ซินหรูยื่นมือออกไปรับ “นี่คืออะไรเ้าคะ?”ไหนเลยจะคิดว่าสิ่งที่อยู่ในมือนั้นจะให้ความรู้สึกทั้งลื่นและเย็นมือซินหรูก้มหน้าลงมอง นางตื่นตระหนกเสียจนสั่นเทิ้ม “อ๊า...งู”ปฏิกิริยาโต้ตอบของนางก็คือสะบัดมืออย่างเอาเป็เอาตาย เดิมทีงูตัวนั้นยังอยู่ในอารมณ์สุภาพนุ่มนวลทว่าราวกับมันถูกทำให้โกรธขึ้งขึ้นมาเช่นกันมันจึงใช้ร่างของมันตวัดกลับมาพันรัดแขนของซินหรู ไม่ว่านางจะสะบัดมืออย่างไรก็สลัดไม่หลุด
งูตัวนั้นจึงตอบแทนซินหรูด้วยกันกัดซินหรูครั้งหนึ่ง
เจ็บเหลือเกิน
ซินหรูเห็นปากแผลที่ถูกงูกัดมีเืสดๆ ไหลออกมารู้สึกไร้สิ้นหนทางอย่างที่สุด ดวงตาพลันพร่ามัว “ข้าต้องพิษแล้ว...”จากนั้นดวงตานั้นปิดลงพร้อมกับหมดสติทันที
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นราวกับเสมือนสายน้ำที่ไหลเอื่อยและเมฆที่คล้อยต่ำหลินชิงเวยถึงกับอ้าปากค้าง นางกระพริบตาปริบๆ “ให้ตายเถอะ คงไม่ใช่กระมังงูนี้ไม่มีพิษนี่นา”
ซินหรูถูกทำให้ตระหนกเสียจนหมดสติ รอกระทั่งนางได้สติคืนมา หลินชิงเวยยืนโบกมือไปมาอยู่ข้างหน้านางพร้อมกับกับงูในมือนางเพียงแต่อ้าปากเพื่อหายใจเฮือกหนึ่งก็ถูกทำให้ใจนหมดสติไปอีกครั้ง
ความกล้าหาญของมนุษย์ล้วนต้องถูกฝึกฝนออกมาทั้งสิ้นอย่างเช่นซินหรูซึ่งเป็คนขี้กลัวก็ไม่ได้เป็ข้อยกเว้นนางถูกทำให้ตื่นตระหนกใไปหลายต่อหลายครั้งจนมากพอแล้ว เมื่อต้องเผชิญกับงูที่หลินชิงเวยโยนเข้ามาในอ้อมกอดของตนนางจึงมีสติและความกล้าหาญจนไม่หมดสติอีกแล้ว
แม้ว่านางจะอยากหมดสติเหลือเกินก็ตามที
ซินหรูเพิ่งจะรู้ว่างูที่หลินชิงเวยโยนให้นางล้วนไม่มีพิษอีกทั้งไม่เพียงเช่นนี้ งูทั้งหมดที่อยู่นอกเรือนนั้นล้วนไม่มีพิษ แม้จะมีงูบางตัวที่ดูไปแล้วมีสีสันแปลกตาก็ตามทันทีที่เห็นแล้วก็ต้องคิดว่าเป็งูมีพิษแน่แท้ทว่าในยามว่างหลินชิงเวยจะจับงูเหล่านี้มารีดพิษออกมาเสียนางทำความสะอาดต่อมพิษของพวกมันด้วยตนเองดังนั้นพวกมันดูไปแล้วทำให้คนที่พบเห็นใได้เมื่อกัดคนขึ้นมาแล้วจะเ็ปมากกว่าธรรมดาสักหน่อยนอกนั้นแล้วไม่มีอันตรายถึงชีวิต
ซินหรูมือซ้ายจับงูตัวหนึ่ง มือขวาจับงูอีกตัวหนึ่ง บนหลังมือและในอุ้งมือทั้งคู่ล้วนมีแต่รอยตะปุ่มตะป่ำที่ถูกงูกัดแม้กระทั่งใบหน้าก็ขึ้นตุ่มแดงหลายจุด นางไม่ได้หวาดกลัวเช่นนั้นอีกแล้วเล่นกับงูไปพร้อมกับถามขึ้นว่า “พี่สาวเหตุใดพวกมันจึงเชื่อฟังคำสั่งของท่านเช่นนี้เ้าคะ?”
หลินชิงเวยกล่าว “ใครดีมาย่อมดีตอบ ไม่เพียงแต่สัตว์ที่เป็เช่นนี้มนุษย์เราก็เฉกเช่นเดียวกัน”
ต่อมาพวกเขาได้รู้จากเหล่าขันทีที่เข้ามาทำงานในตำหนักเย็นว่าเซียวจิ่นฮ่องเต้น้อยทรงมีอาการประชวรอีกแล้วอีกทั้งอาการประชวรครั้งนี้หนักหนาสาหัสกว่าครั้งที่แล้วเริ่มจากอาการปวดท้องไม่หยุด ต่อมาตัวร้อนไข้ขึ้นไม่ลด
บรรยากาศภายในวังหลวงตกอยู่ในภาวะตึงเครียดชนิดหนึ่งไม่มีใครรู้ว่าฮ่องเต้น้อยจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้หรือไม่ หากมิอาจก้าวผ่านไปได้เช่นนั้นคงถึงคราต้องเปลี่ยนผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ัเสียแล้ว
ครั้งนี้ผู้ที่มามีเพียงเซียวเยี่ยน องครักษ์ไม่ได้ติดตามมาด้วย ครานี้นับได้ว่าบนใบหน้าของเขาปรากฏอารมณ์และความรู้สึกอยู่บ้างเมื่อเขาก้าวเข้ามายืนอยู่ในเรือนหลังเล็กของหลินชิงเวยนั้นหลินชิงเวยกำลังเก็บข้าวของในห้อง เมื่อได้ยินเสียงเรียกของซินหรูนางจึงค่อยๆก้าวออกมาจากห้อง
ในเวลานี้แสงจากท้องฟ้าส่องสว่างเจิดจ้าครอบคลุมเรือนหลังเล็กในตำหนักเย็น ทำให้ดูไปแล้วไม่มีบรรยากาศเข้มงวดเคร่งครัดเช่นยามปกติชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ในเรือน ทำให้แสงแดดรอบกายนั้นดูเบาบางลงทว่าพลังที่แผ่กำจายออกมาจากร่างของเขานั้นกลับเยือกเย็นบนศีรษะด้านหลังของเขามีหยกชิ้นหนึ่งรวบเส้นผมดำขลับเอาไว้สีหน้าและรูปหน้าของเขาปรากฏชัดเจน ดวงตาหงส์คู่นั้นนิ่งลึกราวกับบ่อน้ำที่มองไม่เห็นก้นลึกเสียจนน่าใ
หลินชิงเวยยืนอยู่ใต้ชายคาเรือน ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆปรากฏรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี “เซ่อเจิ้งอ๋องมาที่นี่อีกครั้ง ดูเหมือนท่านจะกำลังโกรธเคืองอย่างยิ่ง”เซียวเยี่ยนไม่ได้ตอบ นางจึงกล่าวสืบไป “ข้าได้ยินขันทีและองครักษ์ที่เฝ้าประตูพูดกันแล้วว่าฝ่าาทรงประชวรหนักเวลานี้ดูเหมือนโชคลาภวาสนาของเซ่อเจิ้งอ๋องจะมาถึงแล้ว”
เซียวเยี่ยน “เป็ฝีมือของเ้าจริงๆ”