ผู้ที่ฆ่าเหลียงหู่ตาย คือผู้คุ้มกันคนหนึ่งของหน่วยคุ้มกันภัยที่อยู่ในหน่วยงานรักษาความปลอดภัยเดียวกันกับเขาเมื่อครั้งก่อน
เมื่อก่อนเหลียงหู่อายุยังน้อยไม่เข้าใจการติดต่อกับสังคมภายนอกและชอบแข่งขัน อาศัยว่ามีกำลังป่าเถื่อนโดดเด่น แต่ไหนแต่ไรมาไม่มองผู้คุ้มกันที่ฝีมือธรรมดาอยู่ในสายตา เวลาค่อยๆ ผ่านไปความขัดแย้งก็ยิ่งมากขึ้น ผู้คุ้มกันในหน่วยส่วนใหญ่ไม่ชอบเขา แต่ฝีมือการต่อสู้ของเขาค่อนข้างไม่ธรรมดาจริงๆ ทุกคนจึงทำได้เพียงข่มใจไว้ไม่ไปหาเื่ ยิ่งเป็เช่นนี้กลับทำให้เหลียงหู่ยิ่งลำพองใจ การทะเลาะวิวาทครั้งหนึ่งมักนำไปสู่การตีกันอยู่บ่อยครั้ง ผู้คุ้มกันที่ถูกเหลียงหู่ต่อยตีาเ็ทำให้ความสามารถลดลงก็มีจำนวนไม่น้อย
ฆาตรกรที่ลอบสังหารเหลียงหู่ก็เป็หนึ่งในคนเ่าั้ ตอนแรกเขาถูกเหลียงหู่ต่อยตีจนกระดูกหัก ใช้เวลาครึ่งปีถึงจะรักษาหายดี ไม่เพียงสูญเสียอาชีพทำมาหากินจากผู้คุ้มกันไป การรักษาอาการป่วยและพักฟื้นรักษาาแยิ่งเป็ค่าใช้จ่ายไม่น้อยอีกด้วย
เขาโกรธแค้นอยู่ในใจ หลังจากหายดีก็ใส่ใจการเคลื่อนไหวของเหลียงหู่มาโดยตลอด สองปีนี้จึงติดสินบนลูกน้องระดับต่ำคนหนึ่งของเหลียงหู่ และก็เป็ลูกน้องระดับต่ำผู้นี้เช่นกันที่ส่งข่าวไป เมื่อเขาได้รับข่าวจึงคิดลงมือฆ่าเหลียงหู่ขึ้น
ขาหักาเ็หนัก นับเป็โอกาสที่หาได้ยาก
จึงฉวยโอกาสวางแผนตอนที่เขาป่วยเพื่อเอาชีวิต ด้วยเหตุนี้ในคืนเดียวกันเขาจึงแทรกซึมเข้าไปยังหมู่บ้านเหลียงผิง แทงหนึ่งมีดจบชีวิตน้อยๆ ของเหลียงหู่ลง
ทันทีที่ทำสำเร็จจึงหนีไปไกลพันลี้ ฝ่ายทางการเลยจับเขาไม่ได้แม้แต่ผมครึ่งเส้น
องครักษ์ลับนำข่าวที่สืบสวนได้ทยอยรายงานออกมาด้วยความเคารพและเชื่อฟัง สุดท้ายกล่าวถาม “คุณชายรอง ต้องส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปจับผู้คุ้มกันที่ฆ่าคนกลับมาหรือไม่ขอรับ?”
“…ไม่ต้อง”
หลัวจิ่งโบกมือ เดิมทีเขาตั้งใจจะลงโทษเหลียงหู่อยู่แล้ว คนแบบนี้มีชีวิตอยู่บนโลกก็เป็บุคคลที่ก่อให้เกิดหายนะ
มีคนชิงลงมือล่วงหน้าแล้วก็ดี เขาจะได้ไม่ต้องออกแรง หากไม่ระวังเพียงนิดอาจปรากฏร่องรอยออกมาได้ แบบนี้ดีที่สุดแล้ว
เื่ของเหลียงหู่แพร่กระจายอย่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา การดำเนินชีวิตของหมู่บ้านวั้งหลินยังคงสงบเงียบ
ผลของการไปเยี่ยมเยียนหลิวผิงปรากฏออกมาชัดเจนมาก
หลังทหารเร็วเคยมาสอบสวนแล้วก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกเลย
ครอบครัวจ้าวหงยู่จิตใจไม่สงบอยู่สองสามวัน หวังซื่อทนดูต่อไปไม่ได้ เลยแอบบอกให้พานซื่อทราบเป็การส่วนตัว บอกพวกเขาด้วยความนุ่มนวลอ้อมค้อมว่าเื่ของเหลียงหู่ไม่มีทางเกี่ยวพันถึงครอบครัวของพวกเขา พานซื่อดีใจระคนแปลกใจ นางรู้ว่าสกุลหูมีเส้นสายในเมือง ข่าวที่สอบถามมาได้น่าจะแม่นยำน่าเชื่อถือ ทันใดนั้นจึงนำข่าวมาบอกแก่จ้าวหงยู่
การาเ็เก่าของจ้าวหงยู่ยังไม่ทันหายดี เพราะถูกสอบสวนเื่ของเหลียงหู่ทำให้ใไปพักหนึ่ง ในคืนวันเดียวกันก็จับไข้ขึ้น อาการป่วยที่มีอยู่เดิมกลับเพิ่มอาการป่วยไข้เข้าไปอีก ผ่านไปไม่กี่วันคนป่วยก็ผอมซูบลงไป คนทั้งร่างดูแล้วเหลือเพียงกระดูก
เมื่อนางได้ยินข่าวน้ำตาจึงไหลร่วง เพราะเื่ของเหลียงหู่ นางกลัวว่าจะพัวพันคนในครอบครัวไปด้วยจึงกลัดกลุ้มและพูดน้อยมาตลอด หากไม่ใช่ว่าพานซื่อเฝ้าอยู่ทั้งคืนทั้งวัน นางคงคิดหนึ่งหัวชนตายไปนานแล้ว ยอมสละชีวิตไม่ให้เป็ภาระคนในครอบครัวต่อไปจะดีกว่า
หวังซื่อมองจ้าวหงยู่ผอมจนกระดูกดั่งฟืน [1] รู้สึกเศร้าใจไปชั่วขณะ หลังจากนั้นได้นำกระดูกที่เจินจูซื้อมาบำรุงร่างกายหูฉางหลินไปมอบให้ แล้วยังเพิ่มไข่ไก่สามสิบฟองให้พานซื่อ ให้นางตุ๋นน้ำแกงกระดูกและนึ่งไข่ไก่เล็กๆ น้อยๆ บำรุงร่างกายให้จ้าวหงยู่
พานซื่อซาบซึ้งจนน้ำตาไหล บุตรสาวป่วยแล้วป่วยอีก เงินออมที่มีในครอบครัวล้วนจ่ายไปเป็ค่าสมุนไพรทั้งหมด ค่าใช้จ่ายสมุนไพรครั้งนี้เป็การนำปิ่นปักผมเงินอันหนึ่งที่นางเก็บไว้ก้นกล่องไปแลกเป็เงินมา จึงรวบรวมค่าสมุนไพรต้มได้เพียงพอ
้าบำรุงร่างกายให้บุตรสาว ทำได้เพียงพึ่งพาเงินหนึ่งร้อยเหวินที่จ้าวหงซานเอากลับมาทุกเดือนนั้น ซื้อข้อกระดูกราคาถูกจำนวนหนึ่งมาตุ๋นน้ำแกงอยู่บ่อยครั้ง ที่บ้านยังมีตงเซิ่งกำลังโตกับน้องสาวคนเล็กอายุเพิ่งจะสองปีอีกด้วย เมื่อแต่ละคนล้วนจำเป็ต้องบำรุงร่างกาย นางดูแลหนึ่งคนนี้ได้แต่ดูแลคนทั้งครอบครัวไม่ทั่วถึง
การให้ถ่านกลางหิมะ [2] ของสกุลหู ทำให้ทั้งครอบครัวจ้าวหงยู่ตื้นตันใจอย่างสุดซึ้ง แทบอยากจะโขกศีรษะกับพื้นทำการขอบคุณพวกเขาสองสามครั้ง เพื่อแสดงการสำนึกในบุญคุณ
ยิ่งไปกว่านั้น เื่ที่หูฉางหลินถูกทุบตี เดิมทีเกี่ยวข้องกับพวกเขา แต่สกุลหูไม่เพียงไม่เอ่ยถึงสักคำ แล้วยังกลับปลอบใจพวกเขาอีก พานซื่อคิดดังนั้นล้วนซาบซึ้งใจจนมือหนึ่งเต็มไปด้วยน้ำตามือหนึ่งเต็มไปด้วยน้ำมูก
เจินจูได้ยินข่าว วันต่อมาจึงจูงหลี่ซื่อหิ้วไข่ไก่สามสิบฟองกับเนื้อพะโล้หนึ่งถ้วยใหญ่ไปเยี่ยมเ้าหงยู่
ใบหน้านั้นผอมจนรอบดวงตาเว้าลึกสีหน้าขาวซีด ทำให้คนที่พบเห็นอดแสบจมูกเพราะความสงสารไม่ได้
หลี่ซื่อขี้สงสาร คำพูดไม่ออกจากปากแต่น้ำตากลับไหลพรากร่วงลงมา
จ้าวหงยู่ชีวิตขมขื่นนัก เจอเข้ากับคนระยำเช่นนั้น ตอนมีชีวิตอยู่ถูกทุบตีด่าทอ พอตายไปแล้วยังต้องเกี่ยวพันกับเขา ทำให้นางต้องตกเป็ผู้ต้องสงสัยอีก
เด็กสาวแสนดี เพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ ทุกข์ทนจนกลายเป็เช่นนี้
หลี่ซื่อร้องไห้น้ำตาเปียกชุ่ม กุมมือของนางไว้ ปลอบใจอย่างไร้เสียง
ออกมาจากบ้านของจ้าวหงยู่ ดวงตาของหลี่ซื่อบวมจนกลายเป็รอยเย็บหนึ่งเส้น เจินจูทั้งขบขันและปวดใจ “ท่านแม่ ให้ท่านมาเยี่ยมท่านอาหงยู่ ดีเสียนี่ ท่านร้องไห้หนักกว่าคนเขาอีก ดูดวงตาของท่านสิเ้าคะ กลับไปท่านพ่อคงจะดุข้าแล้ว”
“ข้า ข้าก็ไม่ได้อยากเป็เช่นนี้ แค่เห็นท่านอาหงยู่ของเ้าแล้วน่าสงสารเกินไปจริงๆ เลยกลั้นไว้ไม่ไหว” หลี่ซื่ออายอยู่บ้าง ลูบคลำดวงตาของตนเองที่ร้องไห้จนเจ็บเล็กน้อย และถามด้วยความเป็กังวล “ตาบวมหนักมากเลยหรือ? นี่จะทำอย่างไรดี?”
“บวมจนเหลือหนึ่งรอยเย็บแล้ว ท่านว่าหนักมากหรือไม่เล่าเ้าคะ” สองตาของหลี่ซื่อบวมแดง ดูน่ารักเกินไปแล้ว เจินจูกลั้นไม่ได้ไปชั่วขณะจึงยิ้มออกมา “เดิมทีก็ดีอยู่หรอก พอท่านเข้าบ้านไปก็ร้องไห้ ทำเอาท่านอาหงยู่ ท่านย่าของตงเซิ่งกับท่านแม่ของตงเซิ่งล้วนดวงตาแดงตามไปด้วย ท่านน่ะไม่เห็น เมื่อครู่ตอนที่มาส่งพวกเราออกจากบ้าน ดวงตาของพวกนางสภาพไม่ได้ดีไปกว่าท่านเลยเ้าค่ะ”
“…เป็ความผิดของแม่ เฮ้อ” หลี่ซื่อยกมือขึ้นปิดดวงตา ชาวบ้านในหมู่บ้านผ่านไปมาไม่น้อย ให้คนเห็นเข้าไม่รู้ว่าจะแต่งเื่กันไปอย่างไรบ้าง
กลับมาถึงบ้าน หูฉางกุ้ยกำลังใส่ปุ๋ยให้ต้นกล้าที่ปลูกใหม่ ประสิทธิภาพในการจัดการเื่ราวของหลิวผิงสูงนัก ต้นกล้าที่เจินจูเอ่ยชื่อไปล้วนอยู่ในนั้นทั้งหมด หูฉางกุ้ยทำตามความคิดเห็นของเจินจู ต้นกล้าของหน้าบ้านและหลังบ้านปลูกกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยและต้นหวายม่วง ไว้กับริมกำแพงทั้งหมดทีละต้นอย่างเรียบร้อย พร้อมกับพุทราสองต้นสีเขียวสว่างไสวที่บุตรสาวขุดกลับมาเมื่อวาน
เมื่อเปิดประตูลานบ้านให้สองแม่ลูก ดวงตาบวมแดงของหลี่ซื่อทำเอาเขาใ รีบพุ่งไปข้างหน้า ถามด้วยความห่วงใย “หรงเหนียง นี่เ้าเป็อะไร? ทำไมดวงตาบวมจนกลายเป็เช่นนี้?”
เจินจูกลั้นหัวเราะไว้ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา กลับหิ้วตะกร้าเปล่าไปหลังบ้านทันที
หลี่ซื่อลูบคลำดวงตา อายจนหน้าแดงแล้วเดินไวๆ ไปทางห้องของตนเอง
หูฉางกุ้ยไม่รู้มูลเหตุเื่ราวก็รีบตามไปด้วย
...ูเาซิ่วซี ลักษณะูเาเป็ลูกคลื่นคดเคี้ยว หากปีนขึ้นไปถึงยอดบนสุดจะมองเห็นทัศนียภาพทั้งหมู่บ้านได้ชัดเจน
เจินจูเดินตามเงาร่างของเสี่ยวเฮย คลานขึ้นไปข้างบนตลอดทาง เพียงพอที่จะทำให้นางที่ตัวเบาและร่างกายแข็งแรง ยามนี้กลับหอบหายใจเล็กน้อย
นางยืนนิ่ง หันมองกลับไปข้างล่างที่ห่างออกไปร้อยเมตร ปรากฏเงากายของคนดื้อรั้นเดินมาทางนางอย่างเชื่องช้าแต่กลับมีความเร็วสม่ำเสมอ
ดื้อรั้นจริงๆ บอกเขาว่าอย่าปีนเขา ก็ยังจะตามมาให้ได้ เจินจูทำปากยื่น มองไปรอบๆ หาหินหนึ่งก้อนใหญ่พบแล้วนั่งลงไป
“เสี่ยวเฮย มานี่ พวกเรารอเขาหน่อยเถอะ”
ตบที่ว่างด้านข้างเบาๆ ร่างคล่องแคล่วของเสี่ยวเฮยะโขึ้นมาหนึ่งที นั่งอยู่ข้างกายนาง
“เหมียว” เสี่ยวเฮยเหลือบมองเงากายที่อยู่ไม่ไกลออกไปด้วยความรำคาญแวบหนึ่ง มนุษย์ช่างร่างกายอ่อนแอนัก ระยะห่างเล็กน้อยแค่นี้ครึ่งค่อนวันยังปีนขึ้นมาไม่ได้
“หึๆ” เจินจูฟังความรำคาญของมันออก หัวเราะแล้วอุ้มมันเข้ามาในอ้อมแขน ลูบขนของมันอย่างปลอบใจ
หลัวจิ่งยกเท้าปีนขึ้นที่สูงด้วยความเหนื่อยยากลำบาก ถนนูเาสูงและชัน หินวางกระจายไม่เป็ระเบียบ เดินไปข้างหน้ายากมาก
ขาของเขาเดินบนพื้นที่เรียบไม่รู้สึกเ็ป แต่เพิ่งปีนถนนูเามาครึ่งหนึ่ง ส่วนขาที่เคยหักกลับเจ็บแปลบขึ้นมาลางๆ แล้ว
มองไปยังทางข้างหน้า เห็นเด็กสาวบนที่สูงกว่าอุ้มแมวน้อยสีดำขลับ กำลังนั่งอยู่บนหินอย่างสบายใจ สายตามองมาทางเขาวูบไหว แววตาเยาะเย้ยอยู่ในที
“…”
หลัวจิ่งหางตากระตุก กัดฟันเดินต่อไปข้างหน้า
ผ่านไปสักครู่ เขาจึงปีนมาถึงข้างหินอย่างลมหายใจไม่เป็ระเบียบ
“มา นั่งพักสักหน่อย ขาของเ้ายังไม่หายดีทั้งหมด ถึงตรงนี้ก็ใช้ได้แล้ว ให้เดินขึ้นไปอีกคงต้องไปเชิญท่านหมอเป็แน่” เจินจูหัวเราะ
หลัวจิ่งผ่อนคลายลมหายใจพักหนึ่ง หินก้อนใหญ่มาก เขาขยับเข้าใกล้แล้วนั่งลง
“เ้า ยังจะขึ้นไปอีก?” เขาถาม
“อื้ม เสี่ยวเฮยให้ข้าขึ้นไป” สองวันมานี้เสี่ยวเฮยเอาแต่กวนนาง คงอยากให้นางตามขึ้นเขามาสักรอบ เจินจูเดาว่ามันอาจจะพบของอะไรดีๆ เข้า
“…มัน ให้เ้าขึ้นไปทำอะไร?” หลัวจิ่งมองแมวสีดำที่เฉยเมยอยู่ในอ้อมแขนของนางแวบหนึ่ง รู้สึกมุมปากกระตุกไปชั่วขณะ แมวนี่กลายเป็ปีศาจไปแล้วจริงๆ สายตานั่นดูถูกและเหยียดหยามออกมาอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน
“ไม่รู้สิ คาดว่าอาจพบของดีอะไรเข้า เลยอยากให้ข้าไปดูสักหน่อยกระมัง” เจินจูตอบตามความจริง
“ในเขาลึกอันตรายเกินไปแล้ว เ้าเด็กสาวคนเดียวอย่าไปเลยจะดีกว่า” หลัวจิ่งเตือน หากขาของเขาคล่องแคล่ว เขาสามารถไปเป็เพื่อนนางได้
น่าเสียดาย คลึงขาที่เ็ปเล็กน้อย เขาเอาแต่ใจตัวเองไม่ได้จริงๆ กว่าจะรักษาขาหักให้หายได้ไม่ง่ายเลย หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีก คงต้องกลับไปนอนราบอีกครึ่งปี
“ฮ่าๆ นี่เป็ในเขาลึกเสียที่ไหน เ้าดู ต้องข้ามูเาสองลูกนั้นไป ถึงจะเรียกได้ว่าูเาลึก” เจินจูหัวเราะ ชี้ไปทางเทือกเขาที่อยู่ห่างไกล
“…งู แมลง และสัตว์ดุร้ายบนูเานี้ก็ไม่น้อยกระมัง? อย่างไรก็ยังอันตรายอยู่บ้าง” หลัวจิ่งโน้มน้าวไม่เลิก
“ไม่เป็ไร ข้ามีเสี่ยวเฮยอยู่ ยอดเขาไม่กี่ลูกนี่มันคุ้นเคยดีเลยล่ะ” เจินจูโบกไม้โบกมือ เงยหน้ามองสีท้องฟ้า หากยังเยิ่นเย้อต่อไปอีกคงไม่ต้องไปแล้วจริงๆ “ข้าไปดูหน่อยเดี๋ยวจะกลับมา เ้าค่อยๆ ลงไปเองก่อนเถอะ ระวังหน่อยนะอย่าหกล้มลงไปล่ะ”
ขณะกล่าว นางก็หยัดตัวลุกขึ้นและวิ่งตามหลังเสี่ยวเฮยออกไป
“…”
เจินจูหันกลับมาโบกมือ อยากจะรอก็รอไปเถอะ อย่างไรเสียนางก็ไม่คิดที่จะไปนานนักหรอก
ตามอยู่ข้างหลังเสี่ยวเฮย ตลอดทางที่มุ่งขึ้นมากลับไม่มีชาวบ้านเดินไปมาบนถนนูเาเส้นนี้เท่าไร เพราะูเาสูงด้านนี้เส้นทางลาดชันนัก อีกทั้งทางูเายังมีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด มองแล้วหนทางสัญจรลำบาก
เจินจูเดินไปข้างหน้าอย่างลำบากพร้อมกับเสี่ยวเฮย กว่าจะเดินมาถึงระหว่างป่าเขาที่โล่งกว้างได้ไม่ง่ายเลย
“เสี่ยวเฮย เป็ที่นี่หรือ?” นางหอบหายใจ มองซ้ายขวาแล้วถาม
“เหมียว” เสี่ยวเฮยหันหัวกลับไปร้อง เดินไปทางข้างหน้าต่อ
“ไอ๊หยา ยังไม่ถึงหรือ? ไกลเกินไปแล้วกระมัง?” เจินจูร้องโอดครวญหนึ่งที แม้ทางไม่ไกล แต่การเดินทางยากเกินจะทน ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็ต้นไม้ใบหญ้าเจริญงอกงาม หากไม่ทันเฝ้าระวังอาจหลงทางก็เป็ได้
เฮ้อ เอาเถอะ นางถอนหายใจ ตามอยู่ด้านหลังแมวอย่างยอมรับชะตากรรม
ครั้นเลี้ยวขวาโค้งซ้าย แล้วตรงเข้าไประยะหนึ่ง ในที่สุดก็เดินอ้อมด้านข้างของยอดเขามาแล้ว เสี่ยวเฮยหยุดลง...
เจินจูเลี้ยวผ่านข้างยอดเขามา มองเห็นพื้นที่กว้างหนึ่งผืนทันใด ลมเย็นอ่อนๆ พัดโชยเข้ามาปะทะเข้าที่ใบหน้า
ว้าว บึงน้ำมรกตใหญ่มาก ฝั่งหนึ่งติดกำแพงด้านข้างูเา ข้างใต้กำแพงมีลักษณะโค้งเว้า และบนพื้นใต้นั้นมีหินระเกะระกะผุดขึ้นมากมาย ทัศนียภาพของน้ำคล้ายกับสีมรกต กระเพื่อมทอแสงสว่างประกายระยิบระยับ และมีก้อนหินน้อยใหญ่เรียงซ้อนกันอยู่โดยรอบ
“เหมียว” เสี่ยวเฮยะโไม่กี่ทีก็ไปถึงข้างบึงน้ำ มันหันกลับมามองแล้วเริ่มร้องเรียกเจินจู
“รอเดี๋ยว ข้าพักก่อนครู่หนึ่ง เหนื่อยจะตายแล้ว” เจินจูเดินเข้าใกล้หินหนึ่งก้อน หย่อนก้นนั่งลงไป
เสี่ยวเฮยหมุนตัวกลับ ในทันทีก็ะโอย่างคล่องแคล่วว่องไวไปบนก้อนหินที่มีน้ำไหลวนผ่าน หลังจากนั้นจ้องเขม็งไปยังผืนน้ำไม่ไหวติง
มันกำลังทำอะไร? เจินจูประหลาดใจอย่างมาก หรือว่าอาศัยอุ้งเท้าแมวของมัน สามารถจับปลาจากในน้ำขึ้นมาได้อย่างนั้นหรือ?
สูดลมหายใจให้สงบพักหนึ่ง เสี่ยวเฮยยื่นกรงเล็บสะบัดออกไปในน้ำอย่างเต็มแรง
ละอองน้ำกระเซ็นรอบทิศ แสงสีเงินสายหนึ่งปรากฏร่วงลงบนพื้นดิน
เชิงอรรถ
[1] ผอมจนกระดูกดั่งฟืน หมายถึง คนที่ผอมแห้งมากๆ
[2] ให้ถ่านกลางหิมะ หมายถึง ให้ความช่วยเหลือในยามคับขันได้อย่างทันท่วงที