ทว่าคราวนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มที่เขาเคยคิดว่าตนควบคุมไว้อยู่หมัดแล้ว เขาไม่กล้าพูดอะไรเลยจริงๆ
เขาไม่ลังเลเลยสักนิด ว่าหากตนเอ่ยไปแม้แต่คำเดียว เ่ิูจะสังหารเขารวดเร็วรุนแรงเหมือนฟ้าฟาด ไม่ลังเลแน่
“ฮึ ความกล้าของไอ้โง่” ลัวจิ้นก่นว่าในใจ
ทว่าเขาก็ไม่เอ่ยอะไรอีกเลยจริงๆ
เ่ิูจูงมือเสี่ยวฉ่าวมาถึงหน้าโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง
คนที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะนั้นมองตากันไปมา สุดท้ายก็ยืนขึ้นหลีกทางให้ เด็กหนุ่มที่อบอวลด้วยบรรยากาศอำมหิตนั่น ทำให้พวกเขาหน้าซีดขาว ไม่กล้าเฉียดกรายใกล้
“นั่งเถอะ” เขาให้เสี่ยวฉ่าวนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เ่ิูเอนอิงซี่กรงหน้าต่าง ชำเลืองมองทุกชีวิตบนชั้นสามอย่างเยือกเย็น
“เ้าหนุ่มเย่ มีเื่อะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันเถอะ บางทีพวกเราอาจ...” ถงิถังจากวัดเมี่ยวอวี้ยืนขึ้นมาจะพูด
เ่ิูกลับโบกมือปัดป่าย ขัดการพูดของเขาลง สีหน้าไม่สะทกสะท้านใด
“พอเถอะ ข้าเองก็ขี้คร้านจะฟังคำขยะของพวกเ้าเต็มที ข้าให้เวลาสามสิบนาที คืนกิจการทุกอย่างที่พวกเ้าฮุบเอาจากตระกูลเย่คืนมาให้หมด แล้ววันนี้ ณ ที่นี้จะไม่มีการนองเื หรือไม่แล้ว เ้าอ้วนจินนั่นคือตัวอย่าง!”
แข็งกร้าว!
เผด็จการ!
กำเริบเสิบสาน!
อาละวาดเปิดเผย!
ความจริงแล้วเ่ิูก็ขี้คร้านจะฟังคนพวกนี้พล่ามอะไรกากเดนออกมาอีกเหลือเกิน หากยึดตามสิ่งที่พวกมันกระทำต่อตระกูลเย่เมื่อตอนนั้นแล้ว จะฆ่าซ้ำๆ สักร้อยครั้งก็ยังไม่สาแก่ใจเท่ากับที่พวกมันบังคับกดขี่คนในตระกูลเย่ เพียงแต่ตอนนี้เด็กหนุ่มก็มิได้อยากให้เป็เื่ใหญ่โต ไม่อยากเปิดวาระการสังหารใหญ่ขึ้นก็เท่านั้น
แต่หากผลกลายเป็ว่าคนพวกนี้พล่ามไม่รู้แก่นสาร จงใจต่อต้านอย่างดื้อรั้นแล้วล่ะก็ เ่ิูเองก็จะไม่ปรานี
ในเมื่อวันนี้เลือกที่จะลงมือ เขาจึงมีแผนแน่นอนอยู่แล้ว
ทว่า ทันใดนั้นเอง
“ฮ่าๆๆ เป็น้ำคำโอหังเสียจริง ไปปั่นป่วนในสำนักกวางขาวไม่กี่วันก็ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว ฆ่าคนต่อหน้าประชาชี บังคับข่มขู่บุรุษผู้มีน้ำใสใจจริง นี่คือสิ่งที่เ้าเรียนได้จากสำนักมาใช่ไหม?”
ใครบางคนหัวเราะลั่นร่า
ส่วนลึกของห้องโถงใหญ่ ม่านฉากหินสีแดงเืไก่ถูกแยกออกจากกัน
บุรุษสามคนที่ท่าทางประหนึ่งนายทหารนั่งอยู่ตรงโต๊ะใหญ่ในห้องส่วนตัวส่วนลึกของห้องโถง บนโต๊ะมีแต่บรรดาอาหารชั้นเลิศวางเรียงราย กลิ่นสุราหอมหวนรัญจวน ข้างกายยังมีนางรำคอยให้บริการ พวกเขากำลังดื่มกันสุขสำราญ
ก่อนหน้านี้มีฉากอักขระกำบังอยู่ กันเสียงทุกอย่างมิดชิด เสียงภายในนั้นจึงไม่มีหลุดรอดออกมาด้านนอก คนภายนอกก็ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่ามีอยู่ จวบจนถูกแยกออกนี่แล ราวกับบรรยากาศอีกอย่างโผล่เข้ามาใกล้หมู่ชนอย่างกะทันหัน
คนที่เพิ่งเอื้อนเอ่ยไปนั้น เป็หนึ่งในสามนายทหารที่นั่งอยู่แน่
คนผู้นี้อายุประมาณสี่สิบกว่า จมูกทรงเหยี่ยว สวมเกราะสีดำเข้มจัด ท่าทางขึงขังกดดัน ศีรษะสวมหมวกเกราะ แขวนกระบี่ยาวไว้กับเอว ดูจากการแต่งตัวแล้วคงหนีไม่พ้นเป็นายทหารในสังกัดกองพลเฉิงเป่ย
สองคนที่นั่งอยู่ข้างชายจมูกงุ้มนั้นดูอายุอ่อนกว่าเล็กน้อย คนด้านซ้ายสวมเกราะดำเช่นกัน ทว่าจากท่าทางน่าจะยศต่ำกว่าคนแรกอยู่บ้าง คนด้านขวากลับแต่งกายเช่นบัณฑิต มือถือพัดขนนก ไว้เครายาวและเหยียดยิ้มเย็น
เมื่อเห็นสามผู้นี้เลือกปรากฏตัว หมู่ชนในห้องโถงก็ถอนหายใจพรืดยาวออกมา
และนอกจากสามคนนี้แล้ว ยังมีนายทหารในชุดเกราะเด่นชัด พร้อมอาวุธท่าทางกวดขันอีกสิบนาย แต่ละคนล้วนแผ่รังสีอาฆาตออกมาแ่า ยืนนิ่งสนิทเสมือนรูปปั้นเหล็กดำก็ไม่ปาน เห็นได้ชัดว่าเป็นักรบผู้เกรียงไกร
ลัวจิ้นหัวเราะ
ส่วนลึกในแววตานั้นมีกลิ่นอายยั่วยุส่งให้เ่ิูน้อยๆ ใบหน้าทอความพึงใจ
“เฮอะๆ ศิษย์สำนักกวางขาวเดี๋ยวนี้มีแต่จะเน่าเฟะลงทุกปี หนุ่มน้อยเข้าไปยังไม่กี่วันก็กล้าแอบอ้างอำนาจคนอื่นมารังแกผู้ด้อยกว่า วิ่งร่ำมาทำให้พวกพ่อค้าที่เคารพกฎหมายกลัวเล่น จุ๊ๆๆ” บัณฑิตวัยพลางคนดื่มเหล้าที่นางรำรินให้แล้วส่ายหน้า รอยยิ้มเย็นยังมิหายไปไหน
เ่ิูยิ้มบ้าง
“ที่แท้เหตุที่ลัวจิ้นเ้ากากเดนนี่ยังกล้าคัดค้านอยู่ ก็เป็เพราะเ้าสามคนนี่เอง...บัดนี้ พวกชั้นต่ำทั้งหลายโผล่หางกันออกมาครบแล้วสินะ?” าามารเย่ยังอิงซี่กรงอยู่เช่นเดิม
สำหรับการปรากฏตัวของทั้งสามนั้น เ่ิูมิได้ปรากฏสีหน้าแปลกใจใดๆ เลย
และในยามเดียวกัน
ถังซานยืนสังเกตสีหน้าเ่ิูอย่างระมัดระวัง
เมื่อเห็นการแสดงออกของนายท่านที่ราวกับยังมีอะไรอยู่ในกอไผ่ เขาจึงค่อยเบาใจลงบ้าง เื่วันนี้มันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนบุกน้ำลุยไฟมาไม่ขาด เขากลั้นลมหายใจเปลาะหนึ่งอย่างกระวนกระวาย
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อตามองเห็นสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ ใจเขากลับโล่งเสียอย่างนั้น
เมื่อกำลังเอ่ยนั้นเอง
ปัง!
ทหารหนุ่มด้านซ้าย ชายจมูกงุ้มพลันคว้าโซ่ตรวนและกุญแจมือที่แขวนไว้ตรงเอวกระแทกลงบนโต๊ะ ทำให้นางรำหน้าดั่งดอกบัวหน้าซีด เขาผุดลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มเย็น “ฆ่าคนกลางถนน ถึงจะเป็ศิษย์สำนักกวางขาวก็ยากจะหลีกหนีความผิด หนุ่มน้อย เ้ายอมยกมือมอบตัวให้ข้าจับไปไต่สวนที่คุกสอบสวนดีๆ ดีกว่า!”
คุกสอบสวน เป็ที่ไต่สวนนักโทษของลู่ิ
เล่าต่อกันมาว่าหากใครได้เข้าไปนั้น ขาเข้ายังหายใจปกติ แต่ขาออกจะเหมือนคนใกล้หมดลมหายใจ ที่ๆ เข้าไปได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน แต่จะถูกบดเป็ชิ้นๆ น่ากลัวเป็ที่สุด คนมากมายเพียงได้ฟังนามของมันก็เป็อันต้องกลัวจนสติหลุด
เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา คนทั้งชั้นสามสีหน้าเปลี่ยน
ทว่าใบหน้าเ่ิูนั้นเล่า กลับเหยียดหยามและเยาะเย้ยออกนอกหน้า
“คุกสอบสวน เฮอะๆ มีชื่อมากเลยนี่ หากเป็เมื่อก่อนแค่ได้ยินเสียงโซ่ตรวน ไม่รู้กี่คนต่อกี่คนที่กลัวจนิญญาแทบจะหลุดออกจากร่าง เื่อวดบุญบารมีนี่ไม่มีใครเทียบพวกเ้าได้จริงๆ...” เอ่ยถึงส่วนนี้ าาปีศาจก็เผยรอยยิ้ม “น่าเสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ”
“เสียดายอะไร?” ทหารนายนั้นถามทั้งั์ตาโกรธขึ้ง รอยยิ้มยังเย็นเยียบ
“เสียดายที่คุกสอบสวนเล็กๆ ของพวกเ้า คงไม่มีสิทธิ์มาจับข้าได้ล่ะนะ” เ่ิูเอ่ยพลางหยิบเข็มตราทองคำออกมาช้าๆ แล้วติดไว้กับอก เด็กหนุ่มส่งยิ้มให้ทหารผู้นั้น
ทหารนายนั้นยังยิ้มแบบเดิม สายตาที่มองตรานั้นคราแรกยังดูแคลนยิ่ง ทว่าแวบต่อมาก็จับต้นชนปลายได้ เขาหน้าเปลี่ยนสี รอยยิ้มนั้นหายไป สีหน้าค่อยๆ จริงจังขึ้นมา
บัณฑิตที่นั่งข้างทหารจมูกเยี่ยวได้เห็นแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน หลังผ่านพ้นความงงงันมาก็คิดบางอย่างได้ รีบกระซิบเสียงเบาข้างหูบุรุษจมูกงุ้ม
ทหารจมูกเหยี่ยวผู้นั้นคือหัวหน้าของทั้งสองคน ตำแหน่งสูงที่สุด
เขาเอาแต่เคล้าคลอนารีสองนางซ้ายขวาไม่ขาด ปากกระดกเหล้าไม่ก็กินสารพัดอาหาร หยอกเย้าจนเกินสมควร ั้แ่ต้นยันจบไม่เคยชำเลืองมองเ่ิู กระทั่งลัวจิ้นก็มิได้อยู่ในสายตาเลย อากัปกิริยาประหนึ่งผู้อยู่สูงกว่า ราวกับว่าแค่เขาปรากฏตัวที่นี่ก็เป็พระคุณต่อหมู่ชนในชั้นสามนี้มากมายแล้ว
ทว่าเมื่อฟังคำบัณฑิตจบลง เขาก็เงยหน้าขึ้นมาจนได้
แววตาวาววับราวกับดาบจ้องเ่ิูไม่คลาด หลังจากนั้นก็เลื่อนไปที่เข็มตราทองคำประหลาดพลิกกลับไปมาเบาๆ เริงร่ากับแสงแดดแล้ว ในพริบตาก็คิ้วกระตุกหนึบ เขายืนขึ้นทันใดแล้วโบกมือสั่ง “พวกเรากลับ!”
ว่าจบแล้วก็เดินลงบันไดพร้อมสองคนสนิทและนักรบด้านหลังอีกสิบนาย
การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนทั้งนั้น
อารมณ์พึงใจบนใบหน้าลัวจิ้นค้างเติ่ง นอกจากความตะลึงและงงงันแล้ว แววตาก็ยังอลหม่านนักด้วย
“นายกองอวี้ พวกท่าน...นี่...” ลัวจิ้นชักเข้า่โกลาหล อยากจะเรียกคนพวกนั้นกลับคืนมา
ที่แท้นายทหารจมูกเหยี่ยวผู้นั้นแซ่อวี้ นามอวี้ลัวเชิ่ง เป็นายกองพลตรวจตราและรักษาการเมืองลำดับหนึ่งในสังกัดกองพลเฉิงเป่ย เป็ทหารยศระดับกลาง
อวี้ลัวเชิ่งหันหน้ากลับมาหาลัวจิ้นคราวหนึ่ง เขาส่ายหน้าเล็กน้อย เดินจากไปในพริบตาโดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
บรรดาองครักษ์ข้ารับใช้ทั้งหลายที่ล้อมรอบ ได้ยินได้ฟังมาโดยตลอดเห็นสถานการณ์แล้วก็มองตากันเลิ่กลั่ก ทว่าท้ายสุดก็ไม่กล้าขวางทางอวี้ลัวเชิ่ง รีบเก็บอาวุธแล้วหลีกทางให้อย่างพร้อมเพรียง
ฉับพลัน...
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!”
เ่ิูผู้ไม่ปริปากใดๆ พลันว่าขึ้นมา
กายอวี้ลัวเชิ่งพลันแข็งเล็กน้อย เขาหันกายหลับมาจ้องมองเ่ิู
เ่ิูไม่มีแม้เศษเสี้ยวความกลัวต่อแววตาเหมือนจะกินเืกินเนื้อนั้นเลย เขาเพียงเอ่ยแ่เบา “ไม่ใช่บอกว่าจะจับข้ากลับไปคุกสอบสวนหรอกหรือ? ไฉนจะกลับไปเสียดื้อๆ เล่า?”
ทหารหนุ่มที่เมื่อครู่กล้าเอ่ยคำบ้าบิ่นบัดนี้หน้าแดงก่ำเหมือนตับหมู ทั้งร้อนรนและเกลียดชัง เขากัดฟันจะพูดแต่บัณฑิตก็รีบดึงไว้ก่อน
“มิน่าเล่ากระทั่งใต้เท้าติงข่ายเสวียนที่เป็ชนชั้นสูงศักดิ์ยังยินยอมออกจากคฤหาสน์ด้วยมิตรจิตมิตรใจ ที่แท้ตระกูลเย่ก็สืบทอดเข็มตราทองคำแห่งวีรบุรุษมาจริงๆ ท่านเย่ ครานี้พวกข้ามุทะลุเอง เื่ของตระกูลเย่ ตัวข้านี้จักไม่ไปแทรกแซงอีกแล้ว ท่านเย่จัดการเองได้เลยนะขอรับ! หลังจากนี้ภัตตาคารนี้ นายกองอวี้และข้าเป็ต้นจักดูแลให้เป็พิเศษเลยขอรับ”
บัณฑิตกลางคนยกมือเคารพด้วยรอยยิ้ม
ทว่าในใจนั้นเล่า อยากจะก่นด่าไปยันมารดาจริงแท้
ติงข่ายเสวียนเ้าแก่กะโหลก มิน่าเล่าถึงไม่ยอมออกโรงด้วยตัวเอง ถูกยึดคฤหาสน์ที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรง แล้วไยไม่กล้าลงมือแก้แค้น หนำซ้ำยังขลุกบุ่มบ่ามอยู่แต่กับบ้านเก่า ที่แท้ก็เป็เพราะเข็มตราดวงนี้เอง
เข็มตราการทหารดวงนี้ มีสถานะในแคว้นเสวี่ยมิใช่น้อยนิดเลย
ผู้ใดติดมันอยู่กับตัว ขอเพียงมีหลักฐานว่าสืบทอดมาโดยชอบ จะมีฐานันดรเทียบเท่าชนชั้นสูง เห็นราชรถกษัตริย์ไม่จำเป็ต้องถูกยึดอาวุธ เห็นเ้าหน้าที่เมืองใดไม่ต้องก้มหัว และยังมีสิทธิพิเศษมากมาย ตำแหน่งสูงล้ำ แม้จะทำผิดบริบทกฎหมายก็จะไม่ได้ไต่สวนตามธรรมเนียมทั่วไป ต้องมีการตัดสินจากสมาชิกราชวงศ์ในอาณาจักรเสวี่ยก่อนจึงจะกระทำได้
ตัวอย่างเช่นเ้าอ้วนจินนั่น ปากด่าว่าเ่ิูผู้เข็มตราว่าต่ำช้าบ้าง สวะบ้าง มีความผิดเท่ากับด่าว่าชนชั้นสูงหรือลบหลู่กษัตริย์ ลำพังแค่ศักดิ์พ่อค้าเล็กๆ ไม่มีสถานะใดทั้งสิ้น การกระทำผิดเช่นนี้โดยกฎหมายแล้วต้องตัดลิ้นและเนรเทศ ดังนั้นการถูกโยนทิ้งลงให้ตายข้างถนน อาจเป็เื่ดีสำหรับเขาแล้วก็ได้
ความผิดของเ้าอ้วนจินสมควรตายหมื่นครั้ง ดังนั้นเ่ิูที่ลงมือฆ่าเขา ไม่มีซึ่งความผิด คุกสอบสวนของเฉิงเป่ยจะพาเ่ิูไปไต่สวนถือเป็เื่ตลกสิ้นดี แม้แต่ใต้เท้าผู้แม่ทัพหรือหัวหน้าคุกเองก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยว
ที่บัณฑิตอยากด่าสาดไปถึงมารดานั้นคือติงข่ายเสวียนและพรรคพวก รู้อยู่แก่ใจแท้ๆ ว่าเ่ิูมีเข็มตรา แต่ก็ยังอุบไม่บอกตนกับอวี้ลัวเชิ่ง พวกตนสามคนถูกหลอกใช้เหมือนคนโง่ ผลเป็อย่างไรเล่า พวกเขาต้องมาพัวพันกับเื่ยุ่งเหยิง เสียหน้าตาไม่เหลือชิ้นดี
หนำซ้ำยังทำผิดต่อเ่ิูด้วย