พิธีประชันสาวงามของหอจุ้ยฮวนใกล้เข้ามาแล้ว หญิงสาวทุกคนล้วนกระสับกระส่ายเล็กน้อย
เดิมทีการตายของชิงเกอทำให้พวกนางตื่นตระหนกไปชั่วขณะ แต่เมื่อพิธีใหญ่ใกล้เข้ามา น้อยคนนักที่จะพูดถึงเื่นี้อีก เมื่อวันเวลาผ่านไปบุคคลที่ล่วงลับไปแล้วก็ค่อยๆ ถูกลืมเลือนเป็ธรรมดา ดูเหมือนจะไม่มีใครจำได้ว่าเคยมีหญิงสาวที่ชื่อชิงเกอในหอจุ้ยฮวน
สำหรับแม่นางน้อยเหล่านี้ เหรียญเงินจากผู้อุปถัมภ์เปรียบเสมือนแม่น้ำหวงเหอที่ไหลลงมาจากฟากฟ้า
เมื่อม่านอู่มาถึงก็เห็นอวิ๋นจื่อกำลังชงชา เพราะซูเจินส่งข้อความมาบอกล่วงหน้าว่าเขากำลังมา นี่จึงเป็ครั้งแรกที่นางชงชาด้วยตนเอง
เมื่อม่านอูเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วิธีที่แม่นางชงชาดูเหมือนคุณหนูจากตระกูลใหญ่ มองแล้วรู้สึกเจริญตาจริงๆ”
ม่านอู่สวมชุดผ้าปักสีเขียวมรกตที่มีเอกลักษณ์และงดงาม ลายดอกโบตั๋นดอกใหญ่บานสะพรั่งดูโดดเด่นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ช่างเป็ความงามที่โอ่อ่าไม่เหมือนใคร
อวิ๋นจื่อกล่าวชม “วันนี้แม่นางดูสดใสมาก”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ม่านอู่ก็พูดด้วยท่าทีอิจฉาว่า “ไม่ว่าจะสดใสเพียงใดก็เทียบไม่ได้กับความงามของเ้า คุณชายซูกำลังจะมาหรือ?”
อวิ๋นจื่อก้มหน้าลงและยิ้มอย่างเขินอาย
ในขณะนี้ซูเจินเพิ่งมาถึง เมื่อเห็นว่าม่านอู่อยู่ด้วยเขาก็กล่าวว่า “แปลกจริง ลมอะไรพัดแม่นางม่านอู่มาอยู่ที่นี่กับแม่นางปี้เหยียน”
ม่านอู่มีท่าทีเชื่อฟังมาก นางกล่างด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างนอบน้อมแต่ขี้เล่นว่า “ถ้าคุณชายซูมาได้ เหตุใดม่านอู่จะมาไม่ได้ล่ะเ้าคะ?”
ซูเจินยิ้ม “แม่นางน้อย ข้าจะไปหาเ้าในภายหลัง เช่นนั้นตอนนี้เ้ากลับไปรอข้าดีๆ เถิด”
ม่านอู่พูดบางอย่างด้วยท่าทีขุ่นเคืองเล็กน้อยก่อนจะยอมจากไปแต่โดยดี มีเพียงอวิ๋นจื่อเท่านั้นที่จ้องมองเขาด้วยความงุนงง นางกล่าวว่า “คุณชายซูช่างเก่งกาจเื่การเกลี้ยกล่อมสตรีเสียจริง”
ซูเจินรินชาให้ตัวเองและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เ้าล้อข้าเล่นแล้ว เมื่อเทียบกับเย่เช่อข้ายังด้อยกว่าเล็กน้อย ข้าไม่รู้ว่าแม่นางและประมุขตระกูลมู่มีมิตรภาพอันลึกซึ้งต่อกันได้อย่างไร?”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ท่านประมุขมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านแม่ของข้า ดังนั้นจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือข้าตามสมควร ในอนาคตปี้เหยียนยังต้องพึ่งพาคุณชายอีกมาก”
ขณะที่อวิ๋นจื่อพูดคุยกับซูเจิน นางก็สั่งให้หงหลิงไปเอากู่ฉินมา ก่อนที่ซูเจินจะทันได้เอ่ยปากถาม นางก็เริ่มบรรเลงเพลงแล้ว
เสียงของกู่ฉินฟังดูอ้อยอิ่งเหมือนเสียงน้ำไหล และเสียงดนตรีที่ไหลเอื่อยๆ เช่นนี้ก็ทำให้ผู้คนผ่อนคลายอย่างคาดไม่ถึง เพลงที่เรียบง่ายนี้มีกลิ่นอายของความโศกเศร้าแฝงอยู่ เปรียบได้กับความเหงาที่ถูกบีบบังคับให้ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
ซูเจินคุ้นเคยกับท่วงทำนองนี้มาั้แ่เด็ก เพลงที่อวิ๋นจื่อเล่นคือเพลง “เทพธิดา์[1]” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูเจินก็หยิบขลุ่ยออกมาเป่าคลอไปกับเสียงกู่ฉิน
“มือเรียวงามที่จับแป้งผัดหน้า
ร่ายรำพลิ้วไหว ใบหน้าแดงระเรื่อสวมเสื้อผ้าสีอ่อนบางเบา
ฤดูใบไม้ผลิทั้งแดดร้อนแผดเผาฝนตกหนักเบา ดอกไม้ต่างเหี่ยวเฉาก้มหน้า
ร่างแน่งน้อยเอนเฉียงเอียงตามจังหวะ ชั่วขณะวิหกน้อยปัดป่ายไข่มุกที่คลอเคลียขมับ
คำสอนสำนักลึกลับให้ประสานมือคำนับต่อเทพธิดา แต่ทว่านางกลับใจนบินหนี
ช่างไม่มีอะไรแน่นอนในสายลม”
ขณะที่อวิ๋นจื่อกำลังเล่นเพลงนี้ นางจงใจเปลี่ยนท่วงทำนองให้ฟังดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย แต่นางกลับไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้บ่งบอกตัวตนของนางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เพลงจบลงแล้ว
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “คุณชายเป่าได้ดีจริงๆ ”
ซูเจินยิ้มเล็กน้อย แต่คำพูดของเขากลับเ็ามาก “เ้าเป็คณิกาชั้นสูงไม่ได้แน่หากยังเป็เช่นนี้”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดราวกับมั่นใจมาก
อวิ๋นจื่อหรี่ตาและกล่าวว่า “คุณชายโปรดชี้แนะ”
ดวงตาดอกท้อของซูเจินทอประกายอ่อนโยน ทำให้อวิ๋นจื่อตกอยู่ในภวังค์
ซูเจินกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ “อันที่จริงเื่นี้ง่ายมาก เ้าก็แค่คิดเสียว่าแขกทุกคนคือเย่เช่อ”
อวิ๋นจื่อก้มหน้าลงและไม่กล่าวอะไรออกมา
ซูเจินกล่าวต่อว่า “ข้าเคยได้ยินเสียงกู่ฉินของหญิงสาวเกือบทุกคนในหอจุ้ยฮวนแห่งนี้ ถ้าพูดถึงแค่ทักษะย่อมไม่มีใครเทียบเ้าได้ แต่เ้าก็รู้ว่าการเล่นกู่ฉินไม่เกี่ยวกับทักษะ แต่เป็หัวใจของกู่ฉิน”
จากนั้นอวิ๋นจื่อก็กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะละเลยบัญญัติสามประการ[2]อันเป็หัวใจแห่งกู่ฉินไปเสียแล้ว ฝีมือของข้าคงยังไม่ดีพอ”
ซูเจินลุกขึ้นก่อนจะนำกู่ฉินของอวิ๋นจื่อมาวางบนตักและลงมือเล่นเพลงเทพธิดา์
เขาไม่ได้เปลี่ยนท่วงทำนองเหมือนที่อวิ๋นจื่อทำ แต่เล่นตามท่วง ทำนองดั้งเดิม
ราวกับมีน้ำไหลทะลักลงมาจากูเา ปั่นป่วนแต่ใสสะอาด
ทันทีที่เพลงจบลง ซูเจินก็วางกู่ฉินลงด้วยความพึงพอใจและกล่าวว่า “เป็กู่ฉินที่ดีจริงๆ ”
จู่ๆ อวิ๋นจื่อก็กล่าวขึ้นว่า “เสียงกู่ฉินของคุณชายชัดเจนและมีชีวิตชีวามาก ในเวลานั้นข้าราวกับได้เห็นคนผู้หนึ่งในใจของท่าน”
ซูเจินไม่ตอบคำถามและไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับกล่าวว่า “กู่ฉินหลังนี้เป็มรดกตกทอดจากราชวงศ์ก่อนใช่หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ประมุขตระกูลมู่เป็คนมอบให้ข้า”
“ข้าได้ยินมาว่าเ้าจะไปฝึกกระบี่ที่สำนักชิงซาน?” จู่ๆ ซูเจินก็ถามขึ้น
เป็ไปได้หรือไม่ว่าประมุขตระกูลมู่มีความเกี่ยวข้องกับสำนักชิงซาน? แม้ว่าโจวยี่จะเป็ศิษย์ของนิกานชิงซาน แต่อวิ๋นจื่อจะเข้าไปเป็ศิษย์ร่วมสำนักได้หรือ? เหตุใดประมุขตระกูลมู่ผู้ลึกลับคนนี้ถึงยื่นมือเข้าช่วยเหลืออวิ๋นจื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า? เป็เพราะซูฮองเฮาหรือ? ซูเจินกำลังสับสน จากข่าวที่เขาได้รับมาประมุขตระกูลมู่ไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก แต่ความร่ำรวยนั้นไม่มีใครเทียบได้
ซูเจินรู้สึกว่าเื่นี้แปลกมาก
แต่เขาไม่มีทางเลือก
‘ข้าหวังว่าประมุขตระกูลมู่จะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งมากเกินไป’
เขาครุ่นคิดอยู่เงียบๆ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รอฟังคำตอบจากอวิ๋นจื่อ
“ถูกต้อง แต่ข้าคงต้องไปในฐานะคนตระกูลซู”
เห็นได้ชัดว่าแผนการของนางคือไปที่สำนักชิงซานและกลายเป็คนตระกูลซู
“เ้าบอกเย่เช่อแล้วหรือยัง?” ซูเจินถาม
หญิงสาวยิ้ม รอยยิ้มของนางทั้งสดใสและไร้ความกดดัน เหมือนกับตัวเขาเมื่อหลายปีก่อนมาก ในใจของซูเจินมีอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ผุดขึ้นมา ซึ่งเป็อารมณ์ที่เขาไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว
“เ้าจะไม่บอกหรือ?” ซูเจินถามต่อ
ใบหน้าของอวิ๋นจื่อยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนหวาน และดวงตาที่สดใสของนางดูราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า นางรินชาให้ซูเจินอย่างรู้งาน
ตอนนั้นเองที่ซูเจินตระหนักว่าชามีรสชาติแตกต่างจากชาที่เขาเคยดื่มที่นี่ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นเขาก็ถามว่า “วันนี้เ้าชงชาด้วยตนเองใช่หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อยิ้มและพยักหน้า
ชั่วขณะหนึ่งท่าทีของซูเจินก็กลับมาเป็ปกติ ดวงตาของเขาเหมือนถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกในขณะที่กล่าวว่า
“เ้าไม่ควรเก็บงำเื่นี้จากเย่เช่อเป็อันขาด มิฉะนั้นเขาจะถลกหนังข้าอย่างโเี้!”
ขณะที่พูด เขาก็ดื่มชาอย่างมีความสุข
------------------------
[1] เทพธิดา์หรือบทกวีเทพธิดา์ เป็ผลงานของจางเซียนกวีสมัยราชวงศ์ซ่ง ในบทชมการร่ายรำ
[2] บัญญัติสามประการของกู่ฉิน การบรรเลงกู่ฉินกล่าวไว้ว่าผู้บรรเลงกู่ฉินจะเลิก ละ วางจากสิ่งไม่ดีทั้งปวง คนโบราณสร้างกู่ฉินขึ้นเพื่อบรรเลงกล่อมเกลาจิตใจ ผู้ที่เคยหลงใหลและมัวเมาในโลกียะก็จะปล่อยวาง ตั้งตนอยู่ในความสงบ และเรียบง่ายไม่ฟุ่มเฟือย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้