เสิ่นซือหยางส่ายศีรษะอย่างละอายใจ อ้าปากตอบตามความจริง “ทูลหวางเฟย จนถึงวันนี้สามตุลาการยังมิสามารถสืบเบาะแสอันใดออกมาได้เลย หวังว่าครั้งนี้จะสามารถร่วมมือกับหวางเฟยไขคดีนี้ได้!”
เขาดูแลศาลต้าหลี่มานานหลายปี ยังนับเป็ครั้งแรกที่ได้พบคดีความที่ตึงมือยากสืบหาเช่นนี้ สืบหาติดต่อกันมาหลายวัน มิต้องพูดถึงเบาะแสเลย แค่ใยแมงมุม รอยเท้าม้า [1] ก็ยังไม่พบ
ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาไม่รู้ว่าในพระวรกายขององค์ชายห้านั้นเป็กู่ชนิดใด หากได้รู้แล้วพวกเขาคงจะมีเบาะแสอยู่บ้าง น่าเสียดาย สิ่งที่อยู่ในพระวรกายองค์ชายห้าเป็กู่ มิใช่ยาพิษ
กู่เป็สิ่งต้องห้าม ปัจจุบันนี้้าหาผู้เชี่ยวชาญด้านพิษกู่สักคนนั้น ช่างยากเสียนี่กระไร!
ครั้งนี้เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ฮ่องเต้ก็มอบหมายคดีความที่ตึงมือเช่นนี้ให้ยายหนูน้อยสิบกว่าปีผู้หนึ่ง แล้วยังเป็นักโทษอีกด้วย
บัดนี้ไร้หนทางแล้ว พระบัญชามิอาจฝ่าฝืน สามตุลาการหาเบาะแสออกมาไม่ได้มาหลายวัน พวกเขาจนปัญญาจะรายงาน ฮ่องเต้ก็ไม่พอพระทัยอยู่แล้ว ตอนนี้เขาได้แต่ปล่อยเลยตามเลยฉีหวางเฟยผู้นี้
เดิมทีเขาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและไม่เต็มใจ แต่ว่าเห็นด้วยตาจึงจะเป็ความจริง เพียงแวบแรกที่ได้พบ เขาก็รู้สึกว่ายายหนูผู้นี้ดูคล้ายจะไม่ง่ายดายเลย ลึกลับนัก แต่กลับเอื้อนไม่ชัด เอ่ยไม่กระจ่าง!
เขาได้ยินมาว่าวันนั้นหวางเฟยผู้นี้เผชิญหน้ากับการสอบสวนของผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่แข็งกร้าวทว่าก็ไม่อ่อนแอ
อายุยังน้อยก็มีความเยือกเย็นที่ไม่ไหวหวั่นต่อสิ่งใด สุขุมนิ่งประหนึ่งสายลมพัดผ่านก็ไม่ปรากฏร่องรอย นางอายุเท่านี้ก็มีจิตใจที่สุขุมเยือกเย็นแล้วช่างเป็สิ่งหาได้ยากยิ่งนัก!
มู่จื่อหลิงรู้อยู่แล้วว่าเสิ่นซือหยางจะตอบเช่นนี้ นางไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย มุมปากยกเป็รอยยิ้มอันเฉยชา กำลังจะอ้าปากพูด
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใหญ่โต หลงเซี่ยวหนานที่กำลังงีบหลับอยู่บนตั่งนุ่มก็ตื่นขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ!
ในตำหนักมีคนมากมายเพียงนี้ แต่คนที่หลงเซี่ยวหนานเห็นในแวบแรกกลับเป็คนที่ทำให้คนอยากเมินเฉยก็มิอาจเมินเฉยได้ ไม่ว่าไปที่ใดกายก็ดูเหมือนจะเปล่งประกายอยู่ตลอดคนนั้น
นางสวมกระโปรงทรงแคบลวดลายเรียบๆ ไม่โดดเด่นสีขาวโปร่ง ดวงหน้าพริ้มเพราดังแจกันงดงาม ประดับรอยยิ้มราบเรียบจนต่อให้สายลมพัดน้ำผ่านก็ไม่เปลี่ยนแปลง ลักยิ้มตื้นน่ารักทำให้ผู้มองยิ่งรู้สึกสดชื่นนัก ท่าทางใจกว้างขวางและอิสระไร้กฎเกณฑ์นั้นงดงามเสียจนหาสิ่งใดเปรียบมิได้ ทุกการขยับตัวแผ่กลิ่นอายสูงส่งสง่างาม
บริเวณที่มู่จื่อหลิงยืนนั้นอยู่ตรงข้ามกับตั่งนุ่มพอดี นางในยามนี้ย่อมเห็นการเคลื่อนไหวบนตั่งนุ่ม
นางเห็นหลงเซี่ยวหนาน้าจะลุกขึ้นจึงรีบสาวเท้าเข้าไป ถามด้วยความเป็ห่วง “ร่างกายขององค์ชายห้าไม่สบายอยู่ก็อย่าได้ลุกขึ้นมาเลย สองสามวันนี้ปวดศีรษะน้อยลงบ้างหรือไม่?”
ยาที่นางลอบใช้กับหลงเซี่ยวหนานก่อนไปในคราที่แล้วนั้น ระงับได้แค่ความเ็ปบางส่วน แต่กลับมิอาจระงับความเ็ปได้ทั้งหมด นี่เป็ครั้งแรกที่นางใช้ยาบรรเทาความทรมานจากพิษกู่ จึงไม่รู้ว่าฤทธิ์ของยาสามารถบรรเทาอาการเ็ปได้กี่ส่วน
แม้มู่จื่อหลิงจะเอ่ยปากมิให้หลงเซี่ยวหนานลุกขึ้นมา แต่เขาก็ยังคงฝืนยันกายขึ้นมานั่ง ฉีกรอยยิ้มที่สว่างไสวอบอุ่นดั่งแสงตะวัน เอ่ยปากพูดอย่างช้าๆ “ขอบคุณพี่สะใภ้สามที่เป็ห่วง สองสามวันนี้ดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่เื่นี้ทำให้พี่สะใภ้สามถูกเกี่ยวโยงเข้าไปด้วย ต้องขออภัยจริงๆ”
ครั้งที่แล้วมู่จื่อหลิงถูกเสด็จพ่อสั่งขังในคุกหลวงมีเหตุมาจากเื่กู่ในตัวเขา หลังเขาตื่นมาจึงรู้ว่าตนถูกพิษกู่ แม้เขาจะตื่นใและหวาดกลัว แต่ในใจกลับเชื่อมั่นในมู่จื่อหลิงโดยสิ้นเชิง
ไม่ว่านางจะทำอะไร เขาคิดว่าเขาก็คงอยากจะเชื่อนางไปโดยไม่รู้ตัว!
หากมิใช่เพราะวันนั้นตนเองหมดสติไป เขาจะไม่ให้มู่จื่อหลิงถูกขังให้รับโทษทัณฑ์ในคุกหลวงเป็แน่ หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาเขาก็คิดจะช่วยเหลือนาง ทว่ากลับมีเพียงใจไร้กำลัง วันนี้เห็นนางสามารถออกมาจากคุกหลวงได้อย่างปลอดภัย ใจของเขาก็สงบลงแล้ว
มู่จื่อหลิงมองเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ ท่าทีสุขุมสง่างาม ไม่คิดเล็กคิดน้อย “ไม่เป็ไร องค์ชายห้ายังสามารถเชื่อใจข้าได้เช่นนี้ ข้าก็ดีใจยิ่งนัก อีกอย่างข้าไม่มีทางปล่อยให้ตนเองเสียเปรียบโดยเปล่าประโยชน์ และจะต้องรักษาอาการป่วยของท่านให้หายเป็ปกติแน่”
ประโยคสุดท้ายของมู่จื่อหลิงนั้นทรงพลัง แน่วแน่เคร่งขรึม ผู้ที่อยู่ในที่แห่งนั้นล้วนได้ยินทั้งหมด!
ฉีหวางเฟยพูดอันใดกัน? นางจะรักษาพิษกู่ขององค์ชายห้าให้หายดี?
คนของศาลต้าหลี่ในที่แห่งนั้นแม้วันนั้นจะไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่เพื่อสืบคดีความแล้ว เื่ในวันนั้นพวกเขาจึงรู้ทั้งหมด
ครั้งก่อนต่อหน้าฮ่องเต้ ฉีหวางเฟยได้พูดกับปากตนเองว่านางไม่รู้ว่าในตัวองค์ชายห้าเป็กู่พันธุ์ใด ยามนี้นางก็มาพูดว่าสามารถรักษาได้แล้ว
ฉีหวางเฟยสามารถรักษาได้มิได้หมายความว่านางรู้เื่กู่หรือ และรู้ด้วยว่าในตัวองค์ชายห้าเป็กู่ชนิดใด เช่นนั้นกู่ในตัวองค์ชายห้าเป็ฉีหวางเฟยใส่ลงไปจริงๆ ใช่หรือไม่ และวันนั้นที่ฉีหวางเฟยพูดก็เป็การหลอกลวงเบื้องสูง?
กุ่ยเม่ยใอย่างเงียบๆ เขารู้ว่าหวางเฟยร้ายกาจ เขาไม่แน่ใจว่าหวางเฟยจะรู้จริงๆ ว่าองค์ชายห้าถูกกู่ชนิดใดหรือไม่ แต่วันนั้นหวางเฟยพูดกับฮ่องเต้ไปแล้ว ยามนี้ก็มาเปลี่ยนคำพูดอีก
หวางเฟยเป็อะไรไปกันแน่ หลอกลวงเบื้องสูง โทษนี้มิใช่โทษเล็กๆ เลย!
วันนั้นหลงเซี่ยวเจ๋อก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย และได้ยินคำที่มู่จื่อหลิงพูดกับฮ่องเต้ด้วยหูของตนเอง
ยามนี้เขาเห็นมู่จื่อหลิงพูดอย่างจริงจังเช่นนี้ ในใจก็ตื่นตระหนก รีบร้อนออกมาแก้ต่างให้มู่จื่อหลิง “พี่สะใภ้สาม ท่านพูดคำพูดโง่เขลาออกมาได้อย่างไรกัน ข้ารู้ว่าท่านเป็ห่วงพี่ห้า แต่ท่านมิอาจหุนหันพลันแล่นพูดมั่วซั่วเพราะเป็ห่วงพี่ห้าได้นะ”
มู่จื่อหลิงค้อนใส่เขาอย่างอารมณ์เสีย เ้าสิโง่ เ้าพึ่งพูดมั่วซั่วไปนี่
หลงเซี่ยวเจ๋อพูดจบก็ไม่ได้สนใจสายตาค้อนปะหลับปะเหลือกของมู่จื่อหลิงแม้แต่น้อย เขาพูดจบก็รีบยักคิ้วหลิ่วตาไปให้หลงเซี่ยวหนานที่นั่งอยู่บนตั่งนุ่ม ใบหน้าดวงตาย่นยู่เข้าหากัน ทำให้ผู้เห็นอดที่จะรู้สึกตลกขบขันไม่ได้
หลงเซี่ยวหนานเห็นแล้วเข้าใจทันทีโดยปริยาย ผงกศีรษะพูดสำทับ “นั่นน่ะสิ พี่สะใภ้สาม ข้ารู้อาการป่วยตนเองดี พี่สะใภ้สามไม่จำเป็ต้องกังวล”
มู่จื่อหลิงมองคนที่ยักคิ้วหลิ่วตาให้กันและเข้ากันเป็ปี่เป็ขลุ่ยทั้งสองคนอย่างขบขัน นางย่อมรู้ว่าพวกเขากำลังกังวลสิ่งใด แต่ว่าพวกเขาคิดจริงๆ หรือว่านางจะโง่งมทำเื่ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม?
หลอกลวงเบื้องสูง เื่ศีรษะจะหลุดจากบ่าพรรค์นี้ นางล้อเล่นได้ แต่รับไม่ไหวนี่!
แม้นางจะหลอกลวงเบื้องสูงจริง แต่นอกจากนางแล้วก็มีแค่หลงเซี่ยวอวี่ที่รู้ว่ากู่ในตัวหลงเซี่ยวหนานนั้นเป็กู่ชนิดใด หลงเซี่ยวอวี่ไม่พูดแล้วจะมีผู้ใดรู้ ยามนั้นนางกล้าพูดกับหลงเซี่ยวอวี่ก็เพราะมั่นใจว่าหลงเซี่ยวอวี่จะไม่พูดออกไป
ตอนนี้นางพูดว่าสามารถรักษาหลงเซี่ยวหนานให้หายได้ ย่อมต้องมีวิธีการของนางเอง และไม่ให้ผู้อื่นจับจุดอ่อนได้อีก
หลงเซี่ยวเจ๋อเห็นมู่จื่อหลิงปิดปากเงียบไม่พูดจา จมสู่ภวังค์ความคิดราวกับกำลังไตร่ตรองสิ่งใดอยู่ ก็คิดว่ามู่จื่อหลิงเข้าใจความหมายของเขาและพี่ห้าแล้ว ดวงตาจึงจับจ้องไปที่นางโดยไม่กะพริบ รอให้นางพูดออกมา
เสิ่นซือหยางและสิงกู้เหวินก็มองมู่จื่อหลิงอย่างงงงวยนัก พวกเขาเพิ่งจะได้ยินด้วยหูของตน หรือว่าเป็เพราะฉีหวางเฟยเป็ห่วงองค์ชายห้า ถึงได้หุนหันพูดออกมาว่าสามารถรักษาอาการป่วยของเขาได้?
คนทั้งหมดล้วนกำลังรอให้มู่จื่อหลิงตอบกลับ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
มู่จื่อหลิงจึงพยักหน้าอย่างเรียบเฉย “อืม หวางเฟยเป็ห่วงอาการป่วยขององค์ชายห้าจริงๆ”
ได้ยินคำพูดนี้หลงเซี่ยวเจ๋อก็ผ่อนลมหายใจ อันตรายนัก!
หลงเซี่ยวหนานก็ผ่อนลมหายใจเช่นกัน และเมื่อได้ยินว่ามู่จื่อหลิงเป็ห่วงเขาด้วยหูของตนเอง ทันใดนั้นก็มีความอบอุ่นหลั่งไหลเข้าไปในหัวใจของเขา ทั้งร้อนทั้งอุ่น บอกไม่ถูกว่าเป็ความรู้สึกเช่นใด
ทว่าคำพูดต่อมาของมู่จื่อหลิงก็ทำให้ผู้ที่เมื่อครู่ร่วมมือกันและผ่อนลมหายใจออกมานั้น ในยามนี้ทั้งสองคนเกือบจะกระอักเืออกมา!
มู่จื่อหลิงมองเมินทั้งสองคนที่มีใบหน้าสบายใจ ยิ้มตาหยีพูดด้วยสีหน้าของผู้บริสุทธิ์ “แต่เพราะเปิ่นหวางเฟยเป็ห่วงอาการป่วยขององค์ชายห้า จึงจะต้องรักษาเขาให้หายแน่พวกเ้าวางใจได้”
หลงเซี่ยวเจ๋อเกือบจะคุกเข่าให้มู่จื่อหลิง ปกติพี่สะใภ้สามของเขาก็ออกจะเฉลียวฉลาด มาโง่งมเอาวันนี้ได้อย่างไร ก็พูดเสียเข้าใจเพียงนั้นแล้ว เหตุใดพี่สะใภ้สามจึงมิยอมล้มเลิกความตั้งใจเล่า
เขาเองก็มิได้ไม่อยากให้พี่ห้าหายดี แต่พี่สะใภ้สามรักษาพี่ห้าจนหายได้ นั่นมิใช่เพียงแค่หลอกลวงเบื้องสูงเพียงโทษฐานเดียวเท่านั้น แต่ยังแสดงว่านางรู้เื่กู่อีกด้วย
ครั้งที่แล้วเสด็จพ่อฮ่องเต้ยังสามารถนำพี่สะใภ้สามไปขังในคุกหลวงได้โดยไม่ถามเหตุผลอันใดทั้งนั้น ครั้งนี้หากให้เสด็จพ่อฮ่องเต้รู้เข้า จะยังรักษาชีวิตน้อยๆ ของพี่สะใภ้สามไว้ได้หรือไม่?
แล้วยังวางใจ? เขาไม่มีทางวางใจได้ ช่างทำให้เขาเป็ห่วงเสียจริง!
หากมู่จื่อหลิงรู้ความคิดของหลงเซี่ยวเจ๋อในเวลานี้ ไม่รู้ว่าจะเดินขึ้นไปตบหน้าผากเขา แล้วงัดศีรษะเขาออกจากกันแรงๆ เพื่อดูว่าใครกันแน่ที่โง่ หรือไม่
สิงกู้เหวินได้ยินมู่จื่อหลิงยืนยันอีกครั้งว่าสามารถรักษาอาการป่วยของหลงเซี่ยวหนานได้ ในใจก็ยิ้มอย่างยินดี!
ครั้งนี้ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน พวกเขาทั้งหมดล้วนได้ยินด้วยหูของตนเอง คำพูดของมู่จื่อหลิงในยามนี้พิสูจน์ได้ว่าวันนั้นนางหลอกลวงเบื้องสูง
ครั้งที่แล้วเขาถูกมู่จื่อหลิงปั่นหัวเล่นเสียหนึ่งยก แล้วลูกน้องยังถูกฉีอ๋องฆ่าตายถึงสองคน ทำให้มิอาจรายงานต่อฮองเฮาได้ ครั้งนี้มู่จื่อหลิงหลอกลวงเบื้องสูง โทษใหญ่หลวงเช่นนี้ ตอนนี้ดูสิว่านางจะยโสโอหังได้อย่างไร
สิงกู้เหวินกดข่มความตื่นเต้นในใจไว้ไม่ไหว ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเยาะพลางประสานมือเป็กำปั้นถามเสิ่นซือหยางว่า “ใต้เท้าเสิ่น ฉีหวางเฟยพูดว่าสามารถรักษาอาการป่วยขององค์ชายห้าได้ยินหรือไม่”
เสิ่นซือหยางย่อมได้ยินแล้ว เขาลูบเคราพลางผงกศีรษะน้อยๆ ไม่ได้ตอบกลับ รอให้มู่จื่อหลิงพูดต่อไป เขารู้ว่านางหนูฉลาดเฉลียวผู้นี้ยังไม่ได้พูดอย่างชัดเจนเป็แน่
รอดูไปก่อน!
เห็นเสิ่นซือหยางเพียงพยักหน้าแต่กลับปิดปากไม่พูดจา ชั่วพริบตาเดียวมู่จื่อหลิงก็จดแต้มให้ใต้เท้าเสิ่นในใจหนึ่งแต้ม ไม่รีบร้อน เหมือนกับฟังทุกอย่างไว้ในใจ เห็นในสายตา
นางในยามนี้เข้าใจได้อย่างเลือนรางแล้วว่าเหตุใดหลังจากที่หลงเซี่ยวอวี่หารือกับฮ่องเต้เสร็จ ฮ่องเต้ก็มอบหมายคดีนี้ให้ศาลต้าหลี่ทันที สิงกู้เหวินมิใช่คนดี แต่เสิ่นซือหยางตรงหน้านี้กลับล้ำลึกยากหยั่งถึง ไม่ธรรมดาสามัญ มีเขาอยู่เื่ราวก็จะคลี่คลายง่ายขึ้นไม่น้อย
สิงกู้เหวินเห็นเสิ่นซือหยางพยักหน้ายอมรับโดยปริยายแล้ว ดวงตาที่หรี่ลงจนเกือบจะเหลือเป็ขีดเล็กๆ ก็ทอประกายอย่างยินดี ดูเหมือนว่าจะเป็เพราะยินดีจนเกินไป ไขมันทั้งตัวเขาจึงกระเพื่อมไหวน้อยๆ
สิงกู้เหวินแสร้งทำเป็สงบเสงี่ยมถามมู่จื่อหลิงด้วยความนอบน้อม “ในเมื่อหวางเฟยสามารถรักษาอาการป่วยขององค์ชายห้าได้ เช่นนั้นย่อมต้องรู้ว่าองค์ชายห้าถูกกู่ชนิดใด?”
ใบหน้ามู่จื่อหลิงเผยแววสับสนงงงวย ถามอย่างไร้ความผิดและไม่เข้าใจว่า “ใต้เท้าสิงถามเช่นนี้หมายความว่าอันใด เปิ่นหวางเฟยรู้แล้วเป็อย่างไร? ไม่รู้แล้วเป็อย่างไร?”
เ้าอ้วนผู้นี้แทบทนรอไม่ไหวที่จะเล่นงานนางแล้ว? ยามนี้นางอยากจะดูว่าเ้าอ้วนนี่จะตอบนางเช่นใด ครั้งที่แล้วได้กินปัสสาวะในคุกหลวง ตอนนี้ยังกล้ามาหาเื่ใส่ตัวอีก
หลงเซี่ยวเจ๋อได้ยินเช่นนี้ก็เกือบจะกระอักเืออกมา ทำไมพี่สะใภ้สามยังคิดไม่ได้อีก จะให้เขาร้อนใจจนตายจริงๆ ถึงจะพอใจใช่หรือไม่
แม้หลงเซี่ยวหนานจะกังวลใจเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนว่ามองอะไรบางอย่างออกแล้ว เขารู้สึกได้ว่าพี่สะใภ้สามไม่ใช่คนประเภทที่จะลงมือทำเื่นอกเหนือไปจากการควบคุม
เสิ่นซือหยางกำลังมองสิงกู้เหวินอย่างเ็า ความคิดเล็กน้อยนั่นของสิงกู้เหวินในยามปกติ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร อย่าได้ย้ายมาทับเท้าเขาก็แล้วกัน
สิงกู้เหวินได้ยินวาจานี้ของมู่จื่อหลิงก็ลำพองใจ กำลังไตร่ตรองว่าตอบเช่นใดจึงจะเหมาะสม
จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงขันทีร้องเสียงแหลมสูงดังเข้ามา “เกี้ยวฮ่องเต้มาถึงแล้ว เกี้ยวฮองเฮามาถึงแล้ว”
เสียงนี้สำหรับสิงกู้เหวินแล้วกลับเหมือนเสียงจาก์ และมอบความกล้าหาญในคำพูดที่เขา้าตอบกลับอีกมากโข ครั้งนี้เขาอยากดูนักว่ามู่จื่อหลิงจะตายเช่นใด
-----------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ใยแมงมุม รอยเท้าม้า มีความหมายว่า เบาะแสหรือร่องรอยในที่เกิดเหตุ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้