ณ หอประชุมตระกูลเสิ่น เมืองอวี่ฮว่า
ชายวัยกลางคนสวมชุดขนสัตว์นั่งอยู่ที่ตำแหน่งผู้นำตระกูล ท่วงท่ากล้าหาญสง่างาม ใบหน้าเจือประกายยิ้ม
เขาคือผู้ดูแลใหญ่ตระกูลเสิ่น ‘เสิ่นเหวินเทา’
เสิ่นเหวินเทายึดครองอำนาจในตระกูลเสิ่นตลอดสามปีที่ผ่านมา กระทั่งกลายเป็ผู้นำตระกูลที่น่าเชื่อถือในวันนี้
“ผู้นำตระกูลเสิ่น ข้าคิดว่าพรุ่งนี้เป็ฤกษ์ดี เหมาะกับการจัดพิธีแต่งงาน ถึงครานั้นหานเสิ่นสองตระกูลจะได้เป็ครอบครัวเดียวกันเสียที เ้าคิดว่าอย่างไร”
หานเฟิงนั่งอยู่คนแรกด้านซ้ายของหอประชุม กล่าวกับเสิ่นเหวินเทา
หานเฟิงคือนายน้อยตระกูลหาน ปีนี้อายุยี่สิบปี เป็คนหนุ่มผู้โดดเด่นแห่งเมืองอวี่ฮว่า
ชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของหานเฟิง หนึ่งในนั้นคือหานเตา คุณชายสามแห่งตระกูลหาน
“มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ข้าแต่งงานกับเขา ข้าไม่แต่ง ถึงตายก็ไม่แต่ง พี่ชายข้าใกล้จะออกมาแล้ว เ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่งเื่ของข้า”
เด็กสาวคนหนึ่งบนรถเข็นทางด้านข้างพลันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
นางคือเสิ่นเสี่ยวเม่ย น้องสาวแท้ๆ ของเสิ่นเสวียน ปีนี้อายุสิบเอ็ดปี ป่วยออดๆ แอดๆ มาั้แ่เด็ก สามปีที่ผ่านมานี้นางเดินไม่ไหว จึงต้องนั่งบนรถเข็น
“หืม? ไม่แต่งอย่างนั้นหรือ เ้ากำลังเหยียดหยามตระกูลหานของข้าอยู่ รู้หรือไม่”
หานเฟิงมองเสิ่นเสี่ยวเม่ยด้วยแววตาคมกริบ กล่าวเสียงเย็นเยียบ
“บังอาจนัก! ผู้ใหญ่กำลังคุยกัน หาใช่เื่ที่เด็กจะสอดแทรกได้ ออกไป!” เสิ่นเหวินเทาะโใส่เสิ่นเสี่ยวเม่ยเสียงดังลั่น
“วางใจเถอะเสี่ยวเม่ย ข้าจะดูแลเ้าอย่างดี”
หานเตากล่าวพลางถูมือไปมา ท่าทางหยาบคายยิ่งนัก
“ไม่มีวัน ถึงตายข้าก็ไม่แต่ง!”
เหล่าผู้เยาว์ตระกูลเสิ่นที่อยู่ข้างๆ กำหมัดแน่น สีหน้าโกรธจัด หานเตามีชื่อเสียงอย่างไรพวกเขาต่างรู้แจ้ง ให้เสิ่นเสี่ยวเม่ยแต่งงานกับเขาก็เหมือนส่งนางไปตาย แต่เสิ่นเหวินเทามีอำนาจมากมายนัก พวกเขาจึงทำได้เพียงโกรธแค้นอยู่ในใจ
“การแต่งงานเป็เื่ใหญ่ การเกี่ยวดองของสองตระกูลไม่ได้ขึ้นอยู่กับความยินยอมจากเ้า” เสิ่นเหวินเทาสะบัดแขนเสื้อพลางกล่าว แต่เมื่อสิ้นเสียง พลันมีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอกหอประชุม
“เช่นนั้นควรให้ใครยินยอมหรือ”
เสียงนั้นเบามาก ทว่าทุกคนกลับได้ยินชัดเจน ทุกสายตาจับจ้องไปยังด้านนอกหอประชุมเป็จุดเดียว
ชายหนุ่มสวมชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตูหอประชุม
เขามีรูปร่างสูงเพรียว หน้าตาไม่ได้หล่อเหลานัก แต่กลับมีเสน่ห์ โดยเฉพาะดวงตาใต้คิ้วหนาที่ดูลุ่มลึกคู่นั้น เก็บซ่อนวุฒิภาวะเหนือกว่าคนในรุ่นเดียวกันเอาไว้
“ท่านพี่!”
เสิ่นเสี่ยวเม่ยไถรถเข็นที่นั่งอยู่ออกไปด้านนอกหอประชุมทันที ดวงตาทั้งสองมีน้ำตาเอ่อล้น นางพยายามลุกขึ้นยืนเพื่อโอบกอดเสิ่นเสวียน
เขาคือเสิ่นเสวียนจริงๆ
หลังจากจัดการข้ารับใช้สองคนนั้นไปแล้ว เขาก็ใช้วิชายุทธ์บำเพ็ญเพียรในความทรงจำชาติก่อน ฝืนทะลวงพลังยุทธ์ของตัวเองไปถึงขั้นไถซี[1] ระดับกลางได้แล้ว
เมื่อโดนเสิ่นเสี่ยวเม่ยโอบกอด เสิ่นเสวียนรู้สึกได้ถึงความรักจากครอบครัวที่ห่างหายไปแสนนาน ชาติก่อนเขาต้องฝึกฝนนับพันปี ตัดขาดจากโลกภายนอกไปนาน ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับครอบครัวนัก ได้กลับมาเกิดใหม่ในร่างนี้ ตอนนี้ ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อครอบครัวชัดเจนขึ้นกว่าเดิมมาก
“เด็กดี ไม่ร้องแล้วนะ จากนี้ไปพี่จะปกป้องเ้าเอง”
เสิ่นเสวียนตบบ่าเสิ่นเสี่ยวเม่ยเบาๆ พร้อมคำพูดปลอบประโลม เขามองเสิ่นเสี่ยวเม่ยที่นั่งอยู่บนรถเข็น จิตสังหารพลันฉายออกมาจากดวงตา
“ขาของเ้าเป็อะไรไป” ในความทรงจำของเขา เสิ่นเสี่ยวเม่ยมีสุขภาพดีมาก เหตุใดต้องนั่งรถเข็น!
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตลอดสามปีที่ผ่านมา ร่างกายของข้าแย่ลงเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มเดินไม่ได้” เสิ่นเสี่ยวเม่ยไม่สนใจขาของตนเองเลย นางได้เห็นเสิ่นเสวียนยังมีชีวิตอยู่ ทำลายข่าวลือเ่าั้ไปจนหมดสิ้น สิ่งนี้ยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งมวล
“จากนี้ให้เป็หน้าที่ของพี่เอง”
เสิ่นเสวียนเข็นรถเข็นพาเสิ่นเสี่ยวเม่ยไปด้านข้าง จากนั้นก้าวเข้าไปในหอประชุม
ทุกคนมองเสิ่นเสวียนด้วยความสงสัย เมื่อเช้าเสิ่นเหวินเทาเพิ่งบอกเองว่าเสิ่นเสวียนป่วยใกล้ตาย อีกไม่นานคงจากโลกนี้ไป เสิ่นเหวินเทาจึงเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลในวันนี้ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วเหมือนจะไม่เป็อย่างนั้น
เสิ่นเหวินเทานั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำตระกูล หรี่ตามองเสิ่นเสวียนที่กำลังเดินเข้ามา เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “เสวียนเอ๋อร์ ร่างกายของเ้าเป็อย่างไรบ้าง เมื่อเช้าข้ายังเห็นเ้าอาการหนักอยู่เลย”
“เ้าลงมาเดี๋ยวนี้”
เสิ่นเสวียนหยุดยืนกลางหอประชุม กล่าวด้วยเสียงเบา ทว่าทุกคนกลับได้ยินชัดเจน
ทันทีที่กล่าวจบ ความโกลาหลก็บังเกิด
เสิ่นเหวินเทาเป็ยอดฝีมือขั้นแม่ทัพระดับสูงสุด แม้แต่ผู้นำตระกูลยังไม่กล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับเขา ผู้ที่เปรียบเหมือนของล้ำค่าแห่งเมืองอวี่ฮว่า
“เสวียนเอ๋อร์ เ้าคงไม่ได้ป่วยจนเลอะเลือนไปแล้วนะ!”
มุมปากของเสิ่นเหวินเทาตกลงเพียงเล็กน้อย เขายังต้องคงรอยยิ้มไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน
“ข้าบอกให้เ้าลงมา หูหนวกหรือไร”
เสิ่นเสวียนยืนอยู่ใจกลางโถง ไขว้มือทั้งสองไว้ด้านหลัง เขากล่าวเบาๆ เหมือนไร้เรี่ยวแรง ทว่าให้ความรู้สึกสะท้านะเืยิ่งกว่าเสิ่นเหวินเทาเสียอีก
เสิ่นเหวินเทามองเสิ่นเสวียนที่ยืนอยู่ใจกลางโถง แรงกดดันที่มองไม่เห็นพุ่งตรงเข้าหาเสิ่นเสวียน แต่เสิ่นเสวียนเหมือนไม่รับรู้ถึงแรงกดดันนี้เลย เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางผ่อนคลาย ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
ท่าทางของเสิ่นเสวียนทำให้ผู้าุโตระกูลเสิ่นทั้งหลายตื่นใ ในความทรงจำของพวกเขา เสิ่นเสวียนเป็เพียงคนธรรมดา หาใช่ผู้ที่จะรับมือกับแรงกดดันเช่นนี้ได้
เสิ่นเหวินเทาบนที่นั่งผู้นำตระกูลตื่นใมาก เสิ่นเสวียนที่เขารู้จักมิอาจรับมือแรงกดดันของเขาได้ แล้วเสิ่นเสวียนคนนี้เป็ใครกัน เขาครุ่นคิดก่อนกล่าวเสียงดังก้อง “คนผู้นี้ไม่ใช่นายน้อย ใครก็ได้มาเอาตัวเขาออกไป”
เสิ่นเหวินเทากล่าวจบ องครักษ์สองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาก็กระโจนออกมา พริบตานั้นเอง ไอพลังต่อสู้สีแดงก็พลุ่งขึ้นรอบๆ ร่างของพวกเขา
ไอพลังต่อสู้ที่แผ่ซ่านออกมาจากร่าง คือความสามารถของขั้นปรมาจารย์
สองคนนี้คือยอดฝีมือแห่งตระกูลเสิ่น องครักษ์ที่เสิ่นเหวินเทาฝึกฝนขึ้นมาด้วยตนเอง เมื่อทั้งสองคนร่วมมือกัน สามารถเทียบเคียงผู้แข็งแกร่งขั้นแม่ทัพที่เก่งกาจได้
องครักษ์ทั้งสองปรากฏตัวพร้อมแววตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร พวกเขาย่างเข้าไปเบื้องหน้าเสิ่นเสวียน กำปั้นแฝงไอพลังต่อสู้อันน่ากลัวโจมตีออกมาจากทั้งสองคนพร้อมกัน มิติซ้ายขวาถูกผนึก ทำให้เสิ่นเสวียนมิอาจหลบได้
หมัดนี้ของพวกเขาคือพลังหมัดสูงสุดของผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งขั้นแม่ทัพก็ยากจะรับมือได้
ทุกคนต่างกำลังสนใจเื่ที่เกิดขึ้น ท่าทางของเสิ่นเสวียนที่รับมือกับแรงกดดันเมื่อครู่ทำให้พวกเขาตกตะลึง ไม่รู้ว่าต่อไปเสิ่นเสวียนจะต้านทานพลังโจมตีของสองคนนี้ได้หรือไม่
เสิ่นเสวียนยืนอยู่ที่เดิม มองกำปั้นที่กำลังพุ่งตรงมา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
“วิชายุทธ์คือทักษะการสังหาร หาใช่การใช้ชีวิต”
เมื่อกล่าวจบ เสิ่นเสวียนยกหมัดขวาขึ้นด้วยความเร็วสูง เกิดเป็เงาหมัดสองข้างโจมตีใส่คอขององครักษ์ทั้งสองในพริบตา
ผัวะ! ผัวะ!
หมัดกระแทกเข้าที่ลำคอก่อกำเนิดเสียงดังลั่นขึ้นมาสองครั้ง ตามมาด้วยเสียงกระดูกแตกหัก ขณะที่เสิ่นเสวียนแสดงพลังหมัดออกไป กำลังภายในก็พุ่งตรงเข้าไปที่ร่างของอีกฝ่าย ทำลายพลังชีวิตของพวกเขาจนสิ้น
จากนั้น ยอดฝีมือตระกูลเสิ่นทั้งสองคนก็ล้มลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง พวกเขาหมดสติและขาดใจตายทันที
ผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์สองคน มิอาจตอบโต้กลับได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว!
พลังน่ากลัวเกินไปแล้ว!
สิ่งที่ทำให้ทุกคนหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นคือ พลังชีวิตขององครักษ์ทั้งสองเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงสามลมหายใจเท่านั้น
ตายแล้ว!
เฮือก!!!
แต่ละคนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ทั่วทั้งหอประชุมเงียบกริบจนน่ากลัว
ผู้าุโใหญ่เสิ่นล่างที่นั่งอยู่มุมหนึ่งค่อยๆ ลืมตาอันพร่ามัวขึ้น พลันแววตาเป็ประกาย
..................................................
[1] ไถซี (胎息) เป็การบำเพ็ญเพียรอย่างหนึ่ง โดยไม่หายใจทางจมูกหรือปาก เหมือนกับทารกในครรภ์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้