หวังเจาตี้ทนกลิ่นหอมของอาหารไม่ไหวแล้วจริงๆ นางที่สวมรองเท้าฟางขาดๆ วิ่งตึกๆ ออกไป เงยหน้าขึ้นพลางเอ่ยถาม "ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อและท่านอาสี่ออกไปขายพริกกับไข่เค็ม เหตุใดจนถึงตอนนี้ยังมิกลับมากันอีกเ้าคะ?"
หวังพั่นตี้กล่าวกับตนเองพร้อมใบหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับผู้ใหญ่ก็มิปานว่า "หรือว่าไข่เค็มจะขายไม่ดี?"
จางซื่อมีลูกหลายคนแถมในท้องยังมีอีกหนึ่งคน ถึงแม้ในที่สุดหากได้บุตรชายดั่งใจปรารถนา แต่ด้วยสภาพความเป็อยู่ในตอนนี้ก็ไม่มีเงินเลี้ยงดู นางกลัดกลุ้มเื่ที่ครอบครัวไม่มีเงินมาโดยตลอด หากไข่เค็มขายไม่ได้ เงินทุนที่สูญเสียไปจะทําให้ชีวิตของตระกูลหวังลําบากยิ่งขึ้น นางสบถถุยหนึ่งทีและผรุสวาทออกมาว่า "ปากอัปมงคล เ้าเด็กบ้านี่! ไข่เค็มของบ้านเราอร่อยปานนั้น เหตุใดจะขายไม่ได้!"
หวังพั่นตี้ถูกดุด่าแต่มิได้ร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจแต่อย่างใด เพียงแต่ดวงตาเล็กๆ ใต้เปลือกตาชั้นเดียวเกิดแววขลาดกลัวขึ้นเล็กน้อย มารดาของตนมักมีอุปนิสัยเช่นนี้ ไม่มีบุตรชายก็มักจะด่าทอพวกนางพี่น้องอยู่เสมอ แต่โชคดีที่ไม่ลงไม้ลงมือทุบตีพวกตน ถือว่าดีกว่ามารดาของเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ในหมู่บ้านไม่น้อย
ยามพลบค่ำ ในที่สุดผู้เฒ่าหวังสามีภรรยา หวังจื้อและหวังเลี่ยงก็กลับมาจากข้างนอก
ในบรรดาทั้งสี่คนผู้เฒ่าหวังเป็คนที่เสียงดังมากที่สุด เขาเริ่มหัวเราะเสียงดังั้แ่อยู่นอกรั้วแล้ว "พวกเรากลับมาทันก่อนฟ้ามืดแล้ว!"
ปีนี้ผู้เฒ่าหวังอายุห้าสิบปี รูปร่างไม่สูง ไหล่กว้าง แขนขาหนา ผิวดำคล้ำ ใบหน้าเหลี่ยม คิ้วหนาตาโต หางตาเต็มไปด้วยริ้วรอย ผมหงอกขาว ทว่ากลับมีท่าทางองอาจ มองแล้วดูมีสติปัญญาเฉียบแหลมยิ่ง
เขาคือหัวหน้าของตระกูลหวัง
ในบรรดาบุตรทั้งห้าคน บุตรชายคนโตหวังจื้อและบุตรสาวคนรองหวังเยวี่ยคือคนที่หลิวซื่อภรรยาของหัวหน้าตระกูลพามาด้วย พวกเขามิใช่บุตรแท้ๆ ของผู้เฒ่าหวัง
บุตรชายคนที่สามหวังเฮ่า คนที่สี่หวังเลี่ยง และบุตรสาวคนที่ห้าหวังจวี๋เป็บุตรแท้ๆ ของผู้เฒ่าหวัง
"ข้าได้กลิ่นหอมของอาหารแล้ว ตาเฒ่าตระหนี่ยิ่งนัก เอาข้าวปั้นที่ชิงชิงทําให้พวกข้าไปขาย ไม่ยอมให้กิน ข้าหิวจะตายแล้ว!" หลิวซื่อเป็คนโผงผางปากไว ทั้งยังพูดเสียงดัง
นางอายุน้อยกว่าผู้เฒ่าหวังเจ็ดปี รูปร่างสูงกว่าผู้เฒ่าหวังอยู่ครึ่งศีรษะ ผิวเหลืองเล็กน้อย ใบหน้ากลมเรียวคิ้วบาง สันจมูกโด่ง ริมฝีปากใหญ่ อุปนิสัยดุร้ายและไร้เหตุผล
"เหอะๆ" หวังจื้อเดินตามอยู่ด้านหลังผู้าุโทั้งสอง แค่นเสียงหัวเราะออกมาสองเสียงอย่างซื่อๆ ไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ
ปีนี้หวังจื้ออายุยี่สิบสี่ปี เขากับน้องหญิงรองหวังเยวี่ยเป็บุตรที่เกิดจากหลิวซื่อกับสามีคนเก่า สามีเก่าของหลิวซื่อไม่ได้แซ่หวัง เพื่อให้ผู้เฒ่าหวังยอมรับพวกเขา หลิวซื่อจึงทำการเปลี่ยนแซ่ของพวกเขาสองพี่น้อง
ตอนเด็กๆ หวังจื้อเคยเป็เสี่ยวเอ๋อร์หมาปี้เจิ้ง [1] ขาขวาสั้นกว่าขาซ้าย เดินกะโผลกกะเผลก แขนซ้ายลีบเล็กกว่าแขนขวา มองด้วยตาเปล่าก็สามารถเห็นถึงความแตกต่างได้ และต่อให้พระอาทิตย์ในฤดูร้อนจะสามารถแผดเผาคนที่ทำงานในไร่นาจนตายได้ แต่เขาก็มิกล้าถอดเสื้อเปลือยท่อนบน
หวังจื้อรูปร่างหน้าตาคล้ายกับสามีคนก่อนของหลิวซื่อ ใบหน้าใหญ่ริมฝีปากหนา จมูกแบน หน้าตาน่าเกลียดกอปรกับร่างกายไม่สมประกอบ ในปีนั้นจึงหาภรรยาไม่ได้ จำต้องแต่งงานกับจางซื่อที่อายุมากกว่าตนถึงสองปีและเคยแต่งงานมาแล้วสองครั้ง
"พี่สะใภ้สาม พวกข้ากลับมาแล้วขอรับ พริกขายหมดแล้ว ไข่เค็มก็ขายหมดเกลี้ยงเช่นกัน ข้าวปั้นผักที่ท่านทำให้พวกข้า ข้ามือไวเอามาแบ่งกินกับพี่ใหญ่หนึ่งก้อน ที่เหลืออีกสามก้อนถูกท่านพ่อขายไปหมดแล้ว" เดิมทีหวังเลี่ยงเดินอยู่ด้านหลังสุด หลังจากผ่านประตูรั้วเข้ามาก็วิ่งตรงเข้าห้องโถงราวกับลูกศรก็มิปาน เขาวิ่งไปพลางเอ่ยไปพลาง ทั่วร่างของเขาแผ่กระจายไปด้วยความสุขใจ
ผู้เฒ่าหวังทำปากจุจุ ทอดถอนหายใจยาวสุดอารมณ์พลางเอ่ยว่า "คนในอำเภอนี่ร่ำรวยจริงๆ ข้าวปั้นชิ้นใหญ่แค่นั้น คาดไม่ถึงว่าจะให้ข้าถึงสองเหรียญทองแดง"
หวังจื้อเอ่ยอธิบายเพิ่มว่า "น้องสะใภ้ ท่านพ่อมิได้ตั้งใจขายข้าวปั้นที่เ้าทำให้พวกข้าหรอก แต่คนในอำเภอเห็นน้องสี่กินข้าวปั้นก็ตะกละอยากจะกินตาม จึงให้เงินมาหกเหรียญทองแดงเพื่อซื้อข้าวปั้นทั้งสามก้อนไป"
ครั้นพวกเขากลับมาถึง ภายในบ้านก็คึกคักขึ้นมาทันที
"ขายก็ขายเ้าค่ะ" หลี่ชิงชิงยกถังไม้ที่ใส่ข้าวเดินออกมาจากห้องครัว นางหิวจนหน้าอกติดกับหลังนานแล้ว ตอนนี้สามารถกินวัวได้ทั้งตัว ยามเอ่ยก็ดูไร้เรี่ยวแรงยิ่งนัก "พวกท่านเดินทางมาทั้งวันย่อมหิวกันแล้ว รีบมาทานข้าวกันเถิดเ้าค่ะ"
เดิมทีข้าวถูกวางไว้บนโต๊ะแปดเซียนในห้องโถง แต่ต่อมากลัวว่าจะเย็นจึงนำไปอุ่นที่ห้องครัว
"พี่สะใภ้สาม ท่านอยู่ในครัวหรือขอรับ" หวังเลี่ยงที่อายุสิบปีวิ่งออกมาจากห้องโถง เกือบจะชนเข้ากับหลี่ชิงชิงที่อยู่ตรงหน้าตน เขารีบหลีกทางหลบไปยืนอยู่อีกด้านของผนัง เดิมอยากจะโอ้อวดความดีความชอบกับหลี่ชิงชิง แต่เมื่อได้เห็นข้าวที่เต็มหม้อใบใหญ่ ท้องของเด็กหนุ่มก็ส่งเสียงร้องโครกคราก แทบรอไม่ไหวที่จะฝังหน้าลงหม้อข้าวแล้วกินให้อิ่มหนำสำราญ
หลิวซื่อหันไปเอ่ยกับบุตรชายคนเล็กอย่างโมโห "พอพ้นฤดูร้อนเ้าก็จะสิบสองปีแล้ว ยังจะทำตัวบุ่มบ่ามเช่นนี้อยู่อีก!"
ชาวบ้านกล่าวกันนั้นคืออายุลวง ปีหน้าอายุลวงของหวังเลี่ยงก็คือสิบสองปี
หวังจวี๋ถือพริกลายเสือหนึ่งจาน และจางซื่อถือผัดถั่วแปบหนึ่งถัง เดินตามหลังหลี่ชิงชิงเข้าไปในห้องโถง
จางซื่อได้ยินสิ่งที่น้องชายสามีเอ่ยเมื่อครู่แล้ว ของทุกอย่างขายหมดเกลี้ยง คราวนี้ดีจริงๆ ครอบครัวของพวกนางไม่ขาดทุนและยังหาเงินได้ ใบหน้าของนางจึงอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มแห่งความสุขออกมา พอนึกถึงข้าวปั้นผักขนาดเท่าลูกท้อเล็กๆ นั่นที่ทำจากการนำผักที่ลวกด้วยน้ำร้อนและข้าวสุกสองเหลี่ยง [2] มาขยำปั้นเป็ก้อน นางก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ "ข้าวปั้นผักหนึ่งก้อนขายได้สองเหรียญทองแดงเลยหรือ?"
ราคาตามท้องถิ่น อำเภอ และตำบลนั้นแพงกว่าในหมู่บ้านเล็กน้อย
ข้าวสารมีข้าวกล้องและข้าวขาว ข้าวเปลือกหนึ่งจินเมื่อขัดเป็ข้าวกล้องจะได้เจ็ดเหลี่ยงกว่า แต่เมื่อขัดเป็ข้าวขาวจะได้เพียงหกเหลี่ยงเท่านั้น
ข้าวกล้องสองเหลี่ยงเป็เงินห้าเหรียญทองแดง ข้าวขาวหนึ่งเหลี่ยงสามเหรียญทองแดง
ข้าวสารนั้นยังดิบ หากใส่น้ำลงไปนึ่งให้สุกก็จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ข้าวสารหนึ่งจินสามารถนึ่งทำข้าวปั้นได้หกถึงเจ็ดก้อน
ข้าวปั้นที่หลี่ชิงชิงทำใช้ข้าวขาว
ผักหนึ่งจินสองเหรียญทองแดง หากเป็ฤดูกาลที่ผักมีผลผลิตมาก ยามที่ถูกที่สุดคือสองจินต่อหนึ่งเหรียญทองแดง
ข้าวขาวและผักล้วนปลูกเองโดยตระกูลหวัง ต้นทุนจึงต่ำกว่าราคาตลาดมาก
หวังจื้อเอ่ยตอบ "ใช่แล้ว ดังนั้นท่านพ่อเลยไม่ให้พวกข้ากิน แล้วเอาข้าวปั้นผักทั้งหมดไปขาย" เขายังเอ่ยสำทับอีกว่า "ฝีมือการทำอาหารน้องสะใภ้ดีจริงๆ ข้าวปั้นผักที่นางทําแค่มองก็น่ากินแล้ว"
จางซื่อพยักหน้าตามแล้วเอ่ย "เป็เช่นนั้น" ลึกๆ ในใจของนางยังไม่อยากจะเชื่ออยู่เล็กน้อยว่า ข้าวปั้นเล็กๆ หนึ่งก้อนจะขายได้เงินมากขนาดนั้น
หวังฉิวตี้กอดต้นขาของหวังเลี่ยงเพื่อให้อุ้มนางขึ้น เด็กหญิงอายุน้อยทว่าไหวพริบดียิ่ง นางรู้ว่าหวังจื้อบิดาของตนให้ความสําคัญกับบุรุษมากกว่าสตรี จึงมิกล้าออดอ้อนเขา นางมักจะมาออดอ้อนท่านอาเล็กของนางเสมอ
หวังเลี่ยงโบกมือพลางเอ่ย "อาของเ้าเดินทางมาสี่สิบกว่าลี้ เหนื่อยแทบตายแล้ว อุ้มเ้าไม่ไหวหรอก"
หลิวซื่อหัวเราะพลางกล่าว "ฉิวตี้ตัวเบาประหนึ่งลูกแมวน้อย เหตุใดเ้าจะอุ้มนางไม่ไหวเล่า?"
"อาสะใภ้ทําอาหารอร่อยๆ ด้วยเ้าค่ะ" หวังเจาตี้เอ่ยไปพลางน้ำลายไหลไปพลาง นางหิวจะแย่มานานแล้ว
"ข้าจะดื่มน้ำสักหน่อย" ผู้เฒ่าหวังเข้าไปในห้องโถง กลิ่นหอมของอาหารโชยมาเตะจมูก เห็นอาหารสามอย่างวางอยู่บนโต๊ะแปดเซียนที่เก่าทรุดโทรมเลือนราง แต่ก็มองไม่ออกว่ามันคือสิ่งใด เขาลังเลอยู่ว่าจะดื่มน้ำก่อนหรือกินข้าวก่อนดี ครั้นได้ยินบุตรสาวคนเล็กหวังจวี๋เอ่ยว่าจะจุดตะเกียงน้ำมัน เขาก็พูดขึ้นตามความเคยชิน "ไม่ใช่ปีใหม่หรือเทศกาล จะมาจุดตะเกียงอะไรกัน พระจันทร์ด้านนอกดวงตั้งใหญ่!"
ยุคนี้คนที่สามารถจุดตะเกียงน้ำมันได้ทุกวันล้วนเป็ครอบครัวคนรวย สมาชิกของตระกูลหวังมากมายเพียงนี้ ทว่าแรงงานกลับมีน้อย เงินที่หาได้จึงแค่พอให้ใช้ชีวิตอยู่รอดเท่านั้น
หวังเลี่ยงเอ่ย "ท่านพ่อ กินข้าวไม่จุดตะเกียงจะมองไม่เห็นนะขอรับ"
"เ้าเด็กตัวเหม็น เมื่อก่อนไม่จุดตะเกียงกินข้าวก็ไม่เห็นว่าเ้าจะกินข้าวทางจมูก" ผู้เฒ่าหวังส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋ง เขายังยืนยันว่าไม่เห็นด้วยที่จะจุดตะเกียงเพื่อกินข้าว
ก่อนที่หลี่ชิงชิงจะแต่งงาน นางอาศัยอยู่ที่บ้านเดิมในหมู่บ้านเสี่ยวเฉวียน ใช้ชีวิตกินนอนอาบน้ำล้างหน้าท่ามกลางความมืด เมื่อแต่งเข้าตระกูลหวังแล้วก็ยังคงเป็เช่นนี้ นางเอ่ยในใจ “เมื่อไหร่การใช้ชีวิตท่ามกลางความมืดจะจบลงกันนะ?”
หวังเลี่ยงทำปากยู่ ก่อนจะรินน้ำอุ่นครึ่งชามดื่มลงท้องเพื่อดับกระหายพลางเอ่ยถาม "พี่สะใภ้สามทำอาหารอร่อยอันใดหรือขอรับ ถึงได้มีกลิ่นหอมขนาดนี้?"
-----------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เสี่ยวเอ๋อร์หมาปี้เจิ้ง (小儿麻痹症) หมายถึง โรคโปลิโอ
[2] เหลี่ยง (两) หมายถึง หน่วยวัดน้ำหนัก 1 เหลี่ยง = 50 กรัม
