หลัวเลี่ยค่อยๆ ก้าวขึ้นไปอย่างช้าๆ ทีละก้าว เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวต่อหน้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้อย่างไร และไม่รู้ว่าจักรพรรดิประจิมไท่อีพระองค์นี้เสด็จมาด้วยตนเองเช่นนี้มีจุดประสงค์อะไร
หลัวเลี่ยนำความสับสน ความสงสัย และความคาดหวังขึ้นไปที่วังกับเขาด้วย
หลัวเลี่ยก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างกับจักรพรรดิ์ประจิมไท่อีแล้ว
การก้าวขึ้นมายืนในครั้งนี้ของหลัวเลี่ยทำให้หลัวเลี่ยดูสูงส่งมากขึ้นเป็เท่าตัว เขาดูคล้ายจะเป็บรรพชนที่ใต้หล้าให้ความยกย่องนับถือ เป็เทพอันดับหนึ่ง และด้วยความช่วยเหลือของระฆังจักรพรรดิประจิม เขาอาจต่อสู้กับเทพโดยไม่พ่ายแพ้ได้
ผู้คนมากมายต่างเฝ้ามองเหตุการณ์นี้อย่างตั้งใจ หูของพวกเขาก็ตั้งใจฟัง พวกเขาใช้วิชาลับต่างๆ เพื่อทำให้ตัวเองเห็นและได้ยินอย่างชัดเจนที่สุด
คนที่มีสถานะสูงส่งอย่างข่งไท่โต้วก็ทำเหมือนพวกเขาเช่นกัน
ชื่อเสียงจักรพรรดิประจิมไท่อีนั้นทรงพลังมาก
เมื่อหลัวเลี่ยยืนอยู่เคียงข้างพระองค์ เขาก็รู้สึกกดดันมาก หากพระองค์ไม่ตรัสก่อนเขาก็ไม่พูด สิ่งที่หลัวเลี่ยคิดในใจคือทำอย่างไรเขาถึงจะได้ยินคำสอนของพระองค์ แม้ในสายตาคนอื่นเขาจะดูเสแสร้ง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มทำอะไรก่อนดี
สายตาของจักรพรรดิประจิมไท่อีที่มองไปไกลๆ ค่อยๆ หันกลับมามองหลัวเลี่ย พระองค์ทำเพียงมองอยู่เช่นนั้นอย่างเงียบๆ
เงียบมาก
ั์ตาของหลัวเลี่ยเปรียบดั่งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ งดงามและลึกล้ำ เต็มไปด้วนความลึกลับ ปราศจากความยิ่งใหญ่เช่นจักรพรรดิ์
“เ้าไม่เลว”
ในที่สุดจักรพรรดิประจิมไท่อีก็พูดออกมาเพียงสามคำเท่านั้น
คำชมสามคำที่หลุดออกมาจากปากของบุคคลนี้ทำให้หลายคนอิจฉาหลัวเลี่ยทันที และบางคนถึงกับพึมพำกับตัวเองว่าหากสามารถได้รับการยอมรับจากจักรพรรดิประจิมไท่อีเช่นนี้ เกรงว่าหลัวเลี่ยก็อาจได้รับการยอมรับจากเหล่าเทพด้วย
“จักรพรรดิ์...” หลัวเลี่ยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
จักรพรรดิประจิมไท่อีเงยหน้าขึ้นและมองไปในระยะไกลด้วยสายตาที่ลึกล้ำ
พรึ่บ!
อากาศโดยรอบปั่นป่วนอย่างรุนแรง
ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ก็ส่องแสงสว่างไสวออกมา
เพียงอึดใจเดียวก็มีดวงอาทิตย์สิบดวงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่าในตอนแรก
ดวงอาทิตย์สิบดวงนี้อยู่ล้อมรอบจักรพรรดิประจิมไท่อีและหลัวเลี่ยทำให้บริเวณนี้แปลกไป หลัวเลี่ยรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ลึกลับจนเขาควบคุมมือซ้ายที่กำลังสั่นด้วยความ้าจะคว้าดวงอาทิตย์เอาไว้ไม่ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือนี่น่าจะเป็วิชายุทธ์อย่างหนึ่งที่ลึกลับและสามารถกระตุ้นมือซ้ายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้
หลัวเลี่ยไม่ได้รับรู้เลยว่าคนที่มองเขาอยู่ต่างแสดงความเสียใจ หมดหวัง และอิจฉาออกมา เพราะในขณะที่ดวงอาทิตย์สิบดวงลอยอยู่บนท้องฟ้านั้น จู่ๆ สายตาของพวกเขาที่มองจักรพรรดิประจิมไท่อีและหลัวเลี่ยอยู่ก็เกิดเบลอขึ้นมา พวกเขามองเห็นได้ไม่ชัดเจนและไม่ได้ยินเสียงของจักรพรรดิประจิมไท่อีและหลัวเลี่ยเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่คล้ายกับว่าจักรพรรดิประจิมไท่อีและหลัวเลี่ยนั้นอยู่ไกลแสนไกล
นี่คือสิ่งที่จักรพรรดิประจิมไท่อีทำเพื่อไม่ให้บุคคลอื่นสอดรู้สอดเห็นและแอบฟังได้
“ข้าเป็เพียงเสี้ยวจิตที่ท่านเทพได้หลงเหลือเอาไว้” จักรพรรดิประจิมไท่อีตรัสขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านเทพคิดถึงเมื่อตอนที่ข้าได้ขึ้นเป็เทพครั้งแรกจึงทิ้งเสี้ยวจิตนี้เอาไว้เพื่อให้ส่งต่อมรดกของจักรพรรดิประจิม”
หลัวเลี่ยไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำแค่ฟังเท่านั้น
จักรพรรดิประจิมไท่อีตรัสต่อว่า “มรดกของจักรพรรดิประจิมคือบ่วงสุดท้ายของข้า มันมีบทบาทสำคัญในการขึ้นเป็เทพของผู้ที่กำลังจะได้ขึ้นเป็เทพในอนาคตอันใกล้ ข้าอยากจะขอให้เ้าช่วยข้าตามหามรดกของข้าได้หรือไม่”
“อ่า ทำไมต้องเป็ข้าหรือ” หลัวเลี่ยคิดอะไรไม่ออก ด้วยฐานะของจักรพรรดิประจิมไท่อี พระองค์สามารถขอให้ใครช่วยก็ได้ทั้งนั้น
“โชคชะตาก็เหมือนมหาสมุทรที่แปรปรวนและไม่มีความแน่นอน ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำเื่นี้ให้สำเร็จได้” จักรพรรดิประจิมไท่อีค่อยๆ ตรัส “ข้ารออยู่เช่นนี้มานานจนไม่อาจนับวันได้แล้ว และมีเพียงเ้ามีสามารถทำให้ข้าเชื่อใจได้ เมื่อชะตานี้ตกอยู่ที่เ้า มันก็เป็โอกาสที่ยิ่งใหญ่ รวมทั้งเ้าและข้าก็คือชะตาที่ถูกลิขิตมาแล้ว”
จักรพรรดิประจิมไท่อีเอื้อมมือออกมาแล้วแตะเบาๆ
พรึ่บ!
ทันใดนั้นระฆังจันทราที่อยู่ในกระเป๋าเฉียนคุณของหลัวเลี่ยก็ลอยออกมาอยู่ระหว่างคนทั้งสอง
ระฆังจันทรานี้เดิมเป็หนึ่งในเก้าส่วนของระฆังจักรพรรดิประจิม ดังนั้นเมื่อมันได้พบกับเสี้ยวจิตของเ้าของ มันจึงตอบสนองทันทีด้วยการเปล่งแสงออกมา แม้ว่าแสงที่เปล่งออกมานั้นจะจางมาก แต่มันก็มีความคล้ายคลึงกับจักรพรรดิประจิมไท่อี
จักรพรรดิประจิมไท่อีชี้นิ้วไปที่จุดหนึ่ง
จากนั้นไอพลังสีทองก็หลั่งไหลเข้าสู่ระฆังจันทรา
“ระฆังจักรพรรดิประจิมทั้งเก้าส่วนนั้นแต่ละส่วนจะมีความแข็งแกร่งเท่ากัน หลังจากที่ได้ดูดซับพลังของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มานานหลายปี พวกมันก็จะมีดวงจิตเป็ของตัวเอง แม้ดวงจิตจะบางเบา แต่ก็ไม่ง่ายที่จะนำมารวมกันได้ มันอาจเกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ง่าย ดังนั้นตอนนี้ข้าจะมอบพลังของจักรพรรดิประจิมไท่อีส่วนหนึ่งเอาไว้ให้เ้า ต่อจากนี้ไประฆังใบนี้จะเป็ระฆังหลักที่จะสามารถนำอีกแปดส่วนที่เหลือมาหลอมรวมเข้าด้วยกันได้” จักรพรรดิประจิมไท่อีตรัส
หลัวเลี่ยดีใจมาก “เช่นนี้ก็เป็ไปได้ว่าข้าสามารถมีระฆังจักรพรรดิประจิมที่เป็สมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดได้หรือ?”
จักรพรรดิประจิมไท่อีตรัสว่า “เป็เช่นนั้นจริงดังที่เ้าว่า รวมทั้งพลังของจักรพรรดิ์ส่วนนี้ก็จะนำมาซึ่งเบาะแส ถือว่าเป็ของขวัญที่ข้ามอบให้เ้าแล้วกัน”
“ไม่ว่าจักรพรรดิ์จะมอบหมายให้กระหม่อมทำเื่ใดให้สำเร็จ กระหม่อมจะทำให้สุดกำลังพ่ะย่ะค่ะ” หลัวเลี่ยเสนออย่างแเี
จากนั้นหยดเืที่ใสดุจเม็ดทับทิมก็ไหลออกมาจากปลายนิ้วของจักรพรรดิประจิมไท่อี “ข้าจะมอบเืหนึ่งหยดนี้ให้กับคนที่ชื่อตี้อี ตี้มาจากจักรพรรดิ์และอีมาจากหนึ่งเดียวไม่มีที่สอง”
หลัวเลี่ยแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เดิมทีเขาคิดว่ามันจะเป็เื่ที่มีความยาก ที่แท้ก็เป็การตามหาคน
แต่เมื่อหลัวเลี่ยได้กลับมาคิดดีๆ อีกครั้ง เขาก็พบว่าเื่ที่ยากไม่ใช่การตามหาคนแต่เป็เื่ยากที่จะหาคนที่มีชื่อว่าตี้อี และหากตามหาได้ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็คนๆ นั้นจริงๆ หรือไม่ เพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือความเห็นแก่ตัวของคน
นี่คือสิ่งที่จักรพรรดิประจิมไท่อีมอบให้เชียวนะ
นอกจากนี้ยังเป็ของที่สามารถทำให้มรดกของจักรพรรดิประจิมกลับมาปรากฏอีกครั้ง
ถามหน่อยใครบ้างจะไม่หวั่นไหว
เกรงว่านอกจากเทพ ไม่สิ ต่อให้เทพเห็นมันก็หวั่นไหว เพราะฐานะของจักรพรรดิประจิมไท่อีนั้นสูงส่งมาก เขาเป็ถึงเทพองค์แรกแห่ง์
“จักรพรรดิ์ไม่กลัวว่ากระหม่อมจะขโมยมันไปหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลัวเลี่ยอดไม่ได้ที่จะถาม
ในที่สุดบนพระพักตร์ของจักรพรรดิประจิมไท่อีก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “แม้เ้าจะไม่ใช่วีรบุรุษแต่เ้าก็ไร้เทียมทาน”
หลัวเลี่ยรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เขาโค้งคำนับ “หลัวเลี่ยจะคู่ควรกับคำยกย่องจากจักรพรรดิ์ได้อย่างไร กระหม่อมจะต้องมอบเืหยดนี้ให้กับคนที่ชื่อว่าตี้อีอย่างแน่นอน กระหม่อมจะไม่มีวันผิดสัญญาพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเชื่อเ้า”
หลังจากที่จักรพรรดิประจิมไท่อีสะบัดนิ้วหนึ่งครั้ง เืหยดนั้นที่ใสดุจทับทิมก็ซึมเข้าไปในระฆังจันทรา
หลัวเลี่ยกล่าวอีกครั้งว่า “เพียงแต่ว่าการตามหาคนๆ หนึ่งนั้นไม่ใช่เื่ง่ายเลย หลัวเลี่ยไม่กล้ารับปากว่าจะตามเขาเจอภายในสามถึงห้าปีนี้ กระหม่อมพูดได้แค่ว่าจะทำอย่างสุดความสามารถ ตราบใดที่คนๆ นี้ยังมีชีวิตอยู่ กระหม่อมจะตามหาและมอบสิ่งๆ นี้ให้เขาอย่างแน่นอน แต่กระหม่อมขอร้องจักรพรรดิ์โปรดชี้ทางให้กระหม่อมเสียหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะว่าคนๆ นี้จะปรากฏตัวขึ้นประมาณบริเวณไหน”
ในขณะที่ร่างของจักรพรรดิประจิมไท่อีค่อยๆ จางลง พระองค์ก็ตรัสขึ้นมาอีกครั้งว่า “ตัวตนที่ซ่อนอยู่อีกตัวตนหนึ่ง ในภพจิตั”
อีกชื่อหนึ่ง? ชื่อก็คือการปกปิดตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่หรือ?
เช่นเดียวกับ “ผู้มีัอยู่ในเป้า” ของหลัวเลี่ยที่เป็เพียงชื่อหนึ่งที่ใช้ปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเขา
“หลัวเลี่ยจะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ” หลัวเลี่ยเอ่ย
จักรพรรดิประจิมไท่อีถอนหายใจออกมา “เผ่าัได้ขึ้นฝั่ง เหล่าปีศาจโกลาหล ทุกอย่างวุ่นวาย เทพกลับชาติมาเกิด ใครกันที่จะสามารถช่วยโลกที่กำลังจะถูกทำลายนี้ได้!”
พรึ่บ!
ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ทั้งสิบก็สลายไป
และร่างของจักรพรรดิประจิมไท่อีก็หายไปด้วยเช่นกัน
วังโบราณที่หลัวเลี่ยเคยยืนอยู่ก็ค่อยๆ จางลง จากนั้นหลัวเลี่ยก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นส่งกลับมายืนบนแท่นเหยียนซินเหมือนเดิม
เมื่อวังหายไป หลัวเลี่ยก็กลายมาเป็จุดสนใจอีกครั้ง สายตาของผู้คนต่างจับจ้องมาที่เขา
สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายจนทำให้หลัวเลี่ยอยากกรีดร้องออกมา แล้วทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงอันตรายที่ยิ่งใหญ่กำลังจะคืบคลานเข้ามา
คนเหล่านี้มองไม่เห็นข้อตกลงของเขากับจักรพรรดิประจิมไท่อี ดังนั้นพวกเขาอาจจะคิดว่าหลัวเลี่ยมีของขวัญที่ได้มาจากจักรพรรดิประจิมไท่อีหรือของอื่นๆ แต่ในความเป็จริงแล้วสิ่งที่เขาได้รับจากจักรพรรดิประจิมไท่อีมีเพียงพลังของพระองค์ที่จะทำให้เขาสามารถรวบรวมชิ้นส่วนของระฆังจักรพรรดิประจิมทั้งเก้าส่วนและนำมาประกอบจนเป็สมบัติที่แข็งแกร่งที่สุดได้เท่านั้น หากคนเหล่านี้รู้จะเป็อย่างไรกันนะ?
ความโลภจะทำให้คนมีความคิดที่จะฆ่าคนแล้วยึดสมบัติอย่างแน่นอน
ส่วนความไม่รู้ก็ทำให้ผู้คนอยากรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะโลภมากขึ้นเรื่อยๆ
หลัวเลี่ยยกยิ้มอย่างขมขื่น จักรพรรดิประจิมไท่อีมอบของขวัญให้เขามากมาย รวมทั้งงานที่พระองค์มอบให้หลัวเลี่ยทำก็ไม่ได้ยากนัก อย่างน้อยถึงเขาจะอยากได้เืหยดนั้นแต่เขาก็ยังอดกลั้นไว้ได้ หลัวเลี่ยไม่เคยคิดมาก่อนว่าอันตรายที่แท้จริงคือการที่ผู้คนจำนวนมากจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงสิ่งของไป