เขากดมือไว้ที่หว่างคิ้วของนาง พลังิญญาถูกดึงออกมาจากปลายนิ้วอย่างไม่ขาดสาย แต่ไม่ว่าอย่างไรกลับต้านทานไม่ได้ ความเร็วของหินกลืนิญญาที่กลืนกินิญญาดูเหมือนจะไม่ช้าลงมากนัก เขาจึงได้รู้ว่านางไม่เพียงกลืนหินกลืนิญญาไปเท่านั้น ทว่าหินกลืนิญญาที่กลืนลงไปมีระดับสูง เพียงไม่นานิญญาของนางจะถูกสลายไปจนสิ้น เช่นนั้นเวลาที่นางกลืนหินกลืนิญญาก่อนนี้ลงไปอาจไม่นานเกินไป มีความเป็ไปได้ว่ากลืนมันลับหลังเขายามที่ตนเพิ่งออกจากวิหารหลักเพื่อสำรวจสถานการณ์ข้างนอกเพียงชั่วครู่
“ทำไม? ทำไมเล่า อิ๋งเอ๋อร์” ฉิงชางจวินเคลื่อนไหวด้วยเคล็ดวิชาเพื่อต่อต้านอย่างแข็งกร้าว ดวงตาเ็ปเริ่มเลือนราง ถามด้วยเสียงสั่นเครือ “ทำไมเ้าถึงต้องเด็ดขาดเช่นนี้ เ้ายังเกลียดข้าใช่หรือไม่?”
สวีอี่ซินยื่นมือมาจับนิ้วของเขาที่กดหว่างคิ้วของนาง เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “ไม่มีประโยชน์ ไม่จำเป็ต้อง...สิ้นเปลืองพลังิญญาอีกต่อไป”
นางขมวดคิ้วด้วยความเ็ป สำลักออกมาเพราะหายใจไม่ออก กระอักเืสดออกมาเต็มปาก เนื่องจากเจียงเฉิงเยว่อยู่ใกล้นาง ใบหน้าครึ่งหนึ่งจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตที่นางสำลักออกมา จุดพร่างพราวสีแดงสดบดบังใบหน้าหล่อเหลาของเขา หลังจากสวีอี่ซินกระอักเืออกมาไม่หยุด เืสดในลำคอราวกับน้ำท่วมที่ถูกเปิดประตูระบายน้ำ พวยพุ่งออกมาคำใหญ่จากมุมปากไหลลงไปตามแก้มที่ขาวใสราวกับน้ำตก ไหลลงไปสู่ท้ายทอย ทำให้เส้นผมกับปกเสื้อ แม้กระทั่งส่วนหน้าของเสื้อผ้ายังเปื้อน
ฉิงชางจวินไม่ได้ทำอะไรไม่ถูกอย่างไร้หนทางเช่นนี้มานานแล้ว เขา้าร่ายเคล็ดวิชาต่อไป ทั้งยัง้าเช็ดเืจากมุมปากของนาง แต่ปลายนิ้วกลับถูกนางจับไว้แน่นอยู่ในฝ่ามือ เขาหันไปมองโต๊ะเตี้ยด้านล่าง กาสุราเอียงหล่นลงมา ถ้วยใบนั้นของนางรอดจากอุบัติเหตุและยังวางไว้อย่างดี เขาจึงกลับมามองนางอย่างเหม่อลอย เริ่มเข้าใจขึ้นมา “สุรา...สุรามีพิษ? สุรามีพิษด้วยหรือ?”
ทำไมกัน?
แม้ว่าเขาจะไม่รักนาง แม้ว่าหยวนฝานเป้ยจะเสียชีวิตแล้ว แม้ว่ากองทัพจะพ่ายแพ้จนถูกปิดล้อมเมืองยง นางก็ไม่จำเป็ต้องเด็ดขาดเช่นนี้ ถึงกับไม่เลือกทางถอยให้ตนเองแม้เพียงนิด
เจียงเฉิงเยว่นึกถึงกระต่ายตัวหนึ่งที่เขาเลี้ยงเมื่อยังเยาว์วัย ยามเด็กเขาเองเคยเป็เด็กเกเรผู้หนึ่ง กระต่ายตัวนั้นเป็กระต่ายป่าที่เขาจับมา มีขนปุกปุยและน่ารักมากจึงเลี้ยงไว้ในกรงปิด ทว่าไม่ว่าเขาจะใช้ผักหรือหญ้าอ่อนที่สดมากแค่ไหนป้อน กระต่ายกลับไม่ยอมกิน สุดท้ายตายอยู่ในมือของเจียงเฉิงเยว่่วัยเด็กที่ดวงตาพร่ามัวและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
เขาคิดว่าที่นางต้องทำเช่นนี้เป็เพราะเกลียดชังเขาอย่างที่คาด นี่เป็หินกลืนิญญาระดับสูง และพิษในสุราก็บริสุทธิ์ที่สุดเช่นเดียวกัน สิ่งที่นางร้องขอคือ่เวลาสุดท้ายที่ใสสะอาดเช่นนี้ ตัดความเป็ไปได้ที่จะได้รับการช่วยเหลือใด ทั้งสองอย่างล้วนส่งผลด้วยความรวดเร็ว นางอาจตั้งใจรอให้เขามา จงใจปลิดชีวิตต่อหน้าเขา
นอกจากความเกลียดชังแล้ว เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมนางถึงทำเช่นนี้? อย่างไรก็ตาม เขาคิดมานานแล้วว่าการที่นางเกลียดชังเขานั้นย่อมสมควร
หลังจากกระอักเืสวีอี่ซินค่อยๆ ไร้การตอบสนอง เจียงเฉิงเยว่กอดร่างของนางที่ค่อยๆ แข็งเข้ามาในอ้อมแขน มองผ่านช่องหน้าต่างออกไปไกลด้วยความสิ้นหวัง ขณะนี้ความรู้สึกผิดกล่าวโทษตนเองแทบจะรัดคอ
สวีอี่ซินในอ้อมแขนยื่นมือออกด้วยความยากลำบาก ้าััใบหน้าของเขาราวกับว่าอยากเช็ดใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบเืของนาง แต่เมื่อยกมือขึ้นมา อาการสั่นกลับยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าแรงเฮือกสุดท้ายกำลังจะหมดลงแล้ว
เจียงเฉิงเยว่รีบก้มศีรษะลง ใบหน้าแนบกับมือของนาง เขาจับแขนของนางแล้วให้ฝ่ามือนั้นแนบไปตามใบหน้าของตนเอง
เสียงของนางเบาจนแทบไม่ได้ยินด้วยความอ่อนแรง “พี่ใหญ่ ท่านกับข้ารู้จักกัน...มาสองชาติ แต่ข้ากลับ...ไม่รู้ชื่อจริงของท่านเลยด้วยซ้ำ”
เจียงเฉิงเยว่รีบตอบ “เฉิงเยว่ ชื่อจริงของข้าคือเจียงเฉิงเยว่”
อิ๋งเอ๋อร์เผยรอยยิ้มน้อย “เฉิงเยว่...ช่างเป็...ชื่อที่ดีจริงเชียว...”
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกว่าฝ่ามือบนแก้มของตนเองคลายออกจึงรีบจับไว้อย่างแรง จากนั้นมองรอยยิ้มน้อยครั้งสุดท้ายบนใบหน้าของนางที่เบ่งบานอย่างสง่างามราวกับดอกถานฮวา[1] ทั้งค่อยๆ จางหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง ดวงตาคู่งามของนางที่ใสราวกับแก้วส่องแสงประกายสุดท้าย สายตาพร่ามัวลงอย่างช้าๆ ม่านตาสูญเสียจุดรวมแสง สุดท้ายพลันสูญเสียความเป็ประกายเฉกเช่นในอดีต ราวกับกลายเป็เครื่องประดับที่ไร้พลังชีวิตบนใบหน้าที่งดงาม
บนข้อมือของนางที่เขาจับไว้ยังคงมีเครื่องหมายจากชาติก่อน สีแดงสดที่ราวกับนกหรือสัตว์ร้าย พลังิญญาแทรกซึมเข้าไปตามร่างกายของนาง รับรู้ได้ว่าิญญาของนางกำลังสลายไปพร้อมกับหินกลืนิญญาระดับสูง เจียงเฉิงเยว่ก้มศีรษะมองมือของนางที่ถูกกุมไว้ในฝ่ามือของตนเองซึ่งขาวราวหิมะอย่างเสมอกัน เล็บที่ตัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้านนั้นคล้ายกับกลีบดอกอิงฮวา[2] ที่ไร้สีสัน ชาติที่แล้วนางใช้สองมือเล็กที่ผอมและหมองคล้ำในวัยเด็กแต่กลับเต็มไปด้วยความหนักแน่น เก็บเถ้ากระดูกซึ่งกรำแดดโดยไร้ผู้คนมาเก็บศพอย่างอ่อนโยนและระมัดระวัง ช่วยใส่เข้าไปในหลุมฝังศพตื้นๆ ที่นางพยายามขุดด้วยมือเล็กทั้งสองข้าง ใช้ดินเหลืองกลบฝังกระดูกของเขาอย่างระมัดระวัง
นางถามเขาว่าจะมีผู้ใดมาตามหาเขาหรือไม่ เมื่อได้รับคำปฏิเสธกลับพูดกับเขาอีกว่า ‘หากพี่ใหญ่ไม่ถือสา อิ๋งเอ๋อร์จะเซ่นไหว้พี่ใหญ่ในฐานะคนในครอบครัว โขกศีรษะให้พี่ใหญ่สักครั้ง’
แม้จะผ่านไปเกือบร้อยปี แต่ถ้อยคำนั้นกลับยังคงก้องอยู่ในหู
เจียงเฉิงเยว่ปิดเปลือกตาให้นางอย่างแ่เบา ทั้งกอดนางไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง “ข้าขอโทษ”
เขากอดนางเอาไว้เช่นนี้จนกระทั่งร่างกายที่ยังเหลือความอบอุ่นของนางเย็นลงอย่างเชื่องช้า
.............................
ทันใดนั้น มีเสียงเคาะประตูในห้องด้านในที่ปิดแน่นดังแว่วมา องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกกล่าวรั้งเอาไว้ “ฝ่าา! พระชายาทรงมีรับสั่ง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไป...รวมทั้งพระองค์ด้วย!”
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยด้วยเสียงทุ้มอย่างจริงจัง “ข้าจะดูว่าใครบังอาจขวางข้า! ต้องสังหารโดยไม่ละเว้น!”
“ฝ่าา...นี่...”
เด็กหนุ่มคนนั้นะโไปโดยรอบอีกครั้ง “พวกเ้ารออะไรอยู่? ลากพวกเขาออกไป!”
หลังจากนั้นเสียงการต่อสู้ดังขึ้น เพียงไม่นานเสียงฝีเท้าช่างเร่งรีบและวุ่นวายนัก ฝีเท้านั้นมาจากที่ไกล เ้าของฝีเท้ายังไม่ลืมถอยห่างไปประมาณหนึ่งแล้วกล่าว “รักษาการณ์อยู่นอกประตู ไม่ให้ผู้ใดเข้าไปโดยปราศจากความประสงค์ของข้า!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เจียงเฉิงเยว่ไม่ได้สนใจ เด็กหนุ่มผู้นั้นรีบเข้ามาในห้องด้านใน ทว่าหลังจากเห็นเหตุการณ์ตรงหน้ากลับตกตะลึงพลางรีบะโ “เ้า! เ้าเป็ใคร?! นั่นคือ...” เขาหวาดผวาอย่างหนัก ทันใดนั้นกลับพุ่งตัวออกจากห้องแล้วะโเสียงดัง “ใครก็ได้! มา...” อย่างไรก็ตาม เขาเพิ่งวิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าว ฝีเท้ากลับช้าลง แม้แต่เสียงยังลดลงไปด้วย
เด็กหนุ่มยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิมอย่างเงียบงัน ค่อยๆ หันกลับมามองเจียงเฉิงเยว่ด้วยสีหน้าจริงจัง ทั้งยังมองไปที่คนที่เขาโอบกอดไว้ในมือ ริมฝีปากสั่นสะท้านขึ้นมา ผ่านไปนาน ดวงตาทั้งสองของเขาแดงก่ำพร้อมกับถามด้วยเสียงทุ้มอย่างสั่นเครือ “ใต้เท้า...หรือว่าเป็ฉิงชางจวิน?”
เจียงเฉิงเยว่เงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า เด็กหนุ่มผิวขาวร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วกับดวงตาดูคุ้นเคยอยู่หลายส่วน เขาเดาตัวตนของผู้ที่มาได้แล้ว
หยวนรั่วเซี่ยนจ้องสวีอี่ซินที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา พูดอย่างสะอึกสะอื้น “เสด็จแม่ นาง...”
ทั้งสองฝ่ายเงียบเป็เวลานาน จากนั้นเจียงเฉิงเยว่เอ่ยด้วยเสียงทุ้ม “นางจากไปแล้ว”
หยวนรั่วเซี่ยนค่อยๆ หลับตาลง น้ำตาอุ่นร้อนสองสายไหลลงมา เขาเดินเข้ามาอย่างทุลักทุเลสองสามก้าว ‘ฟุ่บ’ แล้วคุกเข่าลงข้างศพมารดา ทั้งร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย หลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน เมื่อผู้เป็ที่รักจากไป น้ำตาของเขาไม่สามารถหยุดไหลได้ ไม่ต้องกล่าวถึงการเลี้ยงดูที่เขาได้รับมาั้แ่ยังเด็ก ไม่มีการทุบหน้าอกและเท้าเพื่อร้องไห้คร่ำครวญ เพียงก้มหน้าและสะอึกสะอื้นอย่างแ่เบาอยู่สักพัก
เจียงเฉิงเยว่ปล่อยให้เขาระบายเป็เวลานาน จากนั้นหยุดร้องไห้อย่างช้าๆ พลางเช็ดหน้าเช็ดตา ใบหน้าที่หล่อเหลาเผยความเฉื่อยชาออกมาหลายส่วน หากคิดดูแล้วั้แ่พวกเขาถูกปิดล้อมเมืองยงมานานหลายวันเช่นนี้ ความจริงแล้วหยวนรั่วเซี่ยนเองก็คาดเดาไว้นานแล้วว่าเขากับมารดาไม่อาจหลีกเลี่ยงจุดจบนี้ได้เช่นกัน
หลังจากนั้นเขาลืมตาขึ้น มองไปที่เจียงเฉิงเยว่แล้วอธิบายด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าเคยเห็นภาพเหมือนของเซียนจวินในศาลบูชาที่เสด็จพ่อสร้างไว้ด้านใน เสด็จพ่อยังเคยเล่าให้ข้าฟังว่าเสด็จแม่มีความผูกพันกับเซียนจวินเป็อย่างมากในอดีต เขาบอกว่าเซียนจวินเคยช่วยเสด็จแม่ของข้าไว้หลายครั้ง และยังบอกว่าที่ข้าเกิดมาได้ล้วนพึ่งพาเซียนจวินอย่างสมบูรณ์”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าอย่างเงียบงัน เขาซึ่งเป็าาผี ชื่อแซ่กับรูปลักษณ์ที่แท้จริงล้วนเป็ความลับในความลับ มีประชาชนชาวซีเฉียนที่บูชาเขา แต่ศาลบูชาส่วนใหญ่ก็เป็เพียงป้ายิญญา ไม่เคยเห็นเทวรูปหรือภาพเหมือนมาก่อน องค์จักรพรรดิสร้างศาลบูชาไว้ด้านในกลับมีภาพเหมือนของเขา ซึ่งกล่าวได้ว่าสุดท้ายแล้ว หยวนฝานเป้ยได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขานั่นเอง
ด้วยประโยคสั้นๆ เพียงไม่กี่ประโยค ฉิงชางจวินค่อนข้างมีความรู้สึกดีต่อเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ของเขาเลี้ยงดูมาอย่างดี เดิมทีเจียงเฉิงเยว่คิดว่าเขาจะถามตนว่าในเมื่อเคยช่วยเหลือมารดาของตนมาหลายครั้งแล้ว เหตุใดครั้งนี้กลับไม่ช่วย เช่นเดียวกับคนทั่วไปที่โลภในชีวิตและหวาดกลัวความตาย ต่างร้องไห้อย่างเ็ป คุกเข่าขอร้องให้ตนยื่นมือ
เจียงเฉิงเยว่มองอิ๋งเอ๋อร์ที่นอนอยู่บนพื้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เฝ้า...แม่ของเ้าให้ดี” อย่างไรเขาก็พูดคำว่า ‘ศพ’ สองคำนี้ออกไปไม่ได้
หยวนรั่วเซี่ยนพยักหน้าอย่างโศกเศร้า
ทั้งสองฝ่ายเงียบเป็เวลานาน ฉิงชางจวินจึงพูด “ตอนที่เ้าอายุครบเดือน...ข้าเคยพบเ้ามาก่อน”
หยวนรั่วเซี่ยนเงยหน้าด้วยประหลาดใจ เขาไม่เคยร้องขอ เจียงเฉิงเยว่ได้แต่ริเริ่มที่จะพูดถึงเื่นี้ก่อนด้วยตนเอง “ข้ายังเคยรับปากพ่อของเ้าว่าจะปกป้องเ้าไปตลอดชีวิต” เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้า กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เ้าไม่ได้เกิดมาพร้อมกับโชคชะตาของจักรพรรดิ ข้าอาจปกป้องให้เ้าออกจากเมืองยงอย่างปลอดภัย แต่กลับไม่สามารถปกป้องยศถาบรรดาศักดิ์ล้ำค่าของเ้าได้ กล่าวได้ว่า...หลังออกจากที่แห่งนี้ เ้าจะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์อีกต่อไป”
หยวนรั่วเซี่ยนบอกด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เซียนจวิน ข้าเข้าใจแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า “ข้าจะพาเ้าออกไปจากที่นี่”
หยวนรั่วเซี่ยนยืดตัวขึ้น จากนั้นคำนับเขาอย่างจริงจัง “ขอบคุณเซียนจวิน แต่ก่อนหน้านั้นเซี่ยนเอ๋อร์มีเื่หนึ่งจะร้องขอ...”
เจียงเฉิงเยว่ “พูดมาเถอะ”
หยวนรั่วเซี่ยนกล่าว “เมืองยงในตอนนี้ ทั้งหมดเหลือผู้ภักดี 1,571 คน สาวใช้ในวัง 37 คน ทุกคนล้วนจงรักภักดีต่อเราสองแม่ลูกและปกป้องมาจนถึงยามนี้ ข้า...ไม่เป็เชื้อพระวงศ์ย่อมได้ ข้าไม่้าเกียรติยศสูงส่งนี้ ต่อให้ต้องยากจนข้นแค้นไปตลอดชีวิตหลังจากนี้ก็ตา ถึงอย่างนั้น ไม่มีเหตุผลที่จะตัดขาดพวกเขาแล้วเอาชีวิตรอดเพียงลำพังโดยปล่อยให้พวกเขาถูกข้าศึกล้อมโจมตีจนแตกพ่าย เซียนจวิน เซี่ยนเอ๋อร์ไม่ขอสิ่งอื่นใด แต่ขอร้องเซียนจวินยอมให้ข้าพาพวกเขา...ไปด้วยกัน”
เจียงเฉิงเยว่นิ่งค้าง
หยวนรั่วเซี่ยนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่เป็เื่ที่ลำบาก จึงโค้งคำนับตรงหน้าเขาอย่างเคร่งขรึมพร้อมกับรอยยิ้มเศร้าหมอง “หากเซียนจวินลำบากจริง เซี่ยนเอ๋อร์เองก็ไม่ยินยอมที่จะเป็คนขี้ขลาดหลบหนีไปเพียงลำพัง เซียนจวินโปรดช่วยให้สมปรารถนา ยอมให้เซี่ยนเอ๋อร์ตายไปพร้อมกับพวกเขา นี่นับว่าเป็การตายที่คุ้มค่าแล้ว เซี่ยนเอ๋อร์ไม่เต็มใจที่จะตกอยู่ในความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
ฉิงชางจวินมองร่างที่ขดตัวคำนับอยู่ที่พื้นแล้วถอนหายใจ
อาจเป็เพราะหยวนรั่วเซี่ยนเหมือนกับเสด็จพ่อของเขาที่ยามเกิดมาก็ได้รับการปกป้องอย่างดี แม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งสูงส่ง แต่กลับไร้เดียงสาอยู่หลายส่วน ทว่า สามารถบอกว่าเขาผิดได้หรือ? ความไร้เดียงสานี้ของเขาอาจไม่ถูกกาลเทศะ ไม่สอดคล้องกับตัวตน ถึงกับนำมาซึ่งหายนะและความตาย แต่ความจิตใจดีและไร้เดียงสาของเขาไม่ควรเป็เื่ที่ผิด อาจนับได้ว่าเป็จุดที่ล้ำค่าที่สุดบนตัวเขาด้วยซ้ำ สิ่งที่ผิดคือกลอุบายและการแย่งชิงอำนาจจากการทรยศ ดังนั้น ฉิงชางจวินจึงพอมีช่องทางที่จะคิดโทษเขาได้
เวลาเนิ่นนาน เขาจึงตอบ “ขอข้าคิดดูก่อน”
ทั้งสองคนเงียบลงอีกครั้ง พอดีกับระหว่างนี้ได้ยินเสียงะโอย่างคลุมเครือที่ดังเข้ามาผ่านกำแพงเมืองด้านนอก ซึ่งดูเหมือนว่าหยวนรั่วเซี่ยนจะเคยชินกับเสียงนี้ เขาทำเพียงไม่ได้ยิน
เจียงเฉิงเยว่มองอีกฝ่ายอย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง ร่างพลันหายเข้าไปในวิหารด้านใน เขาเคลื่อนย้ายตนเองไปบนหอปราสาท ทหารที่รักษาการณ์เฝ้าระวังอยู่บนหอปราสาทตกตะลึงกับร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏบนอากาศ ส่งเสียงอุทานเตือนให้อาวุธทั้งหมดในมือทยอยเล็งมา เจียงเฉิงเยว่ทำราวกับว่าไม่เห็น มองไปที่กองทัพพระนครซีเฉียนซึ่งต่างควบม้าและะโเสียงดังห่างจากใต้หอปราสาทกว่าสิบจั้ง
คนผู้นั้นะโไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ฉู่อ๋องทรงมีพระราชกฤษฎีกา ผู้ที่ได้ศีรษะพระชายาปีศาจสกุลสวีจะไม่นับว่าเป็ฏ พื้นที่ศักดินาหนึ่งพันครัวเรือน แต่งตั้งบรรดาศักดิ์โหวระดับหนึ่ง รางวัลทองคำหมื่นตำลึง! ส่วนผู้ที่ได้ศีรษะของจิ่งอ๋องก็จะไม่นับว่าเป็ฏ พื้นที่ศักดินาสองพันครัวเรือน แต่งตั้งบรรดาศักดิ์โหวระดับหนึ่ง รางวัลทองคำแสนตำลึง!
เหล่าคนผู้สูงอายุ ผู้ป่วยหรือพิการในเมืองยกต่างรับฟังด้วยท่าทีเหม่อลอย ไม่แสดงความคิดเห็นและไม่ส่งเสียงใด
ฉู่อ๋องผู้นั้นเป็โอรสองค์ที่สองของจักรพรรดิเซียง นามหยวนรั่วหลี เป็น้องชายของหยวนรั่วเซี่ยน เขาเป็ศัตรูทางการเมืองที่สำคัญของพวกเขาสองแม่ลูก เขาฉวยโอกาสจากการตของจักรพรรดิเซียง โดยใช้ข้ออ้างในการส่งพระชายาเอกสกุลสวีพาจิ่งอ๋องหยวนรั่วเซี่ยนมาเฝ้าิญญาเป็เวลาสามเดือน ด้วยการย้ายอิ๋งเอ๋อร์กับบุตรชายไปจากโซ่วหลิง หลังจากนั้นปิดล้อมเมืองยง วางแผนหว่านแหจัดการให้สิ้นซาก
โชคดีที่สวีอี่ซินเป็พระชายาซึ่งได้รับความโปรดปรานมาหลายปี นางไม่ได้ไร้ประโยชน์ จึงได้เตรียมการไว้นานแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างสุดชีวิต สุดท้ายพวกเขาสองแม่ลูกก็เอาชนะยศถาบรรดาศักดิ์ที่หยั่งรากลึกในราชสำนักของฉู่อ๋อง จนกระทั่ง ณ ตอนนี้เหลืออยู่เพียงพันคนที่ถูกปิดล้อมในเมืองยงที่ขาดแคลนน้ำกับอาหาร แต่กลับปฏิเสธที่จะยอมจำนน
เวลานี้ ฉู่อ๋องจึงส่งเสียงเตรียมก่อฏอย่างร้ายแรง
เจียงเฉิงเยว่หันไปมองผู้คนนับพันที่เหลืออยู่ในเมืองยง ผู้คนนับพันเหล่านี้ หยวนรั่วเซี่ยนบอกว่าจงรักภักดีต่อพวกเขาสองแม่ลูก เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
กองทัพทหารของพระนครบริเวณใต้หอปราสาทยังคงะโอยู่ ทว่าเสียงกลับเงียบงันไปชั่วคราว ครู่ต่อมาศีรษะเขาแยกออกจากกัน โดยศีรษะลอยขึ้นสูงจนโลหิตพวยพุ่งออกมา ก่อนตกลงจากหลังม้าโดยไม่ส่งเสียงใด
------------------------
[1] ดอกถานฮวา หมายถึง ดอกโบตั๋น
[2] ดอกอิงฮวา หมายถึง ดอกซากุระ
