“กองทัพสกุลติงแข็งแกร่งมาก!” กงจื้อิพูดล้อเล่นอย่างหาได้ยาก มือขวาของเขากำหมัดทุบไปที่อกด้านซ้าย และส่งเสียงดังให้กำลังใจติงเหว่ย
จากนั้นเขาก็อุ้มอันเกอเอ๋อร์ที่กำลังเบิกตากว้างและสับสนขึ้นลงเขย่าไปมา ติงเหว่ยก็ไม่อาจกลั้นเสียงหัวเราะได้อีกต่อไป นางหมุนตัวกลับไปปั้นก้อนหิมะที่ลูกใหญ่ขึ้น เล็งเป้าไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็ขว้างออกไปอย่างสุดแรง
บางทีลูกพลับลูกนั้นอาจใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวบนกิ่งไม้มานานพอแล้ว หรือบางทีลมเหนืออาจจะเข้ามาช่วยอีกแรง ทำให้ลูกพลับลูกนั้นร่วงหล่นลงมาบนพื้นดัง “ตุบ” ทำให้ติงเหว่ยะโขึ้นมาด้วยความดีใจทันที
“เย้ ข้าปาโดนแล้ว!”
ติงเหว่ยหยิบลูกพลับที่แข็งราวกับก้อนหินขึ้นมา นางดีใจเหมือนกับเด็กๆ ทั้งหัวเราะและะโโลดเต้นไปมา
กงจื้อิยื่นมือออกไปดึงผ้าห่มให้สูงขึ้นเพื่อบังลมหนาวให้ลูกชายของเขา ในขณะที่เงยหน้าขึ้นเขาก็ตอบว่า “เคยได้ยินมาว่าลูกพลับที่ถูกแช่แข็งด้วยลมหนาวจะมีรสหวานมากกว่าใช่หรือไม่?”
“ใช่ ใช่ ใช่” ติงเหว่ยจำความรู้สึกตอนฉลองปีใหม่ในยามที่นางยังเป็เด็กได้ นางจึงยิ่งมีความสุขมากขึ้นและพูดชักชวนว่า “เราเข้าไปข้างในก่อน แล้วค่อยหาอ่างน้ำมาทำให้ลูกพลับอุ่นขึ้นสักหน่อย แล้วใช้ช้อนค่อยๆ ขูดมันออกมาเป็วิธีที่ดีที่สุด”
ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน อวิ๋นอิ่งก็เดินเข้ามาจากด้านนอกเรือน ติงเหว่ยจึงเรียกให้นางช่วยไปเตรียมน้ำมา ส่วนนางก็เข็นรถเข็นกลับเข้าไปในห้อง
อันเกอเอ๋อร์ที่ได้ออกไปเดินเล่นมีความสุขมาก ทันทีที่ผ้าห่มที่พันอยู่บนตัวของเขาถูกแกะออก เขาก็โยกมือและเท้าไปมา ส่งเสียงอ้อแอ้เพื่อแสดงความตื่นเต้น
ติงเหว่ยช่วยกงจื้อิถอดเสื้อคลุมกันลมที่ทำจากผ้าฝ้ายออก มือทั้งสองที่เพิ่งอุ่นให้ร้อนอยากจะกอดลูกชายของนาง นึกไม่ถึงว่าอันเกอเอ๋อร์กลับใช้แรงทั้งหมดพลิกตัวไป
ทั้งติงเหว่ยและกงจื้อิที่กำลังนั่งอยู่ข้างเตียงเตาต่างก็นึกไม่ถึงว่าเ้าเด็กอ้วนจะเริ่มเก่งขึ้นแล้ว พวกเขาไม่ได้พูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง
อาจเป็เพราะว่าจู่ๆ โลกก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เ้าเด็กอ้วนจึงใเป็อย่างมาก และเขาก็เบะปากร้องไห้ออกมาเสียงดัง
ติงเหว่ยรีบเดินไปข้างหน้า ทั้งกอดและจูบลูกชายของนางด้วยความรัก “ไอ๊หยา ลูกชายของแม่ช่างเก่งจริงๆ พลิกตัวได้แล้วด้วย ไม่ต้องกลัวๆ พวกเราโตขึ้นแล้วยังต้องเป็วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ด้วย จะมาเสียจินโต้วจื่อ [1] ง่ายๆ ได้อย่างไรกัน น่าอายจะตายไป!”
กงจื้อิดีใจที่ลูกชายของเขาเติบโตขึ้น และสิ่งที่เขาได้ยินจากติงเหว่ยก็น่าสนใจ ดังนั้นเขาจึงหัวเราะออกมา
ติงเหว่ยเคยชินกับท่าทีที่เ็าของเขา พอจู่ๆ ได้มาเห็นเขายิ้มจึงยังรู้สึกไม่ค่อยชินสักเท่าไร นางอุ้มลูกและจ้องมองอย่างเหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง
เดิมทีใบหน้าของกงจื้อินั้นก็หล่อเหลาอยู่แล้ว แต่ด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ ความเ็าที่หว่างคิ้วของเขาก็หายไปทั้งหมด และเส้นเค้าโครงบนใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นุ่มนวล ราวกับฤดูหนาวที่เยือกเย็นกำลังละลาย เพิ่มแสงแดดและความอบอุ่นขึ้นมาสามส่วนเมื่อเทียบกับยามปกติ ช่างน่าหงุดหงิดจริงๆ...
กงจื้อิถูกจ้องจนรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาก้มศีรษะลงและกระแอมออกมาสองครั้ง จากนั้นถอยรถเข็นไปอีกฝั่งและตำหนิด้วยเสียงราบเรียบว่า “เฟิงจิ่ว ยังไม่ออกมาอีกอย่างนั้นหรือ?”
ทันทีที่เขาพูดจบ เฟิงจิ่วก็ะโออกมาช่วยพยุงกงจื้อิไปนั่งบนเตียงเตาด้วยรอยยิ้ม
ติงเหว่ยกลับมามีสติอีกครั้งและหน้าแดงเพราะท่าทางบ้าผู้ชายของนางเมื่อครู่นี้ นางจึงพูดเปลี่ยนเื่เพื่อแก้ไขสถานการณ์ว่า “เสี่ยวจิ่ว ข้ากำลังจะทำกางเกงที่เบาสบายและอบอุ่นให้หนึ่งตัว อีกเดี๋ยวอย่าลืมไปบอกขนาดของเ้าที่อวิ๋นอิ่งด้วยล่ะ”
“ตกลง” เฟิงจิ่วได้ยินแล้วก็ดีใจ เขายิ้มและขอบคุณ แต่เมื่อเหลือบมองสีหน้าของนายท่านที่เปลี่ยนเป็เ็าขึ้นมาในทันใดก็รีบพูดแก้ว่า “ขอบคุณแม่นางติงที่เป็ห่วง แต่ข้าไม่ได้ขาดแคลนเสื้อผ้า ท่าน เอ่อ เอาไปให้อันเกอเอ๋อร์หรือแบ่งให้คนอื่นเยอะสักหน่อยเถอะ”
ติงเหว่ยคิดไปเองว่าเฟิงจิ่วเกรงใจ นางโบกมือและพูดว่า “คนอื่นมีหมดแล้ว เ้าก็อย่าได้บ่ายเบี่ยงเลย อย่าลืมไปบอกขนาดที่อวิ๋นอิ่งล่ะ”
“เอ่อ ตกลง” เฟิงจิ่วไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอดทนต่อสายตาเชือดเฉือนของนายท่านที่ราวกับมีมีดพุ่งออกมา แล้วซ่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว
อวิ๋นอิ่งนำกะละมังขนาดเล็กที่ทำจากดินเผาเข้ามาจากด้านนอก ติงเหว่ยจึงโยนลูกพลับที่ถูกแช่แข็งอยู่ลงไปในน้ำ เพียงเวลาไม่ถึงสองเค่อก็ถูกแช่จนนิ่มและเปื่อย
ติงเหว่ยหยิบถ้วยกระเบื้องลายครามออกมาและหยิบลูกพลับใส่ลงไป จากนั้นจึงใช้ช้อนเงินหนึ่งคันค่อยๆ ขูดเนื้อของลูกพลับมากิน
บางทีลูกพลับลูกนี้อาจได้รับแสงแดดในฤดูใบไม้ร่วงอย่างเพียงพอ และได้รับการดูแลเป็พิเศษจากลมเหนือมาเป็เวลานาน จึงทำให้ลูกพลับลูกนี้มีรสชาติอร่อยมากเป็พิเศษ รสชาติหวานนุ่มและไม่ฝาดเลย ติงเหว่ยกินแล้วยิ้มอย่างมีความสุข แล้วก็ถามเป็มารยาทว่า “นายน้อย ท่านอยากจะลองชิมสักหน่อยไหม?”
เดิมทีนางเป็คนอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่แล้ว ไหนเลยจะคิดว่ากงจื้อิกลับตอบว่า “ตกลง”
ติงเหว่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังคงส่งถ้วยให้เขาอย่างไม่เต็มใจ
กงจื้อิถือด้ามยาวของช้อนเงินด้วยนิ้วเรียวยาวของเขา ตักทางซ้ายหนึ่งคำ ตักทางขวาอีกหนึ่งคำ ภายในเวลาไม่นานก็กินลูกพลับเข้าไปมากกว่าครึ่ง
ติงเหว่ยเบิกตาอย่างตกตะลึงและเกือบจะร้องไห้ออกมาด้วยความเ็ป ไหนบอกว่าเป็คนองอาจ ไหนบอกว่าไม่ชอบกินของหวาน ไหนบอกว่าจะเกรงใจ?
ลูกพลับของข้า ลูกพลับที่ข้าต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้มา แต่ข้ากลับได้กินไปแค่คำเดียวเท่านั้น...
กงจื้อิเหลือบมองสีหน้าขมขื่นของหญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามเขาอย่างมีความสุข เขากลืนลูกพลับคำสุดท้ายลงไปอย่างมีความสุข จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาและเช็ดปากของเขาเบาๆ “รสชาติธรรมดาเท่านั้น”
ติงเหว่ยอดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วกลอกตามองบนอย่างแรง! รสชาติธรรมดาอย่างนี้ท่านยังกินไปจนหมดเกลี้ยง หากว่ารสชาติอร่อยมากท่านไม่กินถ้วยเข้าไปด้วยหรอกหรือ?
อวิ๋นอิ่งอุ้มอันเกอเอ๋อร์เดินไปรอบๆ บริเวณหน้าต่าง หางตาของนางก็เห็นนายน้อยที่มีความพยายามเอาชนะเหมือนเด็กๆ นางอดกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมาอย่างยากลำบาก ส่วนเฟิงจิ่วก็นั่งยองๆ อยู่ตรงมุมห้องและวาดรูปวงกลมอยู่ตั้งนานแล้ว เื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา จริงๆ แล้วมันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย…
……
วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ พร้อมๆ กับหิมะสีขาวที่ตกลงมา ทุกครัวเรือนในบริเวณที่ราบลุ่มเชิงเขาแห่งนี้ต่างก็พากันซ่อนตัวอยู่ในบ้าน คนเฒ่าคนแก่ก็จะสานหวายที่พวกเขาเก็บเอาไว้ตอนฤดูใบไม้ร่วงเป็ตะกร้าหลากสี ชาวบ้านบางคนที่ขยันและมีทักษะบ้างก็เข้าเมืองหางานแปลกๆ เพื่อหารายได้ นอกจากนี้ยังมีคนหนุ่มสาวที่กล้าหาญและกระตือรือร้นเข้าไปในูเาเพื่อล่าไก่ฟ้าและกระต่ายหิมะเป็ครั้งคราว บางครั้งอาจโชคดีที่พวกเขาสามารถอุ้มหมูป่าตัวเล็กลงจากูเาได้
นับั้แ่พี่รองสกุลติงเข้ามาในเมืองและได้เห็นบ้านกับร้านค้าของน้องสาว เขายุ่งราวกับผึ้งน้อยที่ทำงานอย่างขยันขันแข็งทันที วันนี้มีอาหารแห้งสองกระสอบ พรุ่งนี้มีฟืนแห้งหนึ่งคันรถ วันหลังมีผักกาดและหัวไชเท้าสองสามต้น พวกเขาเดินทางไปมาระหว่างเมืองกับบ้านเก่าของพวกเขา
ในขณะที่แยกครอบครัวกัน พี่รองสกุลติงก็ได้ให้เงินพี่ใหญ่เพิ่มอีกยี่สิบตำลึง และเขาก็ได้รถม้าคันเดียวของบ้านไป ดังนั้นเมื่อถูกท่านพ่อท่านแม่ใช้งาน เขาก็ได้เห็นบ้านของน้องสาวไปโดยปริยาย
ผู้าุโติงและแม่นางหลี่ว์ไม่ค่อยได้ไปในเมืองเท่าไรนัก แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าบ้านของลูกสาวไม่ได้ราคาถูก แต่ก็ไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วราคาสูงเท่าไรกันแน่ กลับกันพี่รองสกุลติงนั้นอาศัยอยู่และเดินในเมืองบ่อย เขารู้ราคาของบ้านหลังนี้และร้านค้าอย่างชัดเจน
ที่แท้ในตอนที่พวกเขาสองพี่น้องเห็นแก่ตัวและทะเลาะกันเพื่อแย่งสมบัติไม่กี่ร้อยตำลึง น้องสาวของเขาก็ซื้อทรัพย์สินมูลค่าหนึ่งพันตำลึงอย่างเงียบๆ เป็ครั้งแรกที่เขารู้สึกเสียดายและไม่อยากทำตามคำแนะนำของภรรยา แต่แล้วเขาก็เริ่มเป็ห่วงน้องสาวว่าจริงๆ แล้วนางทำงานอะไรในจวนสกุลอวิ๋นกันแน่ เหตุใดสกุลอวิ๋นถึงได้มอบสินน้ำใจที่ล้ำค่าเช่นนี้ให้?
เมื่อผู้าุโติงและแม่นางหลี่ว์ได้ยินคำถามของลูกชาย พวกเขากลับไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพียงแต่บอกว่าลูกสาวกำลังรักษาอาการป่วยของนายน้อยสกุลอวิ๋น ท่านผู้าุโอวิ๋นจึงให้บ้านหลังนี้และร้านค้าแทนคำขอบคุณ
พี่รองสกุลติงถอนหายใจหลังจากได้ยินเช่นนั้น เขาอยากจะพูดอะไรอีกสักหน่อยแต่กลัวว่าท่านพ่อท่านแม่ของเขาจะกังวล ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงกลืนคำถามทั้งหมดของเขา เช่นเดียวกับที่ท่านแม่พูดไว้ เอกสารโฉนดบ้านและร้านค้าจะถูกเก็บไว้ที่บ้าน ไม่ว่าสกุลอวิ๋นจะมีเจตนาไม่ดีก็ตาม น้องสาวและหลานชายจะไม่มีวันขาดอาหารและเสื้อผ้า
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็เริ่มตั้งใจทำงานเช่นกัน ในบ้านหลังนี้มีทั้งหมดสามเรือน ซอยหน้าประตูเงียบสงบมาก ถนนด้านหลังก็กว้างขวางมาก มีรถม้าและคนเดินไปมามากมาย
พี่รองสกุลติงตัดสินใจหาคนกลางเพื่อจะปล่อยเช่าหนึ่งเรือนในบ้านให้กับพ่อค้ากลุ่มหนึ่งไว้เป็ที่พัก ค่าเช่าเดือนละห้าตำลึง นอกเสียจากพ่อค้าที่ไปๆ มาๆ แล้วปกติก็มีคนอยู่อาศัยประจำแค่สองคนเท่านั้น
ผู้าุโติงและแม่นางหลี่ว์รู้เข้าก็มีความสุขมาก พวกเขาล็อคประตูด้านข้างระหว่างเรือนสองกับเรือนสาม จากนั้นกลับไปที่หมู่บ้านและขอให้เสี่ยวฝูจื่อช่วยบอกข่าวดีแก่ลูกสาวของพวกเขา
เมื่อติงเหว่ยได้รับข่าวก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เดิมทีนางเกรงว่าท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็ท่านลุงหูเฝ้าบ้านแค่สามคนอาจดูเงียบเหงาไปสักหน่อย หากวันนี้ปล่อยเช่าออกไป ไม่เพียงแต่จะทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่มีรายได้ บ้านเองก็จะคึกคักไปด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว อย่างไรก็ตามบนโลกใบนี้่อย่างไรก็ไม่สามารถห้ามให้ผู้อื่นคิดร้ายต่อเราได้ หากมีคนของตนเองไว้ใกล้ตัวสักหน่อย เวลามีเื่อะไรจะได้ช่วยกันได้
ดังนั้นเฉิงต้าโหยวจึงแบกที่นอนย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านเช่นกัน ปกติเขาจะคอยดูแลร้านทั้งสองแห่ง และทุกๆ สามวันเขาจะไปรายงานบัญชีที่บ้านสกุลอวิ๋นหนึ่งครั้ง ถึงแม้เขาจะขี้หงุดหงิดอยู่สักหน่อย แต่เขาก็มีความก้าวหน้าบ้างหลังจากก้าวผ่านประตูนรกมาก่อน เคยแม้กระทั่งนำทั้งครอบครัวของเขาขายตนเองเป็ทาส ใน่กลางวันที่เขาอยู่ในร้านเขาได้ขอคำชี้แนะจากผู้เฒ่าในร้านอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน และตรวจสินค้าในคลัง ตอนเย็นเมื่อกลับไปที่บ้านก็จะไปช่วยผู้าุโติงทำงานที่ต้องใช้แรง เช่น สับฟืน เป็ต้น ทำให้ผู้าุโติงชมเขาไม่ขาดปาก
ติงเหว่ยลองทดสอบเขาอยู่สองครั้ง และยังดูสมุดบัญชีที่ทำโดยต้าโหยวเฉิงอย่างระมัดระวัง และนางก็พอใจกับเขามาก ต่อให้จะขาดกำลังไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะรักษาความสำเร็จไว้ได้
……
ในคืนนี้งานเย็บปักถักร้อยทั้งหมดก็เสร็จสิ้น ติงเหว่ยพาอวิ๋นอิ่งและเฉิงเหนียงจื่อจัดเสื้อผ้าตามประเภทการใช้งานอย่างมีความสุข จากนั้นก็ห่อแยกกันเอาไว้
ติงเหว่ยยืดตัวขึ้นบิดี้เีและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในที่สุดก็ทำเสร็จแล้ว ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของพวกเ้า”
อวิ๋นอิ่งไม่ได้พูดอะไรนางยิ้มและส่ายศีรษะไปมา เฉิงเหนียงจื่อยิ่งยกย่องติงเหว่ยขึ้นไปอีก นางโบกมือซ้ำแล้วซ้ำอีก “นายหญิงกล่าวเกินไปแล้ว”
ติงเหว่ยหันกลับไปที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วหยิบกล่องแต่งหน้าลายแกะสลักออกมา ชั้นล่างสุดของกล่องมีที่กลัดผมที่ประณีตและสีสวยงามเป็อย่างมากอยู่สองสามชิ้น ไม่รู้ว่า่นี้ท่านลุงอวิ๋นไปที่ใด เมื่อวานตอนที่เขากลับมาเห็นติงเหว่ยกำลังอุ้มอันเกอเอ๋อร์อยู่ในห้องโถงก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบ จากนั้นก็ให้ที่กลัดผมเหล่านี้แก่นางมา
ติงเหว่ยเป็เหมือนกบที่เคยชินกับการถูกต้มในน้ำอุ่น หลังจากผ่านความประหลาดใจและความสงสัยในตอนแรก ยามนี้นางก็คุ้นเคยกับความมีน้ำใจเป็พิเศษของผู้าุโแล้ว อย่างไรในสามปีนี้นางก็ถูกขายให้แก่สกุลอวิ๋นแล้วดังนั้นนางแค่ต้องทำอย่างดีที่สุดเพื่อให้คู่ควรกับน้ำใจของผู้าุโก็พอแล้ว
“มานี่สิ อวิ๋นอิ่ง ที่กลัดผมลายเหมยฮวาอันนี้ข้ามอบให้เ้า” ติงเหว่ยควานหาอยู่สักพักก็หยิบที่กลัดผมลายดอกเหมยห้าแฉก แล้วกลัดไปที่ผมด้านหลังของอวิ๋นอิ่ง ติงเหว่ยมองไปทั้งด้านซ้ายและด้านขวาจากนั้นก็เอ่ยชมออกมา “ค่อยดูเป็หญิงสาวขึ้นมาหน่อย เ้าก็อย่าทำหน้าตาเ็าทั้งวัน เดี๋ยวคนหนุ่มสาวเขาจะพากันใกลัววิ่งหนีไปหมด”
อวิ๋นอิ่งได้ฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่นและขบขัน เมื่อพูดถึงเื่นี้ขึ้นมานางมีอายุมากกว่าติงเหว่ยหนึ่งปีเสียด้วยซ้ำ นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้รับการปฏิบัติเหมือนน้องสาวไปเสียแล้ว
“ที่กลัดผมนี้ท่านพ่อบุญธรรมวานให้คนในเมืองซีจิงส่งมาที่นี่ ท่านควรจะเก็บไว้ให้ภรรยาของอันเกอเอ๋อร์หรือไม่ก็คุณยายอันเกอเอ๋อร์ หรือท่านป้าสะใภ้ทั้งสองคนดีกว่า”
ยามนี้ติงเหว่ยถึงได้รู้ว่าที่กลัดผมเหล่านี้ถูกส่งมาจากแดนไกล แต่นางก็ยังคงห้ามอวิ๋นอิ่งไว้และพูดตำหนิว่า “ท่านลุงอวิ๋นให้ที่กลัดผมข้ามาหลายอัน เ้าเองก็เหนื่อยและทรมานกับข้ามาทั้งวัน แบ่งให้เ้าสักหนึ่งอันก็เป็เื่ที่สมควรอยู่แล้ว ใส่เอาไว้อย่าทำให้ข้าต้องโกรธเลย”
หลังจากพูดจบ นางก็หยิบที่กลัดผมดอกหอมหมื่นลี้ออกมาอีกอัน แล้วมอบให้เฉิงเหนียงจื่อ “นี่คือของพี่เฉิง ข้าเห็นว่าครอบครัวของพี่ทำงานหนักมาโดยตลอด พรุ่งนี้ไปบอกให้เถ้าแก่เฉิงเลือกผ้าดีๆ มาสักสองสามชิ้น ครอบครัวของพี่จะได้มีเสื้อผ้าใหม่ใส่กัน นอกจากนี้ ให้เถ้าแก่เฉิงรับเงินเดือนั้แ่เดือนนี้ไป เดือนละสองตำลึง”
“เอ่อ ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณแม่นาง”
เฉิงเหนียงจื่อได้ที่กลัดผมยังไม่เท่าไร แต่เมื่อนางได้ยินว่าสามีของนางเริ่มได้รับเงินเดือนแล้ว ต่อให้จะโง่เขลาสักแค่ไหนแต่ก็ต้องเข้าใจได้ว่านายหญิงยอมรับครอบครัวของพวกเขาแล้ว นางดีใจมากจนคุกเข่าลงและเริ่มคำนับ
-----------------------------------------
[1] จินโต้วจื่อ 金豆子 หมายถึง เมล็ดถั่วทองคำ ใช้อุปมาถึงหยดน้ำตา