‘Respirer Paris, cela conserves l’ âme.’ โน้ตใบน้อยลอยละลิ่วหล่นลงมาต่อหน้าหญิงสาวขณะที่เธอกำลังเปิดแมกกาซีนท่องเที่ยวทิเบต...ดินแดนหลังคาโลก พริสซี่ เดห์วา (Prezila Dheva) สาวเชื้อสายอินเดียนแดง-อังกฤษผิวสองสี...เหลืองปนน้ำตาลใบหน้าโดดเด่นที่ตรงดวงตากลมโตเห็นแก้วตาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ เธอเก็บโน้ตใบที่ร่วงมาจากที่ไหนซึ่งไม่เห็นต้นทาง แทนที่จะขยำมันทิ้งแต่เธอกลับหย่อนมันลงในซอกเล็กสำหรับเก็บของจุกจิกที่ตรงซิปด้านหน้าของเป้แบ็คแพ็คขนาดกลางที่สะพายอยู่ด้านหลัง ที่บริเวณ Escape Lounge ซึ่งมีมุมอ่านหนังสือเล็กๆ ให้ผู้โดยสารได้ใช้เวลาขณะนั่งรอภายในสนามบินแสตนเสต็ด (London Stansted) เธอมานั่งดูหนังสือเพื่อฆ่าเวลารอผู้ร่วมเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่หมู่บ้านพลัม (Plum Village) แถบแวร์เดอโลด์ชานกรุงปารีส (Verdelot) สถานที่แห่งนี้มีชื่อเป็ภาษาฝรั่งเศสว่า ‘Monastère de la Source Guérissante’ หรือ ‘Healing Spring Monastery’
“Well ดีเลย...อยากให้เธอช่วยหน่อย” พริสซี่มองหน้า ‘ฌอน’ (Sean) เพื่อนหนุ่มร่วมทีมงานกำลังนั่งรอตรงที่นั่งในเลาจน์รอขึ้นเครื่อง หน้าที่ของชายหนุ่มในทริปนี้ คือประสานงานที่หมู่บ้านพลัม
“วลีนี้มันคือ...???” เธอหยิบโน้ตที่หย่อนไว้ตรงซอกเล็กๆ ตรงกระเป๋าหน้าของแบ็คแพ็คออกมาให้ชายหนุ่มช่วยแปลให้ เขาน่าจะรู้ความหมายของมันเป็อย่างดี
“In English…Breathing in Paris preserves soul วลีนี้อยู่ในเื่ Les Misérables ‘ผู้ทุกข์ยาก’ ของ Victor Hugo ...วิกตอร์ อูโก” ฌอนตอบกลับอย่างไม่ลังเล เขาจบวรรณคดีฝรั่งเศสและเป็คนเดียวของทีมงานที่สื่อสารภาษานี้ได้
“Wow…รู้ครบหมด...ลงตัวซะ...” เสียงชมของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มอมยิ้ม จะว่าชื่นชมก็ไม่เชิงน่าจะแซวมากกว่า
“Sure…แน่ล่ะ otherwise someone blames me...ไม่งั้นใครบางคนคงตำหนิ...แหงๆ” ชายหนุ่มสำทับกลับ
“แล้วไปเอามาจากไหน...” ชายหนุ่มทำหน้าสงสัยหญิงสาวขึ้นมา
“ใบนี้มันร่วงมาจากไหนไม่รู้เลย...” หญิงสาวจ้องแววตาของชายหนุ่มชอบกล ราวกับว่ามันหล่นมาจาก์เบื้องบน
“Oh…เอ้า...เหรอ” ชายหนุ่มพูดยังไม่ทันจบ พอดีคณะปฏิบัติธรรม meditation practice group ทั้งหมด 5 คู่ รวม 10 คน ได้เดินเข้ามาที่เลาจน์รอ boarding ขึ้นเครื่อง...จึงได้ทักทายคนทั้งสอง
เมื่อ chartered flight เครื่องแบบเหมาลำบินลงที่สนามบินชาร์ล เดอ โกล (Charles De Gaulle) ทางฝ่ายประสานงานศูนย์ปฏิบัติธรรมของหมู่บ้านพลัมได้ส่งคนขับรถโค้ชมารอรับก่อนแล้ว การเดินทางออกจากปารีสไปถึงหมู่บ้านแห่งนี้ที่แวร์เดอโลด์ใช้เวลาราวชั่วโมงเศษ ซึ่งถือว่าไม่ไกลมากแค่ชานเมือง แต่ถ้าเดินทางโดยรถไฟทั้งแบบบนดินและใต้ดินต้องขึ้นที่ Gare de L’ Est ซึ่งเป็สถานีสายตะวันออก
่ summer retreat หมู่บ้านปฏิบัติธรรมแห่งนี้ถูกจองไว้จนเต็มล่วงหน้าถึงสองปี กว่าที่คณะปฏิบัติธรรมกลุ่มนี้จะสามารถมาเข้าร่วมคอร์สได้ โปรแกรมสำหรับสอง สัปดาห์ของคณะนี้มีวิธีปฏิบัติแบบซ้ำๆ เื่การเจริญสติของการอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ที่เรียกว่า ‘Sangha’ สังฆะ คือให้ตื่นรู้อยู่ทุกขณะโดยประสานกลมกลืนกับธรรมชาติรอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะยืนเดินนั่งนอน เริ่มั้แ่ตื่นนอน การสวดมนต์ภาวนา การฟังธรรมบรรยาย การเดินสมาธิ การรับประทานอาหารแต่ละมื้อ การสนทนาธรรมกลุ่มย่อย การพักผ่อนหรือออกกำลังกาย จนถึงการเข้านอน บริบทของการตื่นรู้อยู่ทุก่ขณะจะทำให้จิตเกิดฌาน หากวันใดจิตเกิดแก่กล้าจนสามารถเข้าถึงญาณหยั่งรู้เมื่อนั้นเราจะเข้าถึงจิติญญาที่บริสุทธิ์สูงสุดได้ในที่สุด
“เราจะเจอท่าน Thich Nhat Hanh ติช นัท ฮันห์ ไหม ฌอน” เสียงของสาวน้อยเหมือนอยากรู้นัก เธอเคยได้ยินแต่ชื่อเสียงของนักบวชชาวเวียดนามท่านนี้ที่มาตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมนิกายเซนที่ประเทศนี้เท่านั้น ไม่เคยเจอตัวจริงเลย
“คงไม่นะ พริสซี่ ท่านน่าจะไป visit ที่ศูนย์นิวยอร์คอยู่่นี้ เราถามแล้ว” ชายหนุ่มยังไม่เคยเจอหลวงพ่อชาวเวียดนามนี้เลยเช่นกัน
“A pity…เสียดายจัง ใจเราอยากเจอท่านสักครั้ง” พริสซี่ทำหน้าเศร้า ...อยากสอบถามอะไรบางอย่าง... ‘altruistic love’ ที่เธอ้าความหมายจากท่าน
------------------
บ้านพักจะเป็ห้องรวมแต่แยกเป็หอพักของชายและหญิง ค่าบริการคิดเป็รายสัปดาห์ซึ่งทั้งหมดอยู่ในค่าใช้จ่ายที่รวมเบ็ดเสร็จสำหรับคณะซึ่งเป็กลุ่มครอบครัวนี้ พริสซี่ซึ่งทำหน้าที่ขายคอร์สให้กับคณะนี้รู้สึกโล่งใจเพราะเป็กลุ่มพรีเมี่ยมจึงมีกำลังซื้อสูง ฌอนได้เข้ามาทำหน้าที่เป็ผู้ประสานงานเื่ภาษาและกิจกรรมต่างๆ หากมีปัญหาเื่การสื่อสารที่อาจไม่ลงตัวเขาจะเข้าช่วยเหลือ in charge ให้กับพริสซี่ทันที ทั้งสองคนจึงจำเป็ต้องเข้าร่วมคอร์สปฏิบัติธรรมครั้งนี้ด้วยเช่นกัน โชคดีที่การมาปฏิบัติธรรมครั้งนี้มีเฉพาะกลุ่มปฏิบัติธรรมของพริสซี่และฌอนเท่านั้นทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ
วันสุดท้ายของโปรแกรมมีการอำลาส่งท้ายด้วยการสนทนาธรรมกลุ่มย่อย สรุปถึงวิถีการดำรงชีวิตที่ได้จากการเข้าคอร์สครั้งนี้
“การอยู่ร่วมกันอย่างมีสติ เป็วิถีแก่นธรรมที่ท่านติช นัท ฮันห์ ได้อบรมให้ทุกคนเห็นคุณค่าของเวลาทุก่ขณะ” เสียงธรรมบรรยายของนักบวชชาวเวียดนามดังก้องอยู่ราวกับฝังไมโครชิพลงไปที่ดวงจิตของพริสซี่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้