นเมื่อซื้อไข่ไก่กลับมา เมิ่งอู่จึงตุ๋นให้คนละหนึ่งถ้วย ก่อนเอ่ยว่า “คราวนี้ไม่ต้องแบ่งกันแล้ว หากไม่พอ ข้าจะตุ๋นเพิ่มให้”
ซวี่เฉินฟางกินไข่ตุ๋นฝูหรงจนหมดเกลี้ยงดั่งว่าไม่เคยกินของอร่อยมาก่อน
มีอาหารเลิศรสจากูเาและทะเลอันใดบ้างที่คุณชายรองซวี่ไม่เคยลิ้มลอง?
ซวี่เฉินฟางวางถ้วยเปล่าลง กล่าวว่า “ญาติผู้น้องอาอู่ วันพรุ่งยังมีอีกหรือไม่?”
เมิ่งอู่ชำเลืองมองเขา “เ้ามิใช่บอกว่าเหม็นคาวหรือ?”
ซวี่เฉินฟางหยักริมฝีปากแย้มยิ้ม “ยามไม่มีก็ว่าเหม็นคาว พอมีให้กินก็ไม่รังเกียจแล้ว”