เมื่อเห็นเหยาเจิ้นถิงขึ้นเกี้ยวออกไปจากโรงละครอวิ๋นเต๋ออย่างไร้สุ้มเสียงทิงเยว่พลันร้อนใจยิ่ง
“เหตุใดนายท่านถึงไปเสียแล้วเล่าหรือว่าฟูเหรินใหญ่ไม่อยู่ในนั้น?”
“เป็ไปไม่ได้ข้าเห็นกับตาว่าฟูเหรินใหญ่กับโหลวอวี้ซินพรอดรักกะหนุงกะหนิงกันอยู่ในห้องชั้นสอง...จะให้นายท่านจากไปเฉยๆ เยี่ยงนี้ไม่ได้ มิเช่นนั้นแผนการของคุณหนูต้องสูญเปล่าน่ะสิ เดี๋ยวข้าจะไปขวางเกี้ยวไว้”หลิวสิ่งกล่าวอย่างร้อนใจไม่แพ้กัน
“ไม่ได้คุณหนูกำชับให้แค่คอยสังเกตการณ์อย่างถ้วนถี่ มิได้สั่งให้ทำอย่างอื่นพวกเรารีบกลับกันก่อนดีกว่า” ทิงเยว่กล่าววาจาทัดทานอย่างหนักแน่นพลางเอื้อมมือไปรั้งอีกฝ่ายไว้
ภายในโรงเตี๊ยม
ขณะที่ทิงเยว่กับหลิวสิ่งเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามาในห้องเหยาโม่หว่านกำลังนั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่หน้าโต๊ะ นิ้วเรียวเปิดฝาถ้วยชา ปาดเบา ๆสองสามครั้ง ก่อนจิบคำหนึ่ง
“กลับมากันแล้ว?เื่ที่ให้ไปจัดการเป็อย่างไรบ้าง” เหยาโม่หว่านยังคงรื่นรมย์อยู่กับการจิบชาแพขนตางอนกระพือเล็กน้อย เหลือบมองไปที่ทิงเยว่
“ขออภัยด้วยเ้าค่ะคุณหนู พวกเราทำงานพลาดไม่รู้เพราะเหตุใดหลังจากที่นายท่านเข้าไปในโรงละครอวิ๋นเต๋อแล้ว กลับจากไปเฉย ๆไม่มีปฏิกิริยาสักนิดเลยเ้าค่ะ” ทิงเยว่มองเหยาโม่หว่านอย่างรู้สึกผิด
“หากไม่เป็เช่นนั้นแล้วเ้าคิดว่าควรจะมีท่าทีอย่างไรเล่า?” เหยาโม่หว่านเลิกคิ้วสูงมองสาวใช้ริมฝีปากอิ่มหยักโค้งน้อย ๆ รอยยิ้มฉาบฉายอยู่ในแววตา การแสดงออกเยี่ยงนี้สิถึงจะสมกับเป็การกระทำของบิดา
“จับชู้ได้คาเตียงขนาดนี้ควรต้องจับฟูเหรินใหญ่ใส่กรงหมูถ่วงน้ำถึงจะถูก” ถิงเยว่อ้างอิงตามหลักการที่ควรจะเป็
“เยว่เอ๋อร์จำไว้นะคนเราต่อให้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่แค่ไหนต่างก็มี่เวลาที่จำเป็ต้องกล้ำกลืนความเจ็บแค้นไว้ในอกด้วยกันทั้งสิ้น”เหยาโม่หว่านอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เช่นนี้ที่พวกเราอุตส่าห์ลงแรงไปไม่สูญเปล่าหมดหรือขอรับ?”หลิวสิ่งมองเหยาโม่หว่านด้วยสีหน้าฉงน
“สิ่งที่บุรุษทุกคนทั่วใต้หล้าไม่ว่าจะสูงศักดิ์หรือต่ำต้อยมิอาจทนรับได้ก็คือการเห็นสตรีของตนเองไปแอบอิงแนบชิดอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษอื่นไม่ว่าเขาจะรักสตรีผู้นั้นหรือไม่ก็ตาม...ยิ่งบิดาได้รู้เห็นกับตาของตนเองเยี่ยงนี้การที่เขาปกปิดความรู้สึก หาได้หมายความว่ามินำพาไม่แน่ว่าตอนนี้อาจโมโหจนกระอักโลหิตไปแล้วก็ได้ จริงสิ ทิงเยว่เดี๋ยวนี้ท่านพ่อยังชอบดื่มน้ำแกงเมล็ดบัวหลังมื้อค่ำอยู่หรือเปล่า?”เหยาโม่หว่านเก็บสายตาเ็าไว้ใต้ก้นบึ้ง ก่อนเปลี่ยนเื่คุยอย่างกะทันหัน
“ใช่เ้าค่ะนายท่านเคยชินแบบนี้มาหลายปีแล้ว เมื่อก่อนฟูเหรินรองเป็คนทำให้นายท่านด้วยตนเองแต่หลังจากที่สุขภาพของฟูเหรินอ่อนแอลงเกาหมัวมัวจึงเข้ามารับหน้าที่นี้แทนเ้าค่ะ” ทิงเยว่บอกไปตามความจริง
“งั้นหรือ...”เหยาโม่หว่านหลุบตาเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด
“คุณหนูท่านให้ข้านำตั๋วแลกเงินไปให้นักแสดงผู้นั้นจนหมดแล้วทีนี้เราจะเอาเงินจากไหนมาจ่ายค่าห้องพักเล่า?”ทิงเยว่เหมือนเพิ่งตระหนักบางอย่างได้ จึงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“เย็นนี้พวกเราจะกลับจวนอัครเสนาบดีด้วยกันเกาหมัวมัวแสนดีต่อมารดาข้าถึงเพียงนั้นข้าควรต้องตอบแทนนางอย่างสมน้ำสมเนื้อถึงจะถูก”แววตาของเหยาโม่หว่านเปลี่ยนเป็เยียบเย็น ประกายคมกล้าทอวาบอยู่ในเบื้องลึกทิงเยว่และหลิวสิ่งต่างมองหน้ากัน ลอบประหลาดใจอยู่ลึก ๆ
“พวกเ้ามานั่งก่อนสิเหนื่อยกันมาทั้งวัน ควรพักผ่อนได้แล้ว” เหยาโม่หว่านทอยิ้มน้อย ๆเหลือบตามองไปที่ทิงเยว่และหลิวสิ่ง รอยยิ้มของนางงามตระการปานสายลมยามวสันตฤดูที่หอบสายฝนชุ่มฉ่ำโปรยปรายลงมาพร้อมกันบัดนี้บ่าวทั้งสองเชื่ออย่างหมดใจแล้วว่าคุณหนูของตนเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆคุณหนูสามผู้นี้ทั้งสุขุมหนักแน่น ฉลาดปราดเปรื่อง มากด้วยแผนการล้ำลึกแตกต่างจากคุณหนูสามคนเดิมราวกับเป็คนละคน
ยามสายัณห์ดวงตะวันลาลับขอบฟ้าจันทราสาดแสงนวลกระจ่างลอดผ่านทิวไม้ที่โอนเอนไปตามสายลมภาพของเงาตะคุ่มที่ซัดส่ายไปมาคล้ายจะทำให้ราตรีนี้เยียบเย็นกว่าปรกติ
ห้องโถงกลางจวนอัครเสนาบดี
หลังจากมื้อค่ำเหยาถูสั่งการให้บ่าวเข้ามาเก็บสำรับอาหาร โต้วเซียงหลันกลั้วปากด้วยน้ำชา หลังจากนั้นก็ส่งถ้วยให้อวี้จือสาวใช้ประจำตัวหางตากวาดมองไปที่นิ้วหัวแม่มือของเหยาเจิ้นถิงคล้ายไม่ตั้งใจ หัวใจพลันสะท้านวาบ
“อวี้จือไปบอกเกาหมัวมัวให้เร่งมือหน่อย อย่าให้นายท่านคอยนาน ท่านพี่วันนี้ในท้องพระโรงมีสิ่งใดที่ทำให้ไม่พอใจหรือเปล่าข้าภรรยาเห็นสีหน้าท่านดูไม่ค่อยจะดีนัก?” โต้วเซียงหลันถามอย่างระมัดระวัง
“พระครรภ์ของหวงโฮ่วประสูติยากจึงสิ้นพระชนม์ทั้งมารดาและบุตรตำแหน่งประมุขวังหลังที่ว่างลงจึงกลายเป็สิ่งปลุกเร้าให้เหล่าพระสนมลุกขึ้นมาประชันขันแข่งหมาย่ชิงตำแหน่งนี้ไปครอง หากเ้ามีเวลาว่างเยอะก็เข้าวังไปชี้แนะซู่หลวนเสียบ้าง บอกนางว่าอย่าย่ามใจนัก ระวังเอาไว้ด้วย”เหยาเจิ้นถิ่งกล่าวพลางมุ่นคิ้วขมวดไม่เอ่ยถึงเื่ในโรงละครอวิ๋นเต๋อแม้แต่คำเดียว
“วางใจเถิดเ้าค่ะแต่ไหนแต่ไรมาซู่หลวนเป็เด็กฉลาดรู้ความ ยิ่งได้รับพระเมตตาจากฝ่าาได้เป็ถึงกุ้ยเฟย ตำแหน่งหวงโฮ่วย่อมไม่มีตัวเลือกอื่นที่เหมาะสมไปกว่านางวันหน้าย่อมนำเกียรติยศสูงสุดมาสู่วงศ์ตระกูลของเราเป็แน่แท้”โต้วเซียงหลันจงใจเน้นคำว่า “นำเกียรติยศสูงสุดมาสู่วงศ์ตระกูล” หนักแน่นเป็พิเศษแม้จะรู้สึกละอายที่ตนเองประพฤติผิดจรรยาสตรี แต่เมื่อยังมีบุตรสาวที่กำลังจะได้เป็หวงโฮ่วคอยหนุนหลังจึงไม่นึกหวาดหวั่นอีกต่อไป
“หากเป็เช่นนั้นได้ย่อมดีที่สุด”เหยาเจิ้นถิงกล่าวเสียงเรียบประกายเยียบเย็นในแววตาผุดวาบก่อนเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะนั้นเองเกาหมัวมัวก็ยกถ้วยน้ำแกงเมล็ดบัวเข้ามาอย่างกระตือรือร้น
เหยาเจิ้นถิงพรูลมหายใจผ่อนคลายก่อนเอื้อมมือไปหยิบช้อนตักน้ำแกงเมล็ดบัวขึ้นมาเตรียมจะซดขณะที่ช้อนส่งมาถึงริมฝีปาก เหยาโม่หว่านก็วิ่งร้องไห้น้ำตานองหน้าเข้ามาในห้อง
“โม่หว่านคิดถึงบิดา...ฮือๆ” ทันทีที่นางมาปรากฏตัว ทุกคนต่างตื่นตระหนก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโต้วเซียงหลันแววตาของนางเย็นเยียบในบัดดล ถลึงตาดุดันใส่เกาหมัวมัวอย่างแรงจนอีกฝ่ายหน้าเจื่อนเหมือนไม่ได้รับความเป็ธรรมส่วนพ่อบ้านเหยาถูซึ่งยืนรอปรนนิบัติอยู่ที่ประตูก็ประหลาดใจไม่แพ้กันมองทิงเยว่ที่เข้ามาพร้อมกับเหยาโม่หว่านด้วยสายตาเคลือบแคลง
“ไม่เห็นหน้ามาสองวันเ้าแล่นไปที่ไหนมาล่ะ?” จิตใต้สำนึกสั่งให้เหยาเจิ้นถิงหันไปมองโต้วเซียงหลันเดิมทีนึกว่านางตัดรากถอนโคนไปแล้ว
“ฮึก ๆเกาหมัวมัวบอกโม่หว่านว่าท่านแม่ออกไปในที่ไกลมาก ให้โม่หว่านไปตามหาแต่โม่หว่านหาตั้งนาน ก็หาไม่เจอ ท่านแม่ไม่้าโม่หว่านแล้ว ท่านพ่อโม่หว่านเหลือแต่ท่านคนเดียวแล้ว” เหยาโม่หว่านปาดน้ำตามองหน้าเหยาเจิ้นถิงพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
“บะ...บ่าวเปล่านะเ้าคะฟูเหรินใหญ่...” เกาหมัวมัวคิดไม่ถึงว่าเหยาโม่หว่านจะพูดแบบนี้เหงื่อกาฬผุดพรายเต็มหน้าผากในบัดดล
“แม่นมเงินที่ท่านให้มาโม่หว่านเอาไปใช้หมดเกลี้ยงแล้ว ฮือ ๆ” เหยาโม่หว่านใช้สองมือปาดน้ำตาเหลือบตามองเกาหมัวมัวอย่างรู้สึกผิด
“เกาหมัวมัวช่างมีความจงรักภักดีเสียเหลือเกิน”โต้วเซียงหลันย่อมฟังสายสนกลในออก จึงเอ่ยวาจาเสียดสีด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นประดุจน้ำแข็ง
“ไม่มีเื่แบบนั้นเสียหน่อย...คุณหนูสามอย่าได้เอ่ยวาจาส่งเดชเยี่ยงนี้สิเ้าคะ”เกาหมัวมัวมองเหยาโม่หว่านอย่างหวาดหวั่น สั่นสะท้านไปทั้งตัว
“ท่านพ่อโม่หว่านหิวจังเลย...” เหยาโม่หว่านไม่แยแสเกาหมัวมัวแม้แต่น้อย เอาแต่จ้องบิดาตาปริบๆ ด้วยท่าทางน่าสงสาร
“มาเอานี่ไป”เหยาเจิ้นถิงไม่มีอารมณ์นึกอยากอาหารมาั้แ่ต้นจึงผลักถ้วยน้ำแกงเมล็ดบัวที่อยู่ตรงหน้าให้เหยาโม่หว่านเหมือนให้ทานสุนัขตัวหนึ่งในสายตาเขา บุตรสาวเป็เพียงสินค้าไม่คุ้มทุน แม้ว่าเหยาโม่ซินจะได้เป็ถึงหวงโฮ่วเหยาซู่หลวนก็มีฐานะเป็กุ้ยเฟย แต่สำหรับเขาแล้ว พวกนางเป็เพียงเครื่องมือที่ทำให้ตำแหน่งหน้าที่การงานในราชสำนักของตนเองมั่นคงขึ้นเท่านั้น
เหยาโม่หว่านะโโลดเต้นด้วยความยินดีปรีดาถลาเข้ามาคว้าถ้วยน้ำแกงไว้ แต่ด้วยความตื่นเต้นดีใจจนเกินเหตุน้ำแกงทั้งถ้วยจึงหกคว่ำกระจายเต็มพื้น
“ไร้กฎเกณฑ์มารยาทสิ้นดียังไม่รีบพาคุณหนูสามออกไปอีก!” โต้วเซียงหลันแววตาเย็นเยียบ หันไปมองอวี้จืออย่างแฝงความนัยบางอย่าง
“เทียนหลางรีบกลับมาเดี๋ยวนี้” ขณะที่อวี้จือกำลังจะเข้ามาจับตัวเหยาโม่หว่านทันใดนั้นก็มีสุนัขขนดำเมี่ยมั์ตาสีเขียวลักษณะคล้ายหมาป่าวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องโถงกลางตรงเข้ามาเลียน้ำแกงเมล็ดบัวที่หกอยู่บนพื้น
“หลิวสิ่งนี่มันเกิดอะไรขึ้น? ยังไม่รีบเข้าไปลากออกมาอีก หากมันทำให้นายท่านใเ้าจะรับผิดชอบไหวงั้นหรือ” ทันทีที่เห็นเหตุการณ์เหยาถูก็เอ่ยปากตำหนิด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ขออภัยด้วยขอรับนายท่านท่านพ่อบ้าน ข้าน้อยจะจูงมันออกไปเดี๋ยวนี้” หลิวสิ่งมองเหยาถูด้วยสีหน้าหวาดหวั่นตรงเข้าไปลากเทียนหลางทันที แทบจะในเวลาเดียวกัน จู่ ๆเทียนหลางก็หงายหลังตึงชักแหง็ก ๆ ร้องครวญครางออกมาสองสามครั้งก่อนสิ้นลม
“นะ...นี่มัน...น้ำแกงเมล็ดบัวมีพิษกระนั้นหรือ?”พอเห็นสุนัขในบ้านตายไปต่อหน้าต่อตา เหยาถูก็ร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนกหันไปมองเกาหมัวมัวทันที ด้วยประสบการณ์อันยาวนานเขาย่อมตระหนักได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหาใช่เื่บังเอิญกอปรกับเข้าใจเจตนาของเหยาโม่หว่านที่เกริ่นวาจาพุ่งเป้าไปที่เกาหมัวมัวั้แ่ต้นถ้อยคำอุทานของเขาประโยคนี้ จึงเป็เพียงแค่การผลักเรือตามกระแสน้ำเท่านั้นเอง
“เหลวไหลสิ้นดี!”เหยาเจิ้นถิงหน้านิ่วคิ้วขมวด ตบโต๊ะผาง ลุกขึ้นยืน ก่อนสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปหาเกาหมัวมัวแล้วยกเท้าขึ้นถีบอย่างแรงจนนางล้มลงไปบนพื้น จากนั้นค่อยหันมาหาโต้วเซียงหลัน
“นี่น่ะหรือคนดีที่เ้าอบรมสั่งสอนมา!” เหยาเจิ้นถิงตะคอกใส่ด้วยสีหน้าถมึงทึง
“ท่านพี่โปรดตรวจสอบให้ชัดแจ้งด้วยนะ...นางเป็คนของโม่หลี จะต้องเป็โม่หลีแน่นอน...”โต้วเซียงหลันรีบแก้ต่างอย่างร้อนใจ แต่กลับถูกเหยาเจิ้นถิงขัดคอขึ้นก่อน
“นางเป็คนของใครเหล่าฟูรู้มานานแล้ว” แค่คิดถึงเื่ที่เกิดขึ้นในโรงละครอวิ๋นเต๋อ อารมณ์ของเหยาเจิ้นถิงก็เดือดพล่าน
“ท่านพ่อ...โม่หว่านกลัว...”เหยาโม่หว่านเข้าไปซุกข้างกายเหยาเจิ้นถิงประหนึ่งกวางน้อยที่กำลังเสียขวัญละล่ำละลักอย่างขลาดกลัว
“โม่หว่าน ไหน ๆเ้าก็เหลือพ่อเพียงคนเดียวแล้ว ก็อยู่ในจวนอัครเสนาบดีให้ดี ๆ เถิด พ่อขอสาบานตราบใดที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ให้ใครหน้าไหนทำร้ายเ้าได้ทั้งสิ้น เด็ก ๆพาคุณหนูสามกลับห้องไปพักผ่อน”เหยาเจิ้นถิงสาดประกายตาเยียบเย็นมาที่โต้วเซียงหลันทุกถ้อยคำแฝงไปด้วยการตักเตือนอยู่เป็นัย
“นายท่าน...”โต้วเซียงหลันยังคิดจะอธิบายเหตุผล แต่เหยาเจิ้นถิงกลับสะบัดแขนเสื้อจากไปเมื่อเห็นเ้านายออกไปแล้ว เหยาถูก็กำชับให้หลิวสิ่งจัดการเก็บซากสุนัขออกไปและสั่งให้ทิงเยว่พาเหยาโม่หว่านกลับห้อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วตนเองถึงค่อยถอยออกไปจากโถงกลางอย่างเงียบเชียบ
“นายท่าน...นายท่านได้โปรดเชื่อบ่าวน้ำแกงเมล็ดบัวชามนี้ไม่มีพิษจริง ๆ บ่าวจะกล้าวางยานายท่านได้อย่างไรเ้าคะ”พอเห็นเหยาเจิ้นถิงไปไกลแล้ว เกาหมัวมัวก็รีบคลานมาคุกเข่าต่อหน้าโต้วเซียงหลันโขกศีรษะแนบพื้น ตัวสั่นงันงก “ฟูเหริน...ฟูเหริน...บ่าวขายคุณหนูสามให้หออี๋ชุนไปแล้วจริงๆ คุณหนูสามโกหก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็เพทุบายของนางทั้งสิ้น ฟูเหรินท่านต้องเชื่อบ่าวนะเ้าคะ”
“เกาหมัวมัวช่างมีอารมณ์ขันเสียจริงคนเขลาเบาปัญญาอย่างนางจะมีปัญญาใช้เล่ห์กลอันใด? อวี้จือส่งเกาหมัวมัวเข้าห้องลงทัณฑ์”โต้วเซียงหลันแววตาเย็นเยียบ แค่นเสียงลอดไรฟันหลังจากนั้นก็หมุนตัวออกไปจากห้องโถงกลางโดยไม่แยแสต่อเสียงร้องคร่ำครวญของเกาหมัวมัวผู้ที่คิดคดทรยศนางทุกคนในโลกนี้ล้วนต้องตาย โม่หลีก็ใช่ เกาหมัวมัวก็ไม่ต่างกัน
“ไม่นะเ้าคะ...ไม่นะ...ฟูเหรินบ่าวถูกปรักปรำ” เกาหมัวมัวร้องะโจนเสียงแหบแห้งแต่ตัวกลับถูกองครักษ์ในจวนลากออกไปยังห้องลงทัณฑ์เยี่ยงสุนัขตัวหนึ่งห้องลงทัณฑ์เป็สถานที่ลงโทษบ่าวผู้กระทำความผิดปรกติแล้วผู้ที่ถูกส่งเข้ามาที่นี่ น้อยคนนักจะรอดชีวิตออกไปได้มาตรว่ายังมีชีวิตอยู่ ก็เหลือเพียงลมหายใจรวยรินเหมือนตายไปแล้วครึ่งตัว
บัดนี้เวลาผ่านมาแล้วครึ่งคืนอากาศหนาวเหน็บจนจับเป็น้ำแข็งเสียงร้องครวญครางราวกับหมูถูกเชือดของเกาหมัวมัวยังคงดังต่อเนื่องไปจนถึงยามโฉ่ว[1] หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ หยุดลง
เรือนหนิงหวา(เรือนสงบงาม)
ภายในห้องเงียบสงัดแสงเทียนสลัวราง ควันสีขาวคล้ายหมอกลอยฟุ้งออกมาจากโถกำยานทำให้บรรยากาศดูคล้ายความฝัน
“ช่างเป็การแก้แค้นที่สาแก่ใจจริงๆ เลยเ้าค่ะ คุณหนู” ทิงเยว่เดินจากริมหน้าต่างมาอยู่ข้างกายเหยาโม่หว่านหัวใจอิ่มเอมเปรมปรีดิ์อย่างไม่อาจระงับไว้ได้
เหยาโม่หว่านกำลังนั่งเท้าคางอยู่ข้างโต๊ะอีกมือหนึ่งหยิบที่ดับตะเกียงโลหะมาล้อเปลวเทียนเล่นเบา ๆ อย่างใจจดจ่อหลังจากได้ยินวาจาของทิงเยว่ถึงวางของในมือลง ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยอิริยาบถผ่อนคลาย
“ได้เวลาแล้วไปห้องเก็บฟืนเป็เพื่อนข้าทีสิ” หลังจากลุกขึ้น ดวงเนตรภายใต้แพขนตางดงามประดุจปีกผีเสื้อของเหยาโม่หว่านสาดประกายเยียบเย็นจนน่าขนลุกขณะที่ทิงเยว่ยังคงตะลึงงัน เหยาโม่หว่านก็ก้าวออกจากเรือนหนิงหวาไปแล้ว
...
เชิงอรรถ
[1] ยามโฉ่ว หรือยามฉลูหมายถึง่เวลาั้แ่ 1.00-2.59 น.