ฮองเฮาซึ่งมีนางกำนัลติดตามอยู่ข้างกายเดินไปทางห้องอาหารด้วยท่าทางสง่างามและใจกว้าง โดยมีมู่จื่อหลิงกับหลงเซี่ยวเจ๋อเดินตามอยู่ด้านหลัง
แผ่นหลังที่เหยียดตรงของฮองเฮาดูไม่มีอะไรผิดปกติ แต่จากสายตาของสองคนข้างหลังแล้ว...แผ่นหลังเช่นนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ต่างไปจากไก่ที่พ่ายแพ้ [1] จนแทบจะอดไม่ไหวที่จะไปขุดมันขึ้นมา
ยามมองดูแผ่นหลังที่สง่างามแต่กลับหดหู่ หลงเซี่ยวเจ๋อนึกไม่ออกว่าเขาภูมิใจมากเพียงใด
หญิงเกือบทั้งหมดในวังที่หลงเซี่ยวเจ๋อไม่ชอบล้วนได้รับการจัดการจากเขาแล้ว เหลือเพียงฮองเฮาเท่านั้น...ด้วยผู้หญิงคนนี้โเี้เกินไป จนเขาไม่มีโอกาสเริ่มเข้าโจมตี
วันนี้ต้องขอบคุณมู่จื่อหลิง ในที่สุดหลงเซี่ยวเจ๋อก็ได้รับชัยชนะด้วยวาจาแล้ว เมื่อคิดถึงมัน เขาก็รู้สึกถึงความสำเร็จเป็พิเศษ
เนื่องจากฮองเฮาไม่ใช่คนธรรมดา คำพูดไร้สาระเ่าั้จึงไม่สามารถพูดออกไปได้
แต่วันนี้กลับสร้างความเสียหายให้กับฮองเฮาได้แล้ว เขามีความสุขที่ได้คิดถึงเื่นี้
ดูเหมือนว่าในวันหน้าเขาจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมจากพี่สะใภ้สามว่าควรจะปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร หลงเซี่ยวเจ๋อทำการคำนวณเล็กน้อยในใจของเขาอย่างเงียบๆ
หลงเซี่ยวเจ๋อเดินไปใกล้มู่จื่อหลิง แล้วพูดด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงพวกเขาสองคน ทั้งยังดูเหมือนจะสนใจมาก “พี่สะใภ้สาม บอกข้าก่อนได้ไหม อีกสักครู่ท่านวางแผนจะทำสิ่งใด? ข้าอยากจะร่วมมือกับท่าน”
มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุกยิ้ม “อีกสักครู่เราจะไม่ทำสิ่งใดเลย เพียงแค่พูดก็พอแล้ว”
“อีกแล้วหรือ ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?” หลงเซี่ยวเจ๋อแสดงออกถึงความไม่เชื่อ
จากมุมมองของหลงเซี่ยวเจ๋อ สิ่งนี้คือวาจา และมันไม่ต่างจากเมื่อครู่นี้ ที่ต้องหาคำพูดที่ทำให้ฮองเฮากระอัก
แต่นี่ไม่มีความสุขเลย! สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้สมองคิดอย่างสูญเปล่าเท่านั้น แต่ยังเป็การเปลืองน้ำลายอีกด้วย หากเป็เช่นนี้ มันจะไม่สนุกเลย
ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ระวังจะยิ่งทำให้มารดาแห่งแผ่นดินขุ่นเคืองโดยไม่ได้ตั้งใจ และจะทำให้จบเื่นี้ได้ยาก ทั้งยังทำให้ไม่สามารถกินและเดินไปไหนได้เลย
“ง่ายๆ เพียงเท่านี้เอง ข้ามีหน้าที่คุยกับฮองเฮา ส่วนเ้ามีหน้าที่กิน เ้ากินให้มาก ไม่ต้องห่วงอะไร” มู่จื่อหลิงเลียนแบบหลงเซี่ยวเจ๋อทั้งท่าทางและการพูดอย่างมั่นใจ
ใช้แค่วาจาก็ใช้แค่วาจา แต่หลงเซี่ยวเจ๋อกลับโบกมือเบาๆ ด้วยรู้สึกว่ามันไม่คุ้มที่จะทำ ทั้งยังสูดลมหายใจอย่างแรง “ชิ ข้าจะไม่กินมัน หากข้าถูกวางยาพิษจนต้องตกตายในภายหลังเล่า?”
สุดท้ายก็ไม่ลืมที่จะจ้องไปยังมู่จื่อหลิง และพูดอย่างจริงจังว่า “พี่สะใภ้สาม ท่านก็อย่ากินนะ หากกินเข้าไปแล้วท้องเสีย ข้าจะไม่รับผิดชอบในการพาท่านกลับไป”
เนื่องจากฮองเฮาทรงขอให้พวกเขาอยู่ต่อเพื่อรับประทานอาหารเย็น จะต้องมีการสมคบคิดบางอย่างเป็แน่ และคราวนี้พวกเขาก็เกือบจะเข้าไปในถ้ำเสือแล้ว พวกเขาจะรอถูกเคี้ยวลงท้องอย่างโง่เขลาได้อย่างไร
เมื่อเห็นท่าทางที่ดูจริงจังของหลงเซี่ยวเจ๋อ มู่จื่อหลิงก็เกือบจะหัวเราะออกมา เด็กโง่ผู้นี้ช่างพูดจาตรงไปตรงมา
กินแล้วจะท้องเสียหรือ? เด็กไร้เดียงสาผู้นี้คิดว่าฮองเฮาโง่เขลาถึงขั้นที่กล้าวางยาพิษอย่างโจ่งแจ้ง หรือคิดว่านางโง่พอที่จะทานอาหารมีพิษกันแน่
“ถ้าเ้ากลัวความตายถึงเพียงนั้น แสดงว่าเ้ายังเป็เพียงคนไร้ความสามารถที่ไม่คิดจะทำสิ่งใด” มู่จื่อหลิงกล่าวอย่างโกรธเคือง
เมื่อนึกถึงท่าทางดุร้ายของชายผู้นี้ยามที่ยึดเสาไว้แน่นเมื่อครู่นี้ ทั้งยังปฏิเสธที่จะจากไปด้วยท่าทางของเด็กเอาแต่ใจ มู่จื่อหลิงก็ยังรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
แต่มู่จื่อหลิงไม่ทราบว่าพฤติกรรมเอาแต่ใจของหลงเซี่ยวเจ๋อนั้น ล้วนเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้หลายครั้งแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้เหวินอิ้นก็ไม่แม้แต่จะเอาผิดเขา
หลงเซี่ยวเจ๋อเม้มริมฝีปากสีแดงของตน ก่อนพูดอย่างมั่นใจ “ไม่ใช่ว่าท่าน้าให้ข้ามารับชมเื่สนุกหรือ? ข้าจะทรยศต่อความเมตตาของท่านได้อย่างไร”
“เช่นนั้นยามนี้ข้าเสียใจแล้ว เ้าออกไปได้แล้ว” มู่จื่อหลิงมองเขาด้วยความโกรธ
เหตุใดชายผู้นี้จึงเย่อหยิ่งราวกับว่านางขอร้องให้เขามา
หลงเซี่ยวเจ๋อพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าไม่ไป วันนี้ฮองเฮาโกรธเคืองจนแทบคลั่งอย่างที่ยากจะพบเจอ ทั้งยังเผยให้เห็นนิสัยที่แท้จริงของนางออกมา ข้าย่อม้าร่วมรับชมเื่สนุก ในวันหน้า คงจะเป็เื่ยากที่จะเห็นนางคลั่งเช่นนี้อีก”
มู่จื่อหลิงแตะคางของตน เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะแย้มยิ้ม แล้วยักไหล่อย่างไร้เดียงสา “ยากไหม?”
ก่อนหน้านี้อาจเป็เื่ยากจริงๆ ที่ฮองเฮาผู้อ่อนโยนและใจดีจะเปิดเผยธาตุแท้ของนาง แต่หลังจากนี้ไป มันอาจไม่เป็เช่นนั้นอีกแล้ว
มู่จื่อหลิงเม้มริมฝีปากแล้วยิ้มออกมาบางๆ เป็รอยยิ้มที่ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นมู่จื่อหลิงยิ้มอย่างมีเจตนาร้าย หลงเซี่ยวเจ๋อก็ยิ่งตั้งตารอมากยิ่งขึ้น
คำว่า ‘การสอนสั่ง’ ที่มู่จื่อหลิงกล่าวกับฮองเฮาไม่นานมานี้ หลงเซี่ยวเจ๋อก็เข้าใจในความหมายของมันเช่นกัน
เขาไม่รู้ว่านอกจากการเติมเชื้อเพลิงข้างหูไทเฮาเฒ่า ณ ตำหนักโซ่วอันแล้ว ยังมียามใดอีกบ้างที่ฮองเฮายั่วยุพี่สะใภ้สามของเขา
ไม่ว่าฮองเฮาจะยั่วยุมู่จื่อหลิงอย่างไร ไม่ว่าอย่างไร ในใจของหลงเซี่ยวเจ๋อ ทั้งมู่จื่อหลิงและหลงเซี่ยวอวี่ล้วนเป็คนมากเล่ห์ไม่ต่างกัน ผู้ที่ยั่วยุพวกเขาคงไม่จบลงด้วยดีเป็แน่
แม้ว่ามู่จื่อหลิงจะบอกว่ามันแสนเรียบง่าย แต่หลงเซี่ยวเจ๋อกลับรู้สึกว่ามันไม่ง่ายถึงเพียงนั้น
หลงเซี่ยวเจ๋อคิดเสมอว่าพี่สะใภ้สามของเขาต้องใช้พิษแปลกๆ มากลั่นแกล้งฮองเฮา
กล่าวได้ว่าความคิดของหลงเซี่ยวเจ๋อเป็ความจริง มู่จื่อหลิงมีพิษแปลกๆ อยู่จริงๆ
แต่หลงเซี่ยวเจ๋อไม่อาจรับรู้ได้
และหลังจากนั้นไม่นาน หลงเซี่ยวเจ๋อยังคงคิดอย่างไร้เดียงสาว่ามู่จื่อหลิงเพียงแค่อาศัยวาจาของตนทำให้ฮองเฮาทรงเชื่อฟังนาง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลงเซี่ยวเจ๋อมีลางสังหรณ์ที่ดีมาก นั่นก็คือ...ฮองเฮาจะต้องพบกับโชคร้าย
-
พูดคุยกระซิบกระซาบกันไปตลอดทาง พวกเขาก็เดินตามฮองเฮาไปถึงห้องอาหาร
แม้ว่าอาหารในวังจะอุดมสมบูรณ์ แต่คราวนี้ฮองเฮาได้จัดเตรียมอาหารไว้อย่างดี ดังนั้นจึงมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าปกติ
อาหารจานอร่อยมากมายวางอยู่เต็มโต๊ะกลมขนาดใหญ่
อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหาร เพียงแค่ชำเลืองมองก็ทำให้นิ้วมือขยับคีบอย่างรวดเร็วได้แล้ว
หลงเซี่ยวเจ๋อกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัวเมื่อเขาเห็นอาหารอร่อยที่มีกลิ่นหอมบนโต๊ะตัวนี้
ก่อนหน้านี้ เขากินขนมสองสามชิ้นเพื่อให้อิ่มท้อง และมันก็อยู่ได้ไม่นานนัก
ในยามนี้ ท้องของเขาจึงกลับมาหิวอีกครั้ง และเมื่อเขาเห็นอาหารบนโต๊ะ ท้องของเขาก็ส่งเสียงดังกึกก้องอย่างให้ความร่วมมือ
เขาไม่รู้ว่าเป็เพราะมีมู่จื่อหลิงอยู่เคียงข้างเขา หรือเป็เพราะหลงเซี่ยวเจ๋อทนหิวมาสองสามวันแล้ว หรือจะเพราะอาหารบนโต๊ะช่างดึงดูดให้น้ำลายไหล หรือจะด้วยเหตุผลอื่น
ใช้เวลาเพียงไม่นาน โดยไม่รอให้ฮองเฮาออกปากพูดสิ่งใด หลงเซี่ยวเจ๋อก็เริ่มการเคลื่อนไหวของตะเกียบที่ใช้คีบอาหารทันที
พี่สะใภ้สามบอกว่าเขามีหน้าที่กินเท่านั้น ดังนั้นเขาจะรับผิดชอบในการกินให้ดีและกินอย่างจริงจัง หลงเซี่ยวเจ๋อคิดกับตนเอง แล้วรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุก หลงเซี่ยวเจ๋อผู้นี้ช่างไม่เอาการเอางานเลยจริงๆ ทำดีได้เพียงพูดพร่ำเท่านั้น การกระทำยังคงน่าขนลุกเหมือนเคย
คนผู้นี้ที่พูดออกมาตามตรงว่ากลัวโดนวางยาพิษจนตาย ยามนี้เมื่อได้เห็นอาหารอันโอชะ ยังไม่ทันได้ทดสอบพิษก็ตื่นเต้นจนะโเข้าไปในทันที
แต่...อาหารเหล่านี้
มู่จื่อหลิงมองดูอาหารอันตระการตาที่วางอยู่บนโต๊ะ ต้องขอยกนิ้วให้ฮองเฮาอีกครั้งในใจ น่าเสียดายที่นางมีความเฉลียวฉลาดพอ
มู่จื่อหลิงหันความสนใจไปที่หลงเซี่ยวเจ๋อ ซึ่งกำลังกินและดื่มอยู่
ั์ตาใสดั่งน้ำพุเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ...กินไปเถอะ หลังจากรับประทานอาหารแล้วเ้าจะต้องทุกข์ทรมาน
นิสัยหยาบคายของหลงเซี่ยวเจ๋อดูเหมือนจะมีมาแต่กำเนิด และดูเหมือนว่าทุกคนในวังจะคุ้นเคยกับมัน
ตัวอย่างเช่น ฮองเฮาในยามนี้ ที่หลงเซี่ยวเจ๋อหยาบคายเป็อย่างมากต่อหน้านาง นางก็ไม่ได้พูดอะไร นางเพียงเหลือบมองหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างดูถูกจากมุมที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น
จากหางตาของฮองเฮา นางเห็นว่ามู่จื่อหลิงไม่ได้ขยับตะเกียบของนาง นางยกริมฝีปากจนกลายเป็รอยยิ้มจางๆ ถามอย่างมีเมตตา “หลิงเอ๋อร์ เป็อะไรไป? อาหารเหล่านี้ไม่ถูกใจเ้าหรือ?”
ใช้กลวิธีซ้ำซากเช่นนี้อีกแล้ว เ้าไม่สามารถคิดวิธีการใหม่ๆ ได้เลยหรือ? มู่จื่อหลิงส่ายหัวเบาๆ จนแทบมองไม่เห็น แล้วทอดถอนใจอยู่ภายใน
ในสถานการณ์นี้ หากนางไม่ให้ความร่วมมืออย่างดีในครั้งนี้ นางจะคู่ควรกับการทำงานหนักทั้งสองครั้งของฮองเฮาได้อย่างไร
และในวันหน้าฮองเฮาจะไม่มีโอกาสได้แสดงเจตนาดีต่อนางเช่นนี้อีกแล้ว
มู่จื่อหลิงเหลือบมองปลาตัวใหญ่และเนื้อบนโต๊ะอย่างแ่เบา พยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “เสด็จแม่ สำหรับมื้อเย็น หลิงเอ๋อร์ชอบทานอาหารเบาๆ”
ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะพูดจบ ฮองเฮาได้แสดงท่าทางด้วยสายตาเพื่อสั่งให้ชิวเหลียนซึ่งอยู่ข้างกายนางนำชามน้ำแกงเมล็ดบัวจากโต๊ะเล็กด้านข้างเข้ามา
ฮองเฮายิ้มและกล่าวว่า “น้ำแกงเมล็ดบัวนี้รสชาติดี ข้าต้องกินมันทุกวันถึงจะหลับได้อย่างสงบ เ้าลองลิ้มรสมันดู”
การเยาะเย้ยอย่างเ้าเล่ห์แวบเข้ามาในดวงตาของมู่จื่อหลิง และนางก็มีความสุขมากขึ้น
ลิ้มรส เช่นนั้นก็คงต้องลองลิ้มรสดูสักครา
มู่จื่อหลิงเหลือบมองไปที่น้ำแกงเมล็ดบัวที่อยู่ข้างหน้านาง จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็สดใสขึ้น “เสด็จแม่ทรงใส่ใจแล้ว หลิงเอ๋อร์อยากกินน้ำแกงเมล็ดบัวเพื่อช่วยให้สบายท้องอยู่พอดี”
ในยามนี้ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่ายามที่นำน้ำแกงเมล็ดบัวมามอบให้มู่จื่อหลิง ได้มีลิ้นสีแดงเรียวยาวยื่นออกมาจากแขนเสื้อของนาง มันเคลื่อนไหวตามแขนของมู่จื่อหลิงแล้วยื่นเข้าไปในชาม
มู่จื่อหลิงจะแสร้งทำเป็ว่าวันนี้นางต้องดื่มน้ำแกงเมล็ดบัวชามนี้ ฮองเฮาเห็นว่ามู่จื่อหลิงเชื่อฟังมาก ‘ช่างไร้เดียงสาจริงๆ’ นางลอบเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ
หลงเซี่ยวเจ๋อเห็นว่าฮองเฮาได้เตรียมน้ำแกงเมล็ดบัวไว้เป็พิเศษสำหรับมู่จื่อหลิง เขาก็แอบร้องในใจ
“ข้าก็อยากทานน้ำแกงเมล็ดบัวเช่นกัน พี่สะใภ้สามเหตุใดท่านไม่มอบน้ำแกงชามนั้นให้ข้าเล่า” หลงเซี่ยวเจ๋อพูดแล้วก็ยื่นมือออกไปหยิบมันขึ้นมา
‘เพียะ!' มู่จื่อหลิงหยิบตะเกียบออกมาอย่างเคร่งขรึมแล้วเคาะมือหมูเค็ม [2] อย่างจริงจัง พลางขยิบตาให้หลงเซี่ยวเจ๋อ
นางจ้องไปที่หลงเซี่ยวเจ๋อ แล้วแสร้งทำเป็ไม่พอใจ “เสด็จแม่เตรียมมาเพียงชามเดียว หากเ้ากินมัน แล้วข้าจะกินอะไร?”
หลงเซี่ยวเจ๋อย่อมรับรู้ได้ถึงสายตาของมู่จื่อหลิง แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าพี่สะใภ้สามกำลังเล่นอะไร
แต่อย่างที่เป็อยู่ในยามนี้ จะต้องมีบางอย่างผิดปกติกับน้ำแกงเมล็ดบัวชามนี้เป็แน่ หลงเซี่ยวเจ๋อยังคงกังวลเล็กน้อย แต่ก็ไม่อยากที่จะยอมแพ้
เขาชักมือออกด้วยความเศร้าใจ และพูดอย่างแ่เบาว่า “ข้าอยากกิน”
“น้ำผึ้งหวานกว่าน้ำแกงเมล็ดบัว อยากกินหรือไม่?” มู่จื่อหลิงหันหลังให้ฮองเฮา แล้วกัดฟันถามหลงเซี่ยวเจ๋อ ในใจรู้สึกไม่พอใจเป็อย่างมาก คนผู้นี้อยากทำให้เสียเื่หรือ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลงเซี่ยวเจ๋อก็เปลี่ยนเป็เชื่อฟัง
หลงเซี่ยวเจ๋อแสดงท่าทางหมดหนทาง ไม่ว่าพี่สะใภ้สามจะว่าอย่างไรก็เอาตามนั้นเถอะ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาจริงๆ เพียงแค่ต้องสู้กันอย่างมัจฉาตายตาข่ายขาด [3] กับฮองเฮาแล้ว
ไม่ว่าจะเป็การพูดคุยโดยเจตนาหรือการทะเลาะวิวาทโดยไม่ได้ตั้งใจระหว่างมู่จื่อหลิงกับหลงเซี่ยวเจ๋อ ฮองเฮาก็ทำเพียงเฝ้าดูอย่างเงียบๆ
มีเพียงมุมปากของนางเท่านั้นที่กระตุกเป็รอยยิ้มรู้ทันในความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้...
ฮองเฮาไม่เข้าใจเจตนาของมู่จื่อหลิง แต่น้ำแกงเมล็ดบัวมีเพียงหนึ่งชามจริงๆ และเหลือเพียงชามเดียวเท่านั้น
แม้ว่ามู่จื่อหลิงจะมอบมันให้ก็ตาม นางก็ไม่ยอม แม้ว่ายายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้จะมีการดีดลูกคิดคำนวณอยู่ในใจ แต่แล้วอย่างไร?
นางอยากเห็นว่ายามอยู่ในที่ของนาง ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้จะสามารถเล่นกลอะไรได้อีก ฮองเฮาเยาะเย้ยอยู่ในใจ
แต่คำพูดต่อไปของมู่จื่อหลิง กลับเหมือนเป็การกระแทกศีรษะของฮองเฮาอย่างแรง
มู่จื่อหลิงตักน้ำแกงเมล็ดบัวในชามอย่างสบายๆ และถามอย่างไม่เร่งรีบว่า “ใช่แล้ว เสด็จแม่ เหตุใดวันนี้ไม่เห็นซุนมามาเลย ปกติแล้วซุนมามามักจะอยู่ข้างท่านเสมอไม่ใช่หรือ”
ขณะพูด ลิ้นยาวเล็กๆ บนแขนของนางก็ได้เคลื่อนไหวไปยังฝ่ามือของนางอย่างอ่อนโยน ก่อนที่มือของมู่จื่อหลิงจะหยุดนิ่ง มุมปากของนางก็กระตุกน้อยๆ จนมองไม่เห็น
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ไก่ที่พ่ายแพ้ (落败的公鸡) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่าท้อแท้ เฉื่อยชา
[2] มือหมูเค็ม (咸猪手) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่ามือที่ชอบใช้ในการฉวยโอกาส ส่วนมากจะสื่อไปในทางคนลามก เทียบคำไทยจะใกล้เคียงกับคำว่า มือปลาหมึก
[3] มัจฉาตายตาข่ายขาด (鱼死网破) เป็สำนวน มีความหมายว่า ต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้