กลับไปกับเขา?
หากกลับไปแล้วจะกลับมาอีกได้หรือไม่?
หวาชิงเสวี่ยก้มหน้าลงทันที “หากท่านนายกองพัน รู้สึกยุ่งยาก ก็มีวิธีง่ายๆ คือ แช่มือที่าเ็ลงในเหล้า แช่ทุกวัน วันละประมาณหนึ่งชั่วยาม ก็สามารถบรรเทาอาการปวดและลดรอยแดงได้แล้วเ้าค่ะ”
ฉีเหลียนเชิงเลิกคิ้วขึ้น มองพิจารณาั้แ่หัวจรดเท้าด้วยความสนใจ “เ้ารู้เยอะทีเดียว ที่บ้านมีคนเรียนหมออย่างนั้นหรือ? ...อืม ไม่ถูก หากมีคนเรียนหมอจริงๆ คงไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่ดูซอมซ่อเช่นนี้”
ฮ่องเต้แห่งต้าฉีให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถเฉพาะทางอย่างยิ่ง ราษฎรในสังคมจึงให้ความเคารพนับถือคนกลุ่มนี้มากตามไปด้วย โดยเฉพาะผู้ที่เรียนหมอและเตรียมยา แม้จะไม่มีคนป่วยให้รักษา ทางศาลาว่าการก็จะจัดสรรเงินช่วยเหลือเป็งวดๆ ไม่น่าจะยากจนขัดสนถึงเพียงนี้
“เป็เพียงสูตรยาพื้นบ้านเท่านั้น” หวาชิงเสวี่ยตอบอย่างระมัดระวัง เื่นี้นางไม่ได้โกหกจริงๆ หลังจากเห็นแผลถูกลวกของฉีเหลียนเชิง ในหัวของนางก็มีสูตรยารักษาแผลถูกลวกผุดขึ้นมาเอง ดูเหมือนว่าพวกมันทั้งหมดจะมาจาก...สารานุกรมสูตรยาพื้นบ้านฉบับสมบูรณ์?
แต่แปลกเหลือเกิน เหตุใดไม่มีเนื้อหาทางการแพทย์ที่เป็ทางการล่ะ? หรือว่าจะเป็เพราะในหัวของนางไม่มีการรวบรวมข้อมูลของตำราแพทย์เอาไว้?
...แต่ ถึงแม้จะมีการรวบรวมข้อมูลไว้ หรือรู้เนื้อหาแล้ว นางก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี คำศัพท์ทางการแพทย์พวกนั้น...
ฉีเหลียนเชิงเหลือบสายตามองนาง มุมปากมีรอยยิ้มเ้าเล่ห์ “เห็นเ้าดูโง่ ทึ่ม หัวช้า ไม่คิดเลยว่าจะมีความรู้มากมายเช่นนี้...ก็ได้ ข้าจะกลับไปลองดู หากวิธีของเ้าได้ผล คราวหน้าข้าจะให้รางวัลเ้าเป็พิเศษ”
หวาชิงเสวี่ยจะพูดอะไรได้อีก?
“ขอบพระคุณท่านนายกองพันที่เมตตา...” นางกล่าวด้วยความฝืนใจ
ฉีเหลียนเชิงหัวเราะเบาๆ พูดว่า “อีกไม่กี่วันจะมาหาเ้าใหม่” จากนั้นก็เดินลอยชายจากไป
เมื่อเขาไปแล้ว หวาชิงเสวี่ยก็รู้สึกผ่อนคลายลง มองห่อผ้าขนาดใหญ่ในมือด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
ในเมื่อฉีเหลียนเชิงบอกว่าอีกไม่กี่วันจะส่งคนมารับเสื้อผ้า เรือนหลังนี้ก็คงจะคืนไม่ได้แล้ว...เฮ้อ เหตุใดคนผู้นี้ยังตามหลอกหลอนเหมือนผีเช่นนี้นะ? ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอันตรายใดๆ ต่อนาง แต่การปรากฏตัวขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ก็น่ากลัวจริงๆ! ทำให้นางต้องหวาดผวาอยู่เสมอ กลัวว่าเขาจะจับพิรุธอะไรได้
ได้ยินเสียงโครมครามวุ่นวายไปหมดแว่วมาแต่ไกล
ตอนนี้หวาชิงเสวี่ยพยายามหลีกเลี่ยงเสียงดังเช่นนี้สุดความสามารถ เนื่องด้วยกลัวว่าจะเจอคนมาหาเื่ หากไม่มีชายร่างสูงใหญ่อย่างฟู่ถิงเย่อยู่เคียงข้าง นางก็รู้สึกเหมือนขาดความปลอดภัยจริงๆ
ไม่กล้าชักช้าไปมากกว่านี้ หวาชิงเสวี่ยจึงรีบเก็บถุงผ้าห่อเถ้าถ่านและกล่องอุปกรณ์เย็บผ้าภายในบ้าน จากนั้นยกห่อผ้าแล้วออกไปที่ประตู
ในขณะที่เดินผ่านกำแพงเรือน นางเหลือบสายตามองสบู่ที่วางไว้ตรงมุมหนึ่ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำออกมาได้ หากทิ้งไว้ที่นี่ก็น่าเสียดาย หวาชิงเสวี่ยกัดฟัน ดึงผ้าปูที่นอนในบ้านออกมาใส่สบู่ มัดปมให้แน่นแล้วหอบหิ้วออกมาด้วย
หนักมาก!
“...” หวาชิงเสวี่ยหิ้วสบู่ด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งก็หิ้วห่อสัมภาระและถุงใส่เถ้าถ่าน รวมทั้งกล่องอุปกรณ์เย็บผ้า ยืนอยู่กับที่เพื่อค่อยๆ ผ่อนคลาย ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ! แล้วเดินออกจากประตูเรือน
นางเดินไปสิบก้าวก็หยุดพักสามก้าวไปตลอดทาง ในที่สุดก็กลับมาถึงที่พัก หวาชิงเสวี่ยรู้สึกว่าข้อมือชาและปวดไปหมด แย่ที่สุดคือ ปวดท้องน้อยยิ่งกว่าเดิม ด้านล่างก็มีของเหลวเหนียวๆ ไหลออกมาเรื่อยๆ อีก
แต่นางไม่กล้าพัก ทำการเอาของทั้งหมดไปไว้ในห้องเก็บฟืน จากนั้นก็ถือถุงใส่เถ้าถ่านและกล่องอุปกรณ์เย็บผ้าเข้ามาในบ้านเพื่อรีบทำผ้าซับระดู
ผ้าซับระดูมีโครงสร้างเรียบง่าย สามารถทำขึ้นได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ต้องเย็บให้แน่น ไม่อย่างนั้นเถ้าถ่านที่อยู่ข้างในจะรั่วออกมาได้
เถ้าถ่านนี้ก็เป็ของที่ใช้มานานแล้ว ทั้งยังอยู่ในผ้าห่มมาเป็เวลานาน ไม่แน่อาจจะมีเชื้อแบคทีเรียขึ้นมาก็ได้ หวาชิงเสวี่ยไม่วางใจ จึงเอาเถ้าถ่านไปเผาไฟในเตาอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็การฆ่าเชื้อด้วยอุณหภูมิสูง จากนั้นก็ค่อยๆ บรรจุลงในผ้าซับระดูอย่างระมัดระวัง
หลังจากสวมผ้าซับระดูแล้ว นางก็เอามือกุมท้องนั่งลงบนเก้าอี้ไม้อย่างอ่อนแรง ปวดท้องน้อยหน่วงๆ รู้สึกอ่อนล้าไปทั้งตัว ถึงกับไม่อยากขยับอีกแล้ว
หลังจากที่ฟู่ถิงเย่กลับมา ก็เห็นหวาชิงเสวี่ยนั่งอยู่ในบ้านอย่างหมดแรง สีหน้าซีดเซียว
เขาขมวดคิ้ว ถามว่า “เป็อะไรไป?”
หวาชิงเสวี่ยส่ายหน้าเบาๆ ไม่มีแม้แต่แรงจะพูด เพียงแต่นึกถึงเื่ที่เจอฉีเหลียนเชิง คิดว่าควรจะบอกฟู่ถิงเย่ จึงพูดเบาๆ ว่า “ข้ากลับไปเอาของ บังเอิญเจอฉีเหลียนเชิง...เขาก็คือทหารเหลียวที่ข้าเคยเล่าให้ท่านฟัง เขาตั้งใจมาหาข้า นำเสื้อผ้ามาให้ข้าซักอีกห่อหนึ่ง แล้วบอกว่าอีกไม่กี่วันจะส่งคนมารับ”
ฟู่ถิงเย่ขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม ทหารเหลียวให้ความสนใจหวาชิงเสวี่ยมากเกินไป ซึ่งนี่ไม่ใช่เื่ดี มันอาจจะทำให้พวกเขามีปัญหาในตอนที่ออกจากเมืองได้
จะตำหนิหวาชิงเสวี่ยหรือ? ...เื่นี้ก็โทษนางไม่ได้อีกเช่นกัน อีกฝ่ายตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ หาไม่เจอครั้งหนึ่งก็ย่อมหาต่อเป็ครั้งที่สอง หากหาสองครั้งยังไม่เจอเกรงว่าจะเริ่มเกิดความสงสัย...
เหลือบมองเห็นเสื้อนวมใยฝ้ายตัวใหม่วางอยู่บนตั่งเตียง ฟู่ถิงเย่อึ้งไปเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “เ้าซื้อมาหรือ?”
หวาชิงเสวี่ยเอามือกอดท้องไว้แล้วส่ายหน้า ตอบอย่างอ่อนแรงว่า “ทหารเหลียวผู้นั้นให้ข้ามา บอกว่าให้ใส่เพื่อไม่ให้าแจากความหนาวเย็นของข้ารุนแรงยิ่งกว่าเดิม เฮ้อ คนผู้นี้ช่างแปลกประหลาดนัก ข้าก็ไม่รู้ว่าเขา้าทำอะไร...”
แววตาของฟู่ถิงเย่หม่นหมองไป และไม่ได้พูดอะไรออกมาพักหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ก็ให้ยาทาแผล ตอนนี้ก็ให้เสื้อนวมใยฝ้ายอีก...อย่าบอกนะว่า ทหารเหลียวผู้นั้นจะเริ่มสนใจหวาชิงเสวี่ยขึ้นมา?
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ฟู่ถิงเย่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เขาก็อธิบายไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดตัวเองถึงรู้สึกไม่สบายใจ...
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด สายตาก็เหลือบไปมองใบหน้าของหวาชิงเสวี่ยโดยไม่รู้ตัว
ภาพจำที่หวาชิงเสวี่ยแสดงให้เขาเห็นเสมอคือนางมักจะเป็ประเภทที่อ่อนแอป่วยง่าย เพราะสีหน้าของนางมักจะซีดเซียว ริมฝีปากก็แทบจะไม่เห็นสีเื บนริมฝีปากยังมีรอยแตกเล็กๆ ผมก็มักจะร่วงลงมาปรกแก้มทั้งสองข้าง ราวกับว่าอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา
แต่ต้องยอมรับว่านางก็นับว่าเป็หญิงงาม ถึงแม้ว่าใบหน้าจะไม่ได้งดงามเข้าขั้นสมบูรณ์แบบ แต่เมื่อรวมองค์ประกอบทั้งห้าบนใบหน้าเข้าด้วยกันแล้วกลับให้ความรู้สึกถึงเสน่ห์ความอบอุ่นอ่อนหวาน ครั้งแรกที่เห็นอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกประทับใจจนไม่อาจละสายตา...
...ประทับใจจนไม่อาจละสายตา?
ฟู่ถิงเย่ดึงสติกลับมาทันที!
เมื่อครู่เขาทำอะไรอยู่?! ถึงขนาดเหม่อมองสตรีผู้หนึ่งจนควบคุมตัวเองไม่ได้?!
ฟู่ถิงเย่กระแอมไอสองครั้ง พยายามปกปิดความกระอักกระอ่วน เมื่อไอแล้วก็หันไปมองหวาชิงเสวี่ยอีกครั้ง นางไม่ได้มองเขาเลยด้วยซ้ำ! ตอนนี้นางกำลังขมวดคิ้ว ก้มตัวลง กัดริมฝีปากล่างแน่น ทำท่าทางเหมือนกำลังฝืนทนต่อความเ็ปทรมาน
ฟู่ถิงเย่เห็นสีหน้าของหวาชิงเสวี่ยไม่สู้ดีนัก จึงกล่าวว่า “ในเมื่อรู้สึกไม่สบาย ก็ไปนอนพักบนเตียงเตาเถอะ”
บนเตียงนั้นอบอุ่น หวาชิงเสวี่ยก็อยากจะขึ้นไปนอนเหมือนกัน แต่ก็กลัวว่าจะทำให้ผ้ารองนอนเลอะเทอะ ผ้าอนามัยแบบที่เคยใช้เมื่อก่อนบอกว่าป้องกันการรั่วซึมได้สารพัด สุดท้ายเวลารั่วก็รั่วซึมอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ใช้ผ้าซับระดูหยาบๆ แบบนี้ นางยิ่งไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นเดินก้าวยาวๆ
“ข้า...นั่งพักสักครู่ก่อน...” หวาชิงเสวี่ยไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของฟู่ถิงเย่โดยตรง นางยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง
“จะให้ไปตามหมอมาดูอาการหรือไม่?” ฟู่ถิงเย่ถาม
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่เป็ไร” หวาชิงเสวี่ยรีบส่ายหน้า “ข้านั่งพักตรงนี้สักครู่ก็หายแล้ว”
เมื่อก่อนเวลามีรอบเดือนก็ปวดเช่นนี้ ทุกครั้งจะปวดประมาณครึ่งวันแล้วก็จะค่อยๆ หาย แต่ครั้งนี้...ดูเหมือนจะปวดมากเป็พิเศษ...
ฟู่ถิงเย่ไม่ได้บังคับนาง หันหลังเตรียมจะออกไป พอจะเดินออกไปก็หยุดลง พูดกับหวาชิงเสวี่ยว่า “ข้ากับเ้าตอนนี้...อย่างไรก็มีฐานะเป็สามีภรรยากัน ของบางอย่างได้รับแล้วก็รับไว้เถอะ แต่ครั้งหน้าก็ต้องระมัดระวังหน่อย...” ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอพูดจบเขาก็รู้สึกผิดเหลือเกิน!
เขากำลังจะพูดอะไรเพื่อแก้ตัว หวาชิงเสวี่ยกลับพยักหน้าอย่างจริงจัง และตอบตกลงว่า “สามีพูดถูก ข้าก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเช่นกัน เพียงแต่ตอนนั้นใจร้อนรน ไม่รู้จะปฏิเสธเขาอย่างไร ครั้งหน้าข้าจะระวังให้มากขึ้น”
ฟู่ถิงเย่ “...”
เขาเกิดความรู้สึกซับซ้อน พูดเสียงเบาว่า “พักผ่อนให้สบาย” แล้วหันหลังเดินออกไป
ทันทีที่ออกจากบ้าน ฟู่ถิงเย่ก็ถอนหายใจโล่งอกอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อก้มลงมองฝ่ามือ เห็นเหงื่อซึมออกมาจนเปียกชื้น ก็รู้สึกว่าตัวเองน่าขันนัก
เขาเป็ถึงชายกำยำแข็งแรง ออกรบฆ่าศัตรูก็ไม่เคยประหม่า เหตุใดตอนนี้ถึงได้อ่อนไหวเช่นนี้?
เพียงเพราะเสื้อนวมใยฝ้ายตัวเดียว? ช่างไร้สาระสิ้นดี...
แต่ว่า ก่อนหน้านี้รู้แค่ว่านางมีรูปร่างบอบบาง วันนี้เพิ่งรู้ว่าเป็เพราะนางสวมเสื้อผ้าบางเกินไป หวาชิงเสวี่ยแทบไม่มีเสื้อผ้าหนาๆ บนตัวเลย มีก็แต่เสื้อผ้าเก่าๆ ที่สีซีดจางจนมองไม่ออกว่าเป็สีอะไร ซ้อนทับกันอยู่หลายชั้น คาดว่าคงซ้อนกันประมาณเจ็ดแปดชั้น เสื้อผ้าบางๆ เหล่านี้ต่อให้ซ้อนกันทั้งหมด ก็ไม่อุ่นเท่าเสื้อนวมใยฝ้ายหนาๆ เพียงตัวเดียว
เขาอยู่กับนางมาหลายวันแล้ว แต่ไม่เคยสังเกตเห็นจุดนี้ กลับปล่อยให้ทหารเหลียวผู้หนึ่งมาเอาใจใส่เื่นี้
เมื่อฟู่ถิงเย่ตระหนักถึงจุดนี้ ความรู้สึกไม่สบายใจก็เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
เขาขมวดคิ้ว กำจัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไป เดินออกจากประตูบ้านไปที่ห้องครัว
ฟู่ถิงเย่อยู่ในค่ายทหารเกือบตลอดเวลา คนที่ติดต่อด้วยล้วนเป็ชายฉกรรจ์ ไม่รู้วิธีเอาใจสตรี เขาอุ่นอาหารที่เหลือจากเมื่อวานในห้องครัวเสร็จแล้ว เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรจะรินน้ำร้อนให้หวาชิงเสวี่ยดื่ม
ฟู่ถิงเย่นำอาหารเข้ามาในห้องโถง แล้ววางลงบนโต๊ะ เมื่อกลับเข้าไปในบ้าน เห็นหวาชิงเสวี่ยก้มตัวลง ถือกาน้ำชาในมือข้างหนึ่ง ค่อยๆ ก้าวเดินออกไปอย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกผิด
เขาช่างประมาทจริงๆ
“ข้าทำเอง” ฟู่ถิงเย่ไม่กล้ามองนางไปมากกว่านี้ รับกาน้ำชาจากมือหวาชิงเสวี่ย แล้วรีบไปที่ห้องครัว ต้มน้ำร้อนจนเต็มกาน้ำ จากนั้นจึงกลับเข้ามาในบ้าน
ชาร้อนถูกรินลงในถ้วย เมื่อถือไว้ในมือก็รู้สึกอุ่นขึ้น หวาชิงเสวี่ยรู้สึกเหมือนมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง นางหลับตาพริ้มด้วยความสบายใจ พูดพึมพำว่า “ขอบคุณท่านแม่ทัพ...”
จากนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงเสริมว่า “ขอบคุณเ้าค่ะ สามี”
การเปลี่ยนคำเรียกนั้น ค่อนข้างยากที่จะทำความเคยชินในทันที
ฟู่ถิงเย่นั่งลงข้างๆ มองนางจิบน้ำในถ้วยทีละนิดทีละน้อย รู้สึกว่านางช่างดูเหมือนลูกแมวตัวน้อย...
อาจเป็เพราะรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาของฟู่ถิงเย่ หวาชิงเสวี่ยจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย
ไม่รู้ว่าเป็เพราะชั้นควันของไอน้ำร้อนสีขาวขุ่นหรือไม่ ดวงตาของนางจึงดูบริสุทธิ์และมีชีวิตชีวาเป็พิเศษ
ฟู่ถิงเย่เบือนสายตาออกไปทางอื่นอย่างเขินอาย กล่าวว่า “ข้าเห็นว่าเสื้อผ้าของเ้าเก่าแล้ว...ตอนที่เข้าเมืองมา เหตุใดไม่ซื้อเสื้อผ้ากันหนาวดีๆ สักตัว?”
หวาชิงเสวี่ยยิ้ม “ตอนนั้นข้าไม่มีเสื้อผ้าใส่ องค์รัชทายาทจึงให้เสื้อคลุมขององครักษ์เงามาใส่กันหนาว หลังจากเข้าเมืองมาแล้ว ข้ากับองค์รัชทายาทก็พลัดหลงกับองครักษ์เงา ตอนนั้นมืดแปดด้านไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ โชคดีที่ได้พบกับแม่ครัวแซ่เหยียน นางให้เสื้อผ้าเก่าๆ กับข้ามากมาย และยังสอนให้ไปโรงรับจำนำ...”
พอพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของนางก็ชะงักค้างไปเล็กน้อย “รู้แบบนี้ ตอนนั้นไม่น่าเอาเสื้อผ้าขององค์รัชทายาทไปจำนำเลย”
ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ฟู่ถิงเย่ก็ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หวาชิงเสวี่ยเห็นเขาเดินออกจากบ้านก็คิดอย่างเศร้าใจว่า คนผู้นี้โทษนางที่ทำให้องค์รัชทายาทต้องลำบากจริงด้วย...