เมื่อการคาดการณ์นี้ได้รับการยืนยันแล้ว ความคิดของซุนเฟยก็โลดแล่นทันที
เขากำลังคิดถึงวิธีแบ่งปันทรัพยากรระหว่างโลกจริงและโลก Diablo แม้ว่าตอนนี้ซุนเฟยจะยังไม่แน่ใจว่านอกจากเข็มขัดมิติเล็กๆ นี้แล้ว ยังมีวิธีอื่นที่เขาสามารถนำทรัพยากรจำนวนมากจากในโลกแห่งความเป็จริงเข้ามาที่โลก Diablo ได้อีกไหม แต่เห็นได้ชัดว่าถุงเมล็ดพันธุ์เล็กๆ นี้ ได้เปิดหน้าต่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ความคิดของซุนเฟยยุ่งเหยิงขึ้นมา
ระหว่างที่ครุ่นคิด ซุนเฟยก็เดินไปที่เต็นท์ของอาคาร่า
เขาอยู่หน้าเต็นท์เล็กๆ ที่ดูทรุดโทรม ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งของตกแต่งที่อยู่ภายในกลับทำให้ทุกคนที่เห็นรู้สึกทึ่งได้ ซุนเฟยเห็นอาคาร่ากำลังวุ่นวายกับการปรุงน้ำยาทุกชนิดอยู่ เขาจึงหยิบถุงเมล็ดพันธุ์ฤดูหนาวจากเข็มขัดมิติส่งให้อาคาร่า
“นี่คือ...”
อาคาร่ารับถุงผ้ามา ใบหน้าเผยความดีใจปนเหลือเชื่อออกมา
ไม่อยากจะเชื่อ นางรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายพลังชีวิตหนาแน่นจากถุงผ้าเล็กๆ กลิ่นอายแบบนี้ช่างให้ความรู้สึกทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยแก่อาคาร่า กลิ่นอายนี้มันได้ห่างหายไปจากความทรงจำของนางนานมากๆ
ชาวโร้กใน ‘ค่ายโร้ก’ ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการปลูกพืชผลมาตั้งนานแล้ว แต่เมื่อหกสิบกว่าปีก่อน ด้วยมลพิษจากพลังอันชั่วร้ายของเดียโบล ทำให้มันค่อยๆ กัดกร่อนแผ่นดินโร้กอย่างช้าๆ พืชส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายจากพลังแห่งความมืด เมล็ดพันธุ์ที่สดใสและบริสุทธิ์กลายเป็สิ่งที่หาได้ยาก ทำให้พืชผลผลิตภายในค่ายก็ค่อยๆ ลดลงจนสุดท้ายก็หมดไป พวกเขาจำเป็ต้องพึ่งพาไก่ เป็ด วัว สัตว์ปีกอื่นๆ ที่อยู่ในค่ายและปลูกพืช แต่ก็ไม่สามารถปลูกได้เป็จำนวนมาก พวกเขานำพืชป่าที่เรียกว่ากูดเกี๊ยะที่เติบโตในถิ่นทุรกันดารมาปลูกเพื่อความอยู่รอด
และถุงเมล็ดพันธุ์ฤดูหนาวที่ซุนเฟยหยิบออกมานั้น อาคาร่าก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพวกมันไม่มีมลพิษชั่วร้ายของเดียโบลเลยสักนิด และพวกมันสามารถเจริญเติบโตใน ‘ค่ายโร้ก’ ได้แน่ๆ บางทีส่วนหนึ่งอาจเป็เพราะมันเกี่ยวกับดิน ทำให้ปริมาณการผลิตต่ำกว่าปกติ...แต่ถ้าให้เทียบกับชีวิตของเหล่าโร้กสาวที่ต้องเสี่ยงอันตรายไปหาเมล็ดพันธุ์กูดเกี๊ยะ แล้วเจอพวกมอนสเตอร์ชั่วร้ายรุมกินโต๊ะด้านนอก แม้ว่าผลผลิตจะต่ำกว่าปกติ แต่สำหรับ ‘ค่ายโร้ก’ แล้ว นื่คือความหวังและแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่
“ในโลกข้า พืชชนิดนี้เรียกว่าข้าวสาลีฤดูหนาว มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งมาก มันเหมาะสมที่จะปลูกภายใต้สภาพแวดล้อมหนาวเย็นมืดครึ้มของแผ่นดินโร้ก...ป้าอาคาร่า ท่านสามารถให้คนทดลองนำไปปลูกในปริมาณน้อยๆ ก่อน หากปลูกพืชนี้สำเร็จได้จริงๆ ข้าค่อยนำเมล็ดข้าวสาลีฤดูหนาวจำนวนมากเข้ามาอีก บางทีนี่อาจช่วยคลี่คลายวิกฤติขาดแคลนอาหารในค่ายก็ได้”
“โอ้ นี่เป็เื่ดีมาก...ขอบใจท่านมาก ท่านซุนเฟย ข้าสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายบริสุทธิ์จากตัวเมล็ดพันธุ์นี้ได้ ท่านได้นำความหวังที่จะอยู่รอดมาให้ค่ายเราแล้ว” แม่ชีอาคาร่าโค้งตัวแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ
“เอ๋...ขอบคุณอะไรกัน ไม่ต้องหรอก ฮิๆๆ ถ้าท่านสามารถให้น้ำยา ไอเทม หรือม้วนคัมภีร์บางส่วนแก่ข้าฟรีๆ บางทีมันอาจจะดีกว่าคำขอบคุณของท่านนะ” ซุนเฟยพูดเหมือนจะหยอกล้อแต่แววตาจริงจังสุดๆ
“นั่นคงทำไม่ได้!”
ตอบกลับมาแทบจะทันที ยัยป้ามหาภัยจอมงกฟื้นตัวกลับมาแล้ว “ท่านซุนเฟย ในฐานะที่เป็ผู้นำ ท่านควรจะทำตัวเป็แบบอย่างให้แก่คนในค่ายทุกคน ท่านไม่ควรมาขอของฟรีหากไม่ได้ทำงาน อีกอย่าง จำนวนไอเทมและน้ำยาที่ข้าปรุงก็มีจำกัด มันแทบไม่พอให้เหล่าโร้กสาวในค่ายใช้เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง ท่านซุนเฟย ความ้าของท่านสูงเกินไป ต่อให้ข้าปรุงน้ำยาเพื่อท่านฟรีๆ ทุกนาที เกรงว่ามันคงไม่เพียงพอต่อความ้าที่มากเกินไปของท่านอยู่ดี”
ซุนเฟย “…”
ขี้งกอย่างไรก็เป็แค่คนขี้งก
แต่คำพูดที่ยัยป้าอาคาร่าพูดกลับมาก็เป็เื่จริง
ซุนเฟยระงับความคิดเนียนชุบมือเปิบก่อนจะหันมาดูขวนน้ำยารอบๆ เต็นท์ เมื่อสูดอากาศเข้าไปก็จะได้กลิ่นน้ำยาฉุนๆ ติดจมูก ในใจพลันชะงัก นึกอะไรขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงถามพลางยิ้มน้อยๆ ว่า “ป้าอาคาร่า ทำไมท่านไม่หาคนมาช่วยท่านปรุงน้ำยาล่ะ? แบบนี้ก็จะสามารถผลิตน้ำยาได้เพิ่มมากขึ้นนะ ฮึๆๆ!”
“ท่านคิดว่านำอากาศมาปรุงเป็น้ำยาหรือไง? น้ำยาทุกขวดจำเป็ต้องใช้สมุนไพรวัตถุดิบที่มีค่าหายากมาปรุง และสมุนไพรพวกนั้นในค่ายโร้กก็ไม่มีแล้ว ส่วนใหญ่มันจะเจริญเติบโตในถิ่นทุรกันดารหรือจุดที่อันตรายที่สุดอย่างสถานที่รวมตัวของพวกเหล่ามอนสเตอร์ เพื่อรวบรวมสมุนไพรเหล่านี้ เหล่าโร้กสาวต้องฉวยโอกาสตอนที่พลังชั่วร้ายของเดียโบลลดต่ำลง ถึงจะกล้าไปเก็บสมุนไพรในสถานที่อันตรายเ่าั้ พูดแบบไม่เกินจริงเลยนะ น้ำยาทุกขวดที่ข้าปรุงต่างแลกมาด้วยเืเนื้อของพวกลูกๆ ข้า...”พูดถึงตรงนี้ ยัยป้าขี้งกมีท่าทางเสียใจ
ซุนเฟยหัวเราะ ก่อนจะใช้นิ้วโป้งจิ้มตัวเองแล้วพูดว่า “ฮิๆๆ ป้าอาคาร่า ท่านไม่รู้สึกว่ามีคนที่เหมาะสมอยู่ตรงหน้าท่านอยู่นา? บางทีข้าสามารถช่วยท่านรวบรวมสมุนไพรได้ และเพื่อเป็การตอบแทน ข้ามีคำขอที่ธรรมดามากๆ นั่นคือท่านต้องสอนข้ารู้จักชื่อสมุนไพรทุกชนิด จากนั้นก็สอนวิธีปรุงยาให้แก่ข้า นี่เป็เื่ที่ท่านพอจะทำได้ใช่ไหมล่ะ ฮึๆ”
“ท่าน?”
อาคาร่าขมวดคิ้ว ทีแรกนึกอยากจะโต้เถียงซุนเฟย แต่ทันในนั้นนางก็พลันนึกอะไรบางอย่างได้ ดวงตาเปล่งประกายกวาดสายตามองซุนเฟยชั่วครู่ก็ตระหนักได้ทันที “ฮึๆ ที่ท่านพูดมาไม่ผิดเลยสักนิด มาๆๆๆ ฮิๆ พวกเรามาเริ่มกันเถอะ ฮ่าๆ ข้าจะบอกวิธีการตรวจสอบวัตถุดิบ ระดับและส่วนประกอบสมุนไพรทั้งหมดเอง!”
……
“หญ้าซีหลัน แกนอัคคี หญ้าขาว เถาเวทมนตร์ หญ้าแสงดาว เถาวัลย์กระดูก...เอ๋ ไม่ใช่ๆ เถาวัลย์กระดูกโลหิต...อะไรอีกนะ? รากแสงไฟ? ข้อต่อของแมงมุมพิษ?”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ร่างของซุนเฟยมีกลิ่นน้ำยาฉุนๆ ปนไปด้วย ขณะที่เขาอาเจียนอะไรบางอย่างออกมา เขาก็เดินโซซัดโซเซวิ่งออกมาด้านหน้าเต็นท์เล็กๆ ของอาคาร่า ในปากของเขาท่องชื่อสมุนไพรแปลกๆ ออกมาด้วยท่าทางตื่นตระหนกเหมือนเพิ่งถูกไทแรนโนซอรัสเหยียบมา
“อ่า...ท่านซุนเฟย ท่านอย่าหนีนะ ข้ายังมีสมุนไพรอื่นๆ อีกสี่สิบกว่าชนิดที่ยังไม่ได้ให้ท่านชิมเลยนะ วางใจได้เลย สมุนไพรชนิดนี้ไม่ขมเลย รสชาติไม่เลวอีกต่างหาก...” บนใบหน้าของแม่ชีเต็มไปด้วยรอยยิ้มแบบย่ามใจ ขณะที่ะโไล่หลังซุนเฟย
ซุนเฟยไม่กล้าตอบโต้กลับ เขาทำได้เพียงวิ่งหนีไป
เขาข้ามรั้วไม้และเต็นท์หลายแห่ง เสียงถ่มเศษสมุนไพรขมๆ ในปากดังขึ้น แต่จู่ๆ ก็นึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ เขาเดินไปยังใจกลางของ ‘ค่ายโร้ก’ เพื่อหาตาเฒ่าเคนที่เป็ ‘ม้วนคัมภีร์ตรวจสอบเคลื่อนที่ฟรี’ จากนั้นก็หยิบแหวนเก็บของสีเงินวงหนึ่งและไอเทมชุดเกราะสองสามชุดออกมาจากเข็มขัดมิติแล้วส่งให้ตาเฒ่าเคนพลางพูดว่า “ท่านเคนผู้แสนฉลาด ไอเทมพวกนี้มาจากสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านจะตรวจสอบให้หน่อยได้ไหม”
ความจริงแล้วไอเทมชุดเกราะพวกนี้เป็สิ่งที่ซุนเฟยถอดออกมาจากศพของชายหน้ากากเงิน ส่วนแหวนเก็บของสีเงินก็ได้มาจากเอแวนส์นักเวทธาตุไม้สี่ดาว ก่อนหน้านี้ซุนเฟยเก็บของพวกนี้ไว้ในเข็มขัดมิติของคนเถื่อน ตอนที่เห็นเมล็ดข้าวสาลีฤดูหนาวก็พบอุปกรณ์พวกนี้ติดมาด้วย อย่างไรก็ตาม สถานะของอุปกรณ์พวกนี้ก็ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ ดังนั้นซุนเฟยอยากเอามาให้ตาเฒ่าเคนช่วยตรวจสอบให้สักหน่อย หลังจากที่ตาเฒ่าเคนสามารถตรวจสอบพวกนี้แล้ว เขาก็จะเอาไปให้ช่างตีเหล็กชาร์ซีช่วยเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์พวกมันแล้วค่อยนำไปใช้ในโลกแห่งความจริง ซึ่งต่อให้คนที่คุ้นเคยกับอุปกรณ์ขององค์ชายอะไรนั่นมาพบก็ไม่มีทางจำได้แน่ๆ
“เอ๋? เป็ไอเทมที่แปลกจริงๆ...อืม...แปลกมากๆ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย...ให้ข้าดูอย่างละเอียดหน่อยเถอะ...โอ้พระเ้า ลวดลายอักขระและเวทมนตร์แบบนี้ช่างดูแปลกตา ไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อนเลย...” เมื่อเฒ่าเคนััชุดเกราะนี้ เขาก็พิจารณาอย่างละเอียดเหมือนเป็ศาสตราจารย์โบราณคดีที่พบสมบัตหายาก เขามองตาค้าง ไม่สนใจซุนเฟยอีก พูดเพียงประโยคเดียว “ข้าอาจต้องใช้เวลาตรวจสอบ หลังจากนี้อีกสามวันท่านค่อยกลับมาเถอะ...” จากนั้นก็ถือชุดเกราะนี้ประหนึ่งของล้ำค่าแล้วหันหลังเดินจากไป
“เวรเอ๊ย ตรวจสอบไม่ได้ก็พูดกันตรงๆ สิ จู่ๆ ก็มาเอาไปเฉยเลย...”
ซุนเฟยเบะปาก มองไล่หลังตาเฒ่าเคนอย่างดูถูกก่อนจะชูนิ้วกลางให้
เมื่อไม่มีเื่อะไรทำ เขาก็ตัดสินใจไปฆ่ามอนสเตอร์เพื่ออัพเลเวล
แต่คิดๆ ดูแล้ว ‘ค่ายโร้ก’ เป็สถานที่อัพเลเวลสำหรับมือใหม่ มันคงทำให้เลเวลของซุนเฟยเลื่อนขึ้นเร็วๆ ไม่ได้ เมื่อสองวันก่อนเขาตรวจดูแผนที่ของค่ายนี้ทั้งหมดจนมั่นใจแล้วว่าไม่มีมอนสเตอร์ตัวใดที่เป็ภัยคุคามของค่ายได้อีก ถิ่นทุรกันดารตอนนี้ปลอดภัยกว่าเดิมขึ้นสิบเท่า บวกกับพวกบอสตัวใหญ่ๆ ต่างก็ถูกซุนเฟยจัดการจนหมด ดังนั้นสำหรับซุนเฟยแล้ว แผนที่ของ ‘ค่ายโร้ก’ ไม่มีความท้าทายใดๆ แล้ว
เวลานี้ เอเลน่ายังคงอยู่ที่โลกแห่งความจริง ซุนเฟยจึงตัดสินใจไปหา NPC เสื้อฟ้าวอร์ริฟ นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเลือก ‘ไปทางทิศตะวันออก’ เขาตัดสินใจที่จะไปยังแผนที่ที่สองของโลก Diablo เมือง ‘ลุกค์ โกลไลน์’ เมืองที่เต็มไปด้วยอันตราย
ระยะทางระหว่าง ‘ค่ายโร้ก’ และ ‘ลุกค์ โกลไลน์’ ค่อยข้างอยู่ไกลกันมาก ถ้าเป็ชาวโร้กธรรมดาเดินทางจากค่าย เกรงว่าคงใช้เวลาอย่างต่ำหนึ่งถึงสองปีถึงจะเดินทางถึง ‘ลุกค์ โกลไลน์’ โชคดีสำหรับซุนเฟย กระบวนการเดินทางนี้เหมือนกับเกมคอมพิวเตอร์ในโลกเก่า ทิวทัศน์เบื้องหน้าเริ่มเปลี่ยนไป จากนั้นก็เหมือนกับกำลังเดินผ่านห้วงเวลา ร่างกายไร้แรงโน้มถ่วง เมื่อซุนเฟยลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็มาถึง ‘ลุกค์ โกลไลน์’ แล้ว
ทุกที่เต็มไปด้วยดินสีเหลือง เมืองที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย
หากจะบอกว่าแผนที่ ‘ค่ายโร้ก’ ก่อนหน้านี้เป็เพียงค่ายเล็กๆ ‘ลุกค์ โกลไลน์’ ก็เป็เมืองทะเลทรายที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าไม่ได้มีทัศนียภาพที่เหมือนภาพวาดและภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยูเาสูงและอันตรายอย่างเมืองแซมบอร์ด แต่ที่นี่กลับมีกำแพงสูงตั้งตระหง่าน พระราชวังที่หรูหรา ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองยังปลอดภัยอีกด้วย มีโรงเตี๊ยมหรูหราสองชั้นและยังมีท่าเทียบเรือธรรมชาติที่เต็มไปด้วยเรือจอดเรียงราย...ที่นี่มีของมากมายที่ไม่เห็นตาม ‘ชนบท’ อย่าง ‘ค่ายโร้ก’
แต่ไม่รู้ทำไม ความหรูหราของ ‘ลุกค์ โกลไลน์’ ทำให้ซุนเฟยรู้สึกแปลกๆ ราวกับมันเป็เมืองที่ตายแล้ว ไม่มีความคึกคักใดๆ บนท้องถนนมีผู้คนน้อยมาก และพวกเขาก็ไม่ส่งเสียงอะไรเลย สายลมพันทรายสีท้องลอยในอากาศ ตอนนี้น่าจะเป็ฤดูใบไม้ร่วง แต่กลับทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศที่ยากจะพูดได้
แต่โชคดี ที่นี่ยังมี NPC
วินาทีแรกที่ซุนเฟยเหยียบเข้าไปใน ‘ลุกค์ โกลไลน์’ ก็มี NPC เข้ามาทักทาย
บทสนทนาก็เป็เื่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป ไม่ช้าซุนเฟยก็ไปหาเ้าของโรงเตี๊ยมเพื่อไปรับเควสแรกใน ‘ลุกค์ โกลไลน์’ กำจัดปีศาจที่อยู่ในท่อระบายน้ำของเมือง
ในความทรงจำโลกเก่า ซุนเฟยต้องหาเส้นทางไปยังท่อระบายน้ำแล้วสังหารพวกมอนสเตอร์ในนั้น
แต่ระหว่างที่รับเควสซุนเฟยก็พบเหตุการณ์แปลกๆ ดูเหมือนว่าพวก NPC ใน ‘ลุกค์ โกลไลน์’ จะไม่ค่อยชอบเขาเท่าไร น้ำเสียงและท่าทางการพูดการจาของพวกเขามันแข็งกระด้าง ไม่มีชีวิตชีวา เมื่อเทียบกับอาคาร่าและคนอื่นๆ ใน ‘ค่ายโร้ก’ ถือว่าค่อนข้างแตกต่างกันมาก ซุนเฟยรู้สึกเหมือนเขากำลังคุยกับท่อนไม้
แปลกมาก ทำไมถึงเป็แบบนี้?
ไม่ว่าจะเมืองหรือพวก NPC ก็ทำให้ซุนเฟยรู้สึกเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือพวกเขาตายไปแล้ว ไม่มีชีวิตชีวา เหมือนเป็เมืองผีก็ไม่ปาน
เขารู้สึกสงสัยอยู่ในใจลึกๆ ซุนเฟยเริ่มฆ่าล้างบางปีศาจในท่อระบายน้ำอย่างเร่งรีบ
……
สองชั่วโมงต่อมา
ด้วยพลังความแข็งแกร่งของคนเถื่อนเลเวล 20 ของซุนเฟย ทำให้ล้างบางปีศาจทุกตัวและบอสที่อยู่ในท่อระบายน้ำได้อย่างง่ายดาย เควสแรกสำเร็จแล้วและอีกไม่นานตัวละครคนเถื่อนก็ใกล้จะเลเวล 21 เขากลับไปส่งเควสในเมือง ‘ลุกค์ โกลไลน์’ เขาได้รับคะแนนทักษะ 1 คะแนน จากนั้นเขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจติดต่อกับเสียงลึกลับเ็าในหัวเพื่อทำการแลกเปลี่ยนน้ำยาส่วน ก่อนจะออกจากโลก Diablo โดยประตูมิติ ไม่นานซุนเฟยก็มาปรากฏตัวในห้องโถงเมืองแซมบอร์ด
เวลาประจวบเหมาะพอดี
มีเสียงของทหารรายงานอยู่ด้านนอกห้องโถงว่าพัศดีโอเลเกร์มาขอเข้าเฝ้าอยู่หน้าประตู ซุนเฟยนั่งบนบัลลังก์ บิดี้เีเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ให้เขาเข้ามา”
เ้าภูติตูดม้าก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เ้าภูติตูดม้าก็คุกเข่าทำความเคารพก่อนจะยิ้มประจบพูดขึ้นว่า “องค์าาอเล็กซานเดอร์ ข้าได้ทำตามที่ท่านรับสั่งเรียบร้อยแล้วขอรับ นักโทษทั้งหมดในเรือนจำได้ย้ายไปอยู่ในเรือนจำหลังใหม่ ส่วนท่านนักรบหญิงเอเลน่ากำลังเยี่ยมชมเรือนจำอยู่ขอรับ โอเลเกร์ทาสที่จงรักภักดีต่อท่านจึงกลับมารายงานฝ่าาขอรับ”
“อืม เ้าทำได้ไม่เลว ข้าพอใจอย่างมาก” ซุนเฟยยิ้มแล้วเอ่ยชม
“ทั้งหมดนี้เป็สิ่งที่ข้าควรทำขอรับ เพื่อองค์าาอเล็กซานเดอร์แล้ว ข้าพร้อมอุทิศตนรับใช้อย่างสุดชีวิต นี่ถือว่าเป็เกียรติสูงสุดของข้าแล้วขอรับ” พัศดีโอเลเกร์โค้งกายอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนก่อนจะพูดต่อว่า “ฝ่าา เรือนจำหลังใหม่ยังไม่มีชื่ออย่างเป็ทางการเลย ชาวบ้านในเมืองทั้งหมดต่างคาดหวังว่าท่านจะไปเยี่ยมชมเรือนจำหลังใหม่ด้วยตัวท่านเองเพื่อตั้งชื่อเรือนจำ นี่ถือเป็เกียรติแก่เมืองแซมบอร์ดเลยนะขอรับ”
“หือ?”
ได้ยินโอเลเกร์พูดแบบนี้ ซุนเฟยก็พลันรู้สึกสนใจขึ้นมา เรือนจำหลังใหม่ที่สร้างขึ้นบนสถานรักษาพยาบาลทหารที่ทรุดโทรม ่นี้เนื่องจากซุนเฟยยุ่งมาก ทำให้เขาไม่มีเวลาไปดูด้วยตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าโอเลเกร์จัดการซ่อมแซมอย่างไร ซุนเฟยหัวเราะ ในใจก็นึกชื่อดีๆ ขึ้นมาชื่อหนึ่ง
“นี่คือรางวัลสำหรับเ้า ดื่มน้ำยาซะ จากนั้นก็นำข้าไปดูเรือนจำหลังใหม่”
ซุนเฟยพูดจบก็โยน ‘น้ำยาฮัลค์’ ที่มีอยู่ครึ่งขวดขึ้นบนอากาศเบาๆ ให้ตกลงในมือของโอเลเกร์ แสงสีเขียวแปลกๆ กระจายออกมาในขวด นี่เป็ปริมาณที่ซุนเฟยเตรียมไว้ให้โอเลเกร์นานแล้ว ปริมาณนี้เหมาะสมกับร่างของเขา ไม่มากไม่น้อยเกินไป มันเพียงพอที่จะกระตุ้นพลังของพัศดีโอเลเกร์ได้
“นี่คือ...”
พัศดีโอเลเกร์มองอย่างอึ้งๆ
เขาคาดไม่ถึงว่ารางวัลที่องค์าาอเล็กซานเดอร์พูดถึงจะเป็น้ำยาครึ่งขวดที่ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร มองจากสีเขียวๆ นี่ก็รู้สึกเหมือนว่ามันเป็น้ำยาพิษ...แต่เวลานี้ โอเลเกร์เป็คนฉลาด เขาเลือกที่จะแสดงด้านความจงรักภักดีที่มีต่อาาออกมา เขาไม่ถามว่าน้ำยานี้คืออะไร ไม่แม้จะลังเล เขาคิดอย่างใจกว้างว่า ‘หากาาประสงค์ให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตาย’ เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ดึงจุกขวดออกแล้วดื่มน้ำยาสีเขียวลงไป
วินาทีต่อมา ‘น้ำยาฮัลค์’ ก็เริ่มแสดงผล
ความเ็ปที่ไม่เคยััมากก่อนแล่นขึ้นมาจากกระดูกทุกส่วนในร่างของโอเลเกร์ ความเ็ปแทบจะฉีกขาดร่างอ้วนๆ ของมัน แต่ที่ทำให้ซุนเฟยเกินคาดก็คือ ั้แ่ต้นจนตอนนี้ พัศดีที่รักตัวกลัวตายคนนี้กัดฟันกำหมัดแน่นเท่านั้น ไม่มีแม้แต่เสียงร้องคร่ำครวญ หลังจากที่ผลของน้ำยาค่อยๆ หายไป ร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อ เหมือนเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ ใบหน้าขาวซีด กัดริมฝีปากจนเืออก ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ
ท่าทางแข็งแกร่งแบบนี้ ทำให้ซุนเฟยรู้สึกเกินความคาดหมาย
โดยไม่รู้ตัว ความประทับใจของเขาเกี่ยวกับชายหัวโล้นร่างอ้วนคนนี้ก็ดีขึ้นนิดหน่อย
เมื่อรู้สึกถึงพลังที่พลุ่งพล่านและการขยายตัวของเส้นทางคลื่นพลังอยู่ในร่าง ในใจของโอเลเกร์ที่กำลังตระหนกเพราะความทุกข์ทรมาน ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่า น้ำยาที่องค์าาอเล็กซานเดอร์มอบให้เขามันมีผลที่น่าอัศจรรย์อะไร เขาคุกเข่าลงพื้นดังตุบ เ้าภูติตูดม้าอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง คำพูดประจบประแจงที่คุ้นปากในทุกวัน แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา...
เขาอ้าปากพะงาบๆ ความรู้สึกอยากจะร้องไห้พุ่งจู่โจมขึ้นมา โอเลเกร์พยายามอดกลั้นอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ทนไม่ไหวร้องไห้สะอื้นออกมา “ฝ่าา...เป็พระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก...ข้า...พระเ้าช่วย โอเลเกร์...สาบานด้วยศักดิ์ศรีและจิติญญาของนักรบ ชั่วชีวิตนี้จะขอจงรักภักดีต่ององค์าาอเล็กซานเดอร์ จะไม่มีวันทรยศ...ข้า...ข้ารู้ว่าคนส่วนใหญ่ในเมืองแซมบอร์ดยามมองมาที่ข้าพวกเขาคิดอย่างไร...แม้ว่าก่อนหน้านี้บาร์เซิลจะพยายามดึงข้าไปเป็พวก แต่ข้าก็มองออกว่าในสายตาของเขา ข้าเป็เพียงสุนัขที่มีค่าพอที่จะใช้งานเท่านั้น...ฝ่าา มีเพียงท่านที่ให้ข้า...ให้ศักดิ์ศรี...ศักดิ์ศรีในฐานะมนุษย์...ข้า...ข้า...”
ตอนนี้เอง พัศดีโอเลเกร์สะอื้นออกมา
ฉากนี้ทำให้ซุนเฟยรู้สึกเกินคาดอีกครั้ง
“ธรรมชาติของมนุษย์ยากจะเข้าใจจริงๆ...แต่ ฮ่าๆๆ เ้าภูติตูดม้าคงจะซึมซับความดีของบิดาจนเปลี่ยนนิสัยไปใช่ไหม? กลายเป็คนใหม่เลยสินะ?”
ซุนเฟยไม่มีเหตุผลที่ต้องให้โอเลเกร์คุกเข่าแสดงความจงรักภักดีโดยที่น้ำตาไหลพรากๆ เขาให้โอเลเกร์ลุกขึ้น ซุนเฟยนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยความดีใจกับความดีของตัวเองที่เปลี่ยนคนขี้ประจบให้กลายเป็คนดีได้ ความหลงตัวเองของซุนเฟยเหมือนกระแสน้ำป่าไหลหลากที่ท่วมบ้านเรือนอย่างบ้าคลั่ง
……
สิบนาทีต่อมา
ภายใต้การนำทางของพัศดีโอเลเกร์ที่กำลังซาบซึ้งในบุญคุณ ซุนเฟยก็มาถึงสถานพยาบาลรักษาทหารที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของเมืองแซมบอร์ด
ที่นี่ถูกโอเลเกร์ปรับปรุงเป็เรือนจำหลังใหม่ของเมืองแซมบอร์ด
บริเวณรอบนอกของเรือนจำหลังทั้งหมดสร้างด้วยหินสีขาวซ้อนขึ้นเป็กำแพงที่สูงถึงสี่เมตร และด้านในของกำแพงเดิมทีเป็ห้องโถงสถานพยาบาลโทรมๆ แต่ตอนนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนไปเป็ห้องขังยี่สิบกว่าห้องที่สามารถระบายอากาศได้ มีแสงสาดส่องทั่วถึง สะอาดและยังมีอุณหภูมิที่อบอุ่น ทุกห้องจะใช้ลูกกรงเหล็กปิดหน้าต่างและประตู ด้านในห้องขังมีนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ประมาณหกสิบกว่านายซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเรือนจำ
เรือนจำใหม่สีขาวสว่างกระแทกตามาแต่ไกล ห้องขังยี่สิบกว่าห้องนี้ สามารถจุนักโทษได้สูงสุดถึงสองร้อยกว่าคน แม้ว่าถ้าเทียบกับเรือนจำที่อยู่ในเขาวงกตใต้ดินก่อนหน้านั้นมันจะดูเล็กจนน่าสมเพช แต่สำหรับชาวเมืองแซมบอร์ดแล้ว มันเป็เรือนจำที่เหมาะสมที่สุด ก่อนที่ซุนเฟยจะสั่งให้ปรับปรุงเรือนจำหลังใหม่ ตอนนั้นนักโทษเมืองแซมบอร์ดก็มีไม่มากแล้ว นอกจากนี้ ที่ซุนเฟยให้สร้างเรือนจำหลังใหม่ก็เป็แค่เื่แหกตาเท่านั้น เขาแค่หาข้ออ้างที่เหมาะสมเพื่อมาปิดเรือนจำหลังเก่า ความจริงแล้วทั้งหมดก็เพื่อปกปิดความลับที่ซ่อนไว้ ความลับที่สามารถทำให้คนทั่วแผ่นดินอาเซรอทบ้าคลั่งได้...ที่ตั้งเทพปีศาจ
ประตูเรือนจำหลังใหม่มีรูปปั้นแกะสลักนักรบกำลังถือดาบที่สูงกว่าสิบเมตรถึงสองตัวตั้งตระหง่านอยู่ มันดูสง่างามเหมือนมีชีวิต รูปปั้นทั้งสองตัวนี้โอเลเกร์ไม่ได้เป็คนทำ แต่เนื่องจากว่า หลังจากที่ชาวบ้านได้ยินว่าองค์าา้าให้สร้างเรือนจำหลังใหม่ ชาวบ้านในเมืองแซมบอร์ดจึงพากันดีใจมาก พวกเขาพากันบริจาคเงินเพื่อให้ช่างแกะสลักสร้างรูปปั้นขึ้นมาพร้อมตั้งชื่อให้ว่า ‘เสาหลักแห่งความยุติธรรม’ และ ‘เสาหลักแห่งการกลับใจ’ เป็สัญลักษณ์ของเรือนจำที่มีความหมายแฝงว่า ความยุติธรรมในการไต่สวนและความหวังที่เหล่านักโทษจะกลับใจ
และตรงกลางระหว่างรูปปั้นั์ทั้งสองตนมีก้อนหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำที่ไร้อักษรตั้งอยู่ นั่นเป็จุดที่โอเลเกร์เตรียมไว้สำหรับเขียนชื่อเรือนจำ ตอนนี้ตรงหน้าประตูเรือนจำมีชาวบ้านเมืองแซมบอร์ดพากันมายืนเบียดเสียดอยู่รอบๆ พวกเขา เหมือนก้อนกินั์อัดแน่นจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้1 ใบหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง พวกเขากำลังรอให้องค์าามาตั้งชื่อเรือนจำหลังใหม่ เพื่อเป็สัญลักษณ์ถึงความเมตตาและการให้อภัย
“ประชาชนที่มีเกียรติทุกคน นับจากนี้เป็ต้นไป ข้าหวังว่าจะไม่มีชาวเมืองแซมบอร์ดคนไหน ทำผิดพลาดจนต้องถูกจับกุมเข้าไปในนี้”
ซุนเฟยยืนพูดเสียงดังอยู่ด้านหน้า
เขาดึงดาบออกจากเอวของโอเลเกร์แล้วชูขึ้น ปลายดาบสะท้อนแสงอาทิตย์จนเป็ประกาย ก่อนจะตวัดลงบนก้อนหินดังชิ้งๆ ทันใดนั้นก็เกิดประกายแสงสีทองนับไม่ถ้วน จู่โจมไปที่ก้อนหินจนเกิดเสียงแหลมๆ ก้อนหินนับไม่ถ้วนร่วงกราวลงมาที่พื้น ตัวอักษรสองคำถูกสลักลงบนก้อนหินั์
ห้องมืด!
“ห้องมืด...ฮ่าๆๆ นี่คือชื่อของเรือนจำใหม่ ข้ารับปากพวกเ้าทุกคน หลังจากวันนี้ไปคนที่ถูกจับกุมเข้าไปในห้องมืด พวกเขาจะได้รับการอบรมและมีโอกาสกลับตัวกลับใจ ทุกคนที่ถูกจับกุมอยู่ที่นี่ อาจจะสูญเสียอิสรภาพใน่เวลาสั้นๆ แต่เขาจะไม่มีวันสูญเสียชีวิตอันมีค่าของเขาที่นี่”
ซุนเฟยสะบัดดาบชูขึ้นฟ้าพลางะโเสียงดัง
“ฝ่าาทรงพระเจริญ!”
“องค์าาอเล็กซานเดอร์ทรงพระเจริญ...”
“องค์าาอเล็กซานเดอร์ทรงมีพระเมตตา ขอให้พระเ้าคุ้มครองพระองค์!”
แม้ไม่รู้ว่า ‘ห้องมืด’ สองคำนี้มีความหมายยังไงกันแน่ แต่พวกเขาก็โห่ร้องออกมาเสียงดังอย่างตื่นเต้น
เหตุการณ์นี้ค่อนข้างแปลก
การสร้างเรือนจำใหม่ ไม่ว่าจะเป็ชาวบ้านคนไหนของอาณาจักรใดนี่ไม่ใช่เื่ดีนัก เพราะเรือนจำไม่ใช้บ้าน มันเป็ตัวแทนระเบียบการปกครองที่มืดมน...แต่เพราะว่าความโหดร้ายในเรือนจำหลังเก่าที่ไม่ต่างอะไรกับนรกบนโลกมนุษย์ ทำให้สำหรับชาวเมืองแซมบอร์ดทุกคนแล้ว เรือนจำหลังใหม่กลายเป็เื่พิเศษ นับจากนี้เป็ต้นไป อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่ายามที่ตัวเองทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ หรือทำให้พวกขุนนางไม่พอใจแล้วต้องมาตายเพราะถูกส่งไปจำคุกที่เรือนจำที่มืดมิดนั่น คำสัญญาของาาเมื่อครู่นี้ ทำให้ทุกคนแน่ใจว่าองค์าาอเล็กซานเดอร์เป็าาที่มีจิตใจเมตตา
บางทีอาจจะเป็วันที่ดีเยี่ยมที่สุดในประวัติการณ์ หลังจากนี้อีกแปดวัน องค์าาอเล็กซานเดอร์จะได้รับการแต่งตั้งจากเหล่าคณะทูตแห่งราชอาณาจักรเซนิทและกลายเป็าาของเมืองแซมบอร์ดอย่างเป็ทางการ
ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง
ตอนนี้ บรู๊คก็เดินแหวกฝูงชนออกมาแล้วรีบเดินไปหาซุนเฟยพลางกระซิบบางอย่าง
ซุนเฟยหน้าเปลี่ยนสีทันที
“ในที่สุดก็มาแล้วหรือ? ฮึ บัดซบจริงๆ ให้ข้ารอพวกมันอยู่ตั้งนาน...”
------------------------
1 แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้ อุปมาว่า เบียดเสียด แออัดมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้