“ผ่านการคัดเลือกของข่งย่วน! นี่มันเื่อะไรกัน?”
มู่เฟิงถามอย่างสงสัย
“คืออย่างนี้นะ ในภารกิจครั้งนี้มีศิษย์พี่ข่งย่วนเป็ผู้นำกลุ่ม นอกจากนี้ในบรรดาผู้เข้าร่วมภารกิจยังมียอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักศึกษาอย่างเว่ยอี้อวิ๋นอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังมียอดฝีมืออันดับสามซือถูคง ยอดฝีมืออันดับสี่หยางฉาน และยอดฝีมืออันดับห้าโจวเหวินเฉวียนเข้าร่วมด้วย ยอดฝีมือห้าอันดับแรกของสำนักศึกษาล้วนเข้าร่วมทั้งหมด
“การที่ยอดฝีมือห้าอันดับแรกของสำนักศึกษาจะเข้าร่วมในภารกิจเดียวกันนั้นเป็เื่พบเห็นได้ยากมาก ดังนั้นในภารกิจนี้จึงมีผู้สนใจเข้าร่วมค่อนข้างมาก ศิษย์พี่ข่งย่วนจึงได้จัดการประลองขึ้นมาเพื่อคัดเลือกผู้เข้าร่วม แน่นอนว่าจะรับเฉพาะบัณฑิตที่แข็งแกร่งและทรงพลังเท่านั้น”
ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามตั้งใจอธิบายอย่างอดทน
“เว่ยอี้อวิ๋น ข่งย่วน หยางฉาน ซือถูคง โจวเหวินเฉวียน”
มู่เฟิงรู้สึกตกตระหนกกับเื่นี้ เพราะคนเหล่านี้คือผู้ทรงอิทธิพลสิบอันดับแรก และยังเป็ยอดฝีมือห้าอันดับแรกของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นอีกด้วย คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้
การเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ของมู่เฟิงไม่ใช่เพื่อคะแนน แต่เนื่องจากเขาไม่มีความคุ้นเคยและไม่ทราบที่ตั้งของวังโบราณจิ่วซานอย่างชัดเจน ดังนั้นเขาจึง้าเข้าร่วมภารกิจนี้เพื่อการนั้น
มู่เฟิงกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนจะหมุนตัวจากไป มุ่งหน้าไปยังลานประลองทันที
“เ้าเด็กนี่ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย”
ผู้ดูแลในชุดคลุมสีครามมองตามหลังมู่เฟิงที่เดินจากไป ขณะส่ายหน้าและพึมพำกับตัวเอง
ทิศบูรพาข้างทะเลสาบเทียนอวิ่น ขณะนี้บนลานขนาดใหญ่กำลังมีการจัดการประลองขึ้น ดังนั้นในบริเวณนี้จึงมีเหล่าบัณฑิตทั้งใหม่และเก่ามารวมตัวกันอยู่ไม่น้อย คาดว่ากลุ่มคนที่เข้ามาร่วมชมการประลองในครั้งนี้คงมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันคน
ที่กลางลานของลานประลองมีร่างของคนสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทุกครั้งที่พลังของพวกเขาปะทะกันก็จะเกิดคลื่นพลังสาดซัดออกไปรอบๆ
นี่คือการต่อสู้ระหว่างบัณฑิตสายในสองคนที่มีวรยุทธ์ระดับหนิงกัง คนหนึ่งคาดว่ามีวรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นสาม ส่วนอีกคนมีวรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นสอง
ข่งย่วน ข่งเซวียนเอ๋อร์และซือถูคงกำลังจับตามองการประลองอยู่ด้านข้าง
“จางเสี่ยวหลินคงจะรับมือได้อีกไม่กี่กระบวนท่าแล้ว”
ข่งย่วนกล่าววิเคราะห์สถานการณ์
“อืม พวกเขาสองคนล้วนฝึกทักษะพลังปราณระดับธาตุทองขั้นสูงเหมือนกัน อีกทั้งยังฝึกจนบรรลุถึงระดับสมบูรณ์แล้ว แต่การะเิพลังของหลีกู่นั้นยังเหนือกว่าจางเสี่ยวหลินถึงสองส่วน”
ซือถูคงพยักหน้า ขณะกล่าวมาออกเช่นกัน
ปัง...!
ไม่นานผลลัพธ์ของการประลองก็ปรากฏในที่สุด หลังจากสิ้นเสียงบทสนทนาของคนทั้งสอง หลีกู่หรือชายหนุ่มในชุดคลุมสีเหลืองผู้มีวรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นสามก็ตบฝ่ามือที่อัดแน่นไว้ด้วยพลังกังหยวนสีทองไปทางจางเสี่ยวหลินอย่างดุดัน อานุภาพพลังของมันทำให้จางเสี่ยวหลินต้องถอยห่างออกไปอย่างต่อเนื่อง และตกจากเวทีประลองในที่สุด
“เยี่ยม…!”
เหล่าบัณฑิตที่อยู่โดยรอบต่างก็ปรบมือเสียงดังอย่างชอบใจ ส่วนหลีกู่ชูกำปั้นขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
หลังจากเอาชนะจางเสี่ยวหลินได้ เขาก็มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมภารกิจแล้ว
“เอาละ หลีกู่ อันดับที่ยี่สิบของภารกิจในครั้งนี้คือเ้า”
ซือถูคงกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ขอบคุณศิษย์พี่ซือถู”
หลีกู่ประสานมือกำหมัดคำนับอีกฝ่าย
“ช้าก่อน ยังมีผู้ท้าชิง!”
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขัดขึ้น เงาร่างของคนผู้หนึ่งเดินเบียดฝูงชนเข้ามาจากด้านนอก และเขาก็ะโทะยานร่างขึ้นสูงกว่าสิบเมตร ก่อนจะยืนอยู่กลางอากาศ ใต้ฝ่าเท้าของเขามีเปลวเพลิงปะทุออกมา จากนั้นเขาก็ทะยานร่างออกไปอีกครั้งในระยะที่ไกลกว่าสิบเมตร
เด็กหนุ่มะโผ่านกลางอากาศเช่นนี้สามครั้ง ทำให้เขาสามารถะโข้ามระยะทางเกือบสี่สิบเมตรเข้ามาถึงลานประลองได้อย่างรวดเร็ว
ทุกคนหันไปมองตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่มผมขาวที่โผล่มาอย่างกะทันหัน
“เฮ้ นั่นมู่เฟิงนี่!”
“มู่เฟิง เขามาทำอะไรที่นี่!”
“เป็มู่เฟิงจริงด้วย อะไรกัน เขา้าท้าสู้กับหลีกู่อย่างนั้นหรือ”
เส้นผมสีขาวของเด็กหนุ่มโดดเด่นเป็อย่างมากจนหลายคนสามารถจดจำเขาได้ในทันที
“มู่เฟิง เ้านั่นจะมาทำอะไรที่นี่อีก”
ข่งเซวียนเอ๋อร์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“หรือว่าเ้าเด็กนั่น้าเข้าร่วมในภารกิจนี้ด้วย?”
ซือถูคงกล่าวอย่างเ็า
“มู่เฟิง เ้ามาทำอะไรที่นี่?”
หลีกู่เหลือบมองไปทางเด็กหนุ่มที่กำลังมีประเด็นร้อนในสำนักศึกษา
“ไม่ทราบว่าที่นี่ใช่สถานที่คัดเลือกบัณฑิตที่จะเข้าร่วมภารกิจหรือไม่?”
มู่เฟิงเอ่ยถามเข้าประเด็นทันที
“ถูกต้องแล้ว ทำไม เ้าเองก็้าจะเข้าร่วมภารกิจสำรวจวังโบราณจิ่วซานด้วยรึ?”
ข่งหย่วนเอ่ยถามขณะขมวดคิ้ว
มู่เฟิงพยักหน้า จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากด้านล่าง
“ไม่จริงน่า คิดไม่ถึงว่าเ้าเด็กนั่นจะ้าเข้าร่วมภารกิจนี้ด้วย”
“ฮ่าๆ เขาคิดจะทำอะไรกัน คิดจะรนหาที่ตายหรืออย่างไร หรือบัณฑิตใหม่ผู้หนึ่งคิดจะใช้ประโยชน์จากยอดฝีมือห้าอันดับแรกของสำนักศึกษา?”
“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป วันนี้ข้าเพิ่งได้ยินมาว่าเขาสามารถเอาชนะหลิวเซิ่งได้ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”
กลุ่มคนด้านล่างต่างก็ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมา กระทั่งหลีกู่ยังเหลือบตามองมู่เฟิงอย่างเหยียดหยาม
“เ้าหนุ่ม เ้ายังไม่รีบกลับไปอีก แม้ข้าจะได้ยินมาว่าความแข็งแกร่งของเ้าเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกัง แต่วังโบราณจิ่วซานไม่ใช่สถานที่เล่นสนุก ที่แห่งนั้นอัตรายมาก ด้วยวรยุทธ์ของเ้าแล้ว เกรงว่าอาจจะตายโดยที่ยังไม่รู้ตัว”
หลีกู่กล่าวอย่างเ็า
“ขอบคุณสำหรับคำเตือนของศิษย์พี่ เพียงแต่สหายของข้าถูกคนทรยศวางยาพิษ ดังนั้นมู่เฟิงจำเป็ต้องไปยังวังโบราณจิ่วซานเพื่อตามหาสมุนไพรชนิดหนึ่งมาใช้ในการรักษา เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ตอนนี้ข้าจึงต้องประลองเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมภารกิจ”
มู่เฟิงประสานมือกำหมัด พลางกล่าวไปตามจริง
หลังจากได้ฟังเื่นี้ หลีกู่และคนอื่นๆ ต่างก็ประหลาดใจ และมีบางคนพลันจำสาเหตุที่มู่เฟิงบุกไปแก้แค้นหนานหลิงในเขตของศิษย์สายในได้ กล่าวกันว่าหนานหลิงตั้งใจวางยาพิษมู่เฟิง แต่สหายของเขาดันโชคร้ายถูกพิษนั่นแทน
“มู่เฟิงผู้นี้ถือได้ว่าเป็คนมีคุณธรรม เห็นแก่มิตรภาพของพวกพ้อง”
สายตาดูแคลนของใครหลายคนพลันเลือนหายไป
หลีกู่จ้องมองมู่เฟิง เมื่อทราบถึงเหตุผลของอีกฝ่ายเขาก็เลิกพูดจาถางถากและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ในเมื่อเป็เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกลี้ยกล่อมเ้าอีก ตอนนี้ก็เหลือแค่ให้ข้าประลองกับเ้าเพื่อแย่งชิงสิทธิ์สุดท้าย หากว่าเ้า้าจะไปที่นั่นให้ได้ ก็จงเอาชนะข้าเสีย”
“เช่นนั้นมู่เฟิงคงต้องล่วงเกินศิษย์พี่แล้ว”
มู่เฟิงประสานหมัดอีกครั้ง ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เป็ประกาย เปลวเพลิงใต้ฝ่าเท้าพลันปะทุออกมาทันที ร่างของเขาเคลื่อนตัวไปทางหลีกู่อย่างรวดเร็วจนไม่อาจมองตามได้ทัน และในเวลาเดียวกันพลังสายฟ้าก็พลันปะทุออกมาเช่นกัน เมื่อพลังสายฟ้าหลั่งไหลเข้าสู่เส้นลมปราณ ระดับพลังปราณในร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้นจนถึงระดับหนิงกัง
‘คิดไม่ถึงว่ามู่เฟิงจะมีเคล็ดวิชาลับที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองได้ด้วย’
ข่งย่วนััได้ถึงกลิ่นอายของพลังที่พลุ่งพล่านออกมาจากร่างของมู่เฟิง นางลอบคิดในใจ ส่วนทางด้านซือถูคงกำลังหรี่ตาลง เผยให้เห็นถึงร่องรอยของความคิดบางอย่าง
“ะเิหมัดเก้าเพลิงสุริยา หมัดเพลิง!”
มู่เฟิงะเิพลังหมัดออกมา หมัดสีแดงเพลิงที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยกระแสสายฟ้าก็พุ่งเข้าใส่หลีกู่อย่างดุดัน อานุภาพของมันนั้นทรงพลังจนน่าใเลยทีเดียว
สีหน้าของหลีกู่พลันแข็งค้าง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหมัดนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าที่จะประมาท ชายหนุ่มดีดฝ่าเท้าทะยานร่างออกไปทันที เขารวบรวมพลังสีทองขึ้นกลางฝ่ามือ ก่อนที่พลังกังหยวนจะเอ่อล้นออกมา และพลังของมันนั้นก็น่าสะพรึงเป็อย่างยิ่ง
เสียงของพลังฝ่ามือและพลังหมัดพุ่งแหวกอากาศจนดังเสียดหู และเมื่อมันเข้าปะทะกัน เปลวเพลิงสีแดงกับพลังฝ่ามือสีทองก็กวาดซัดออกไปบริเวณโดยรอบในรัศมีสิบกว่าเมตรทันที เมื่อเท้าของทั้งคู่แตะลงบนพื้นรอยแตกร้าวก็พลันปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา
ด้านมู่เฟิงจำต้องก้าวถอยออกไปหลายก้าว ทั้งยังมีเืไหลออกมาจากมุมปาก ส่วนหลีกู่ต้องถอยออกไปสองก้าว
ตอนนี้มู่เฟิงยังมีอาการาเ็ภายในหลังจากการต่อสู้กับหนานหลิงในวันนี้ และอาการของเขาก็ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก
“ไม่เลว นับว่ายังแข็งแกร่งอยู่บ้าง”
หลีกู่กล่าวขึ้น ก่อนที่เขาจะดีดฝ่าเท้าพุ่งทะยานร่างเข้าหามู่เฟิงอีกครั้ง พร้อมผลักฝ่ามือทั้งสองข้างออกไปอย่างต่อเนื่อง
“ต้องขออภัยศิษย์พี่แล้ว”
มู่เฟิงเองก็ถอยอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ทั้งยังคอยหลบหลีกฝ่ามือสีทองที่กำลังพุ่งเข้ามาเ่าั้ด้วย ระหว่างนั้นแผ่นยันต์บรรลัยกัลป์ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาจำนวนหนึ่ง จากนั้นเขาก็ขว้างแผ่นยันต์ทั้งหมดไปทางหลี่กูทันที
เมื่อเห็นแผ่นยันต์บรรลัยกัลป์จำนวนสิบแผ่นพุ่งเข้ามา สีหน้าของหลีกู่ก็พลันเปลี่ยนไปทันที เขาต้องรีบถอยออกมาเพื่อหลบหลีก
ปัง…! ปัง…!
กลุ่มเปลวเพลิงพลันปะทุขึ้นในลานประลองอย่างรุนแรง ทำให้คลื่นความร้อนกวาดซัดออกไปทั่วบริเวณ ผู้ชมที่อยู่โดยรอบต่างก็ััได้ถึงคลื่นความร้อนที่ะเิออกมา พวกเขารู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองกำลังร้อนผะผ่าว
ทางด้านหลีกู่เองก็ต้องรีบถอยออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อหลบหลีกเปลวเพลิงที่เพิ่งจะะเิเช่นกัน ทำให้ร่างของเขาพลันถอยไปประชิดขอบของลานประลองอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นมุมปากของมู่เฟิงก็พลันโค้งขึ้น!