ติงเชาเป็ชายพิการอายุสี่สิบแล้ว แม้ตัวเองจะพิการแต่จิตใจดีมีเมตตา หลายปีก่อนที่หมู่บ้านแห่งนี้ประสบภัยา หลายครอบครัวพลัดพราก เด็กเป็กำพร้า บางคนที่พอจะมีเงินมีฐานะก็อพยพย้ายถิ่นฐานหนีภัยา แต่ติงเชาผู้ไร้ญาติขาดมิตรไม่ใส่ใจความเป็ความตายของตนเอง เก็บเด็ก ๆ ที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้มา เด็ก ๆ เหล่านี้ยังเด็กเล็กมาก จำชื่อตัวเองไม่ได้ ติงเชาจึงตั้งชื่อให้ใหม่ รวมทั้งนางด้วย ตอนนั้นนางอายุเพียงสิบขวบ เหมยลี่ยังเป็เด็กน้อยที่ร้องไห้จ้าในอ้อมอกมารดาที่สิ้นใจไปแล้ว ติงเชาช่วยเด็ก ๆ เท่าที่พอทำได้ ทำให้ทั้งหมดรอดพ้นความตายในภัยาเมื่อหกปีก่อนได้ แม้จะรูปร่างผ่ายผอมเนื่องจากกินไม่อิ่ม แต่กระนั้นทุกคนก็รักใคร่กลมเกลียว
ผ่านภัยามาหลายปีทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ติงเชาแม้เป็ชายพิการ ขาซ้ายมีรอยแผลเป็ขนาดใหญ่น่ากลัว เวลาเดินจะต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวเอง แต่เมื่อต้องขึ้นเขาหาของป่ามาค้าขาย หรือป้อนใส่ปากเด็ก ๆ ก็ยังคล่องแคล่ว เหมยซิงซึ่งนับได้ว่าเป็พี่ใหญ่พอจะทำงานได้แล้ว นางรับจ้างในโรงเตี๊ยมไม่ไกลบ้าน หรือคือกระท่อมผุพังนี้ ใครใช้อะไรนางก็ทำทุกอย่างขอเพียงได้เงินมาจุนเจือครอบครัว จนกระทั้งเมื่อครึ่งปีก่อน นางไปสมัครเป็สาวใช้บ้านตระกูลหวัง แรก ๆ เหมือนจะเป็ไปด้วยดี น้อง ๆ ของนางยังคิดว่าถ้าพวกเขาเติบโตอีกหน่อยจะไปทำงานที่เดียวกับเหมยซิง แต่ติงเชาคัดค้าน แม้พ่อบุญธรรมไม่เห็นด้วยแต่เหมยซิงก็แอบไปเพราะ้าเงินมาจุนเจือครอบครัว ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงเป็เช่นไรไม่อาจรู้ได้ แต่คนในบ้านตระกูลหวังประกาศเพียงแค่ว่าเหมยซิงขโมยของสำคัญในจวน เมื่อถูกจับได้ก็ถูกพ่อบ้านลงโทษ โบยนางจนตาย นางกลายเป็เพียงศพไร้ญาติ บ่าวรับใช้เอาร่างของนางมาทิ้งที่ป่าช้า ติงเชาได้ยินข่าวจึงรีบไปที่ป่าช้า ร้องไห้ราวคนเสียสติ พบร่างที่ถูกโบยตีบอบช้ำ เดิมทีคิดว่าถ้านางตายก็จะไม่ให้นางตายเช่นศพไร้ญาติเช่นนี้ แต่ร่างนางกลับกระตุกลืมตาขึ้นมา ติงเชาแบกลูกสาวบุญธรรมออกจากป่าช้า แม้ไม่มีเงินจะเชิญหมอมาดูอาการแต่ก็พยายามป้อนน้ำ ให้เหมยลี่ที่เป็เด็กหญิงตัวน้อยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้พี่สาว เด็กชายทั้งสามแม้รู้ว่าเหมยซิงถูกพามาจากป่าช้าแต่ก็ไม่กลัว เขาช่วยดูแลอย่างดียิ่ง จนนางลืมตาฟื้นจริง ๆ
“พี่สาว พี่สาวจำพวกเราไม่ได้เหรอ”
เสียงเด็กทั้งสามถามพลางกลั้นน้ำตา พันดาวที่คราวแรกยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่เหมยซิงจึงได้แต่ลอบถอนหายใจ สงสารเด็กน้อยใจแทบขาด นางจึงยอมรับสภาพว่าตัวเองคือ เหมยซิง
เพราะคลุกคลีอยู่ในแวดวงบันเทิง พล็อตละครแนวย้อนยุคทะลุมิติไม่มีอะไรแปลกใหม่ ใครจะคาดคิดว่าวันหนึ่งนางโชคดีะโลงมาเล่นเป็นางเอกเต็มตัว แต่ชีวิตในโลกนี้ก็คล้ายคลึงกับชีวิตของพันดาวไม่น้อย อายุสิบขวบมารดาก็หอบหิ้วมาให้ ‘ลุงทองดี’ ช่วยเลี้ยง ครานั้นให้เหตุผลว่าบิดาของนางทอดทิ้ง มารดาต้องทำงานไม่สะดวกที่จะเลี้ยงลูกไปด้วยทำงานไปด้วยได้ ลุงทองดีเป็พี่ชายแท้ ๆ ของมารดา ภรรยาตายด้วยโรคมะเร็งไปเมื่อห้าปีก่อน และไม่มีลูกด้วยกัน เพราะเห็นเป็หลานจึงรับฝากเลี้ยง ครึ่งปีแรกมารดาส่งเงินมาให้สม่ำเสมอเดือนละสามถึงสี่พันบาท แต่พอเริ่มเข้าเดือนที่เจ็ดก็เงียบหาย ร่างกายลุงทองดีก็ไม่ค่อยแข็งแรงนัก อดีตเคยเป็ทหารเก่า อาศัยเอาดีด้านต่อยมวย เป็ตัวแทนของสมาคมอยู่หลายปี แต่เพราะสมัยก่อนการต่อยมวยไม่ได้รัดกุมเช่นทุกวันนี้ สมองได้รับการกระทบกระเทือน ส่งผลให้ร่างกายเดินเหินไม่ปกติ สุดท้ายก็ลาออกจากทหาร ประจวบกับมีคนรู้จักมาเชิญลุงทองดีเป็ครูฝึกสอนการต่อสู้ที่โรงเรียนฝึกสอนสตั๊นต์
มีแม่ก็เหมือนไม่มี ได้ยินว่าที่แม่ทิ้งเธอไปเพราะติดพันผู้ชายคนใหม่ พันดาวเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของลุงทองดี จนเรียก ‘พ่อทองดี’ ด้วยความที่พ่อทองดีเป็ห่วงพันดาวที่เป็ผู้หญิง จึงสอนศิลปะการป้องกันตัว และเพราะพ่อทองดีอีกนั้นแหละที่หอบหิ้วไปโรงเรียนฝึกสอนสตั๊นต์แมนทำให้เธอได้เรียนรู้ที่นี่ไปด้วย ด้วยความอยากแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว นางจึงรับงานตัวประกอบั้แ่อายุสิบหก เดินผ่านกล้องบ้าง งานในรายการเกมโชว์บ้าง เมื่อเห็นว่ามีช่องทางหารายได้ นางจึงตัดสินใจฝึกฝนจริงจังรับงานเป็สตั๊นต์เกิร์ล เรียนจบมัธยมก็เรียนต่อสถาบันวิทยาลัยพละศึกษา พันดาวไม่ได้อยากเป็คนเด่นดัง ไม่ได้อยากเป็นางเอกหรือหลงใหลในแวดวงมายา แต่เธอ้าใช้เงินเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยเรื้อรังของลุงทองดี
การอยู่ในโลกนี้ทำให้พันดาวต้องปรับตัวเป็เหมยซิง นางไม่รู้ว่าที่ที่อยู่นี่เรียกว่าอะไร ยุคไหน แต่ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกาย และชื่อเรียกขาน ทำให้นางคิดถึงหนังจีนกำลังภายใน แรก ๆ นางคิดไปว่าตัวเองหลุดมาในโลกนิยายที่ตัวเองแสดงอยู่ แต่รายละเอียดชื่อเมืองต่าง ๆ นั้น ไม่ตรงกัน ประวัติศาตร์จีนโบราณอะไรนั่น นางยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่
แม้คิดหาวิธีกลับไปโลกเดิม แต่ในเมื่อยังเป็ ‘เหมยซิง’ ในโลกนี้ นางจำเป็ต้องดูแลเด็ก ๆ ทั้งสี่และพ่อบุญธรรม พวกเด็ก ๆ เองเห็นนางตื่นฟื้นจากความตาย แม้จำอะไรไม่ได้แต่ก็ไม่ซักถาม อะไรที่นางไม่รู้ทุกคนก็ช่วยสอน อาจเพราะความยากจน และผ่านามาทำให้พวกเขาเติบโตเกินวัยไปแล้ว เด็กผู้ชายพานางเดินขึ้นเขา สอนให้นางเก็บฟืน และผักป่า ระยะนี้พ่อบุญธรรมร่างกายไม่แข็งแรงจึงไม่ได้ขึ้นเขาล่าสัตว์ป่ามาเป็อาหาร หลังจากผ่านาไปเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาที่ละน้อย
ร่างกายของเหมยซิงผ่ายผอมจนน่าร้องไห้ พันดาวโอดครวญในอก บังเอิญเห็นคันธนูเก่า ๆ แล้วอยากลองล่าสัตว์ด้วยตนเอง นางเคยฝึกการใช้ธนูมาก่อน การยิงธนูทำได้ค่อนข้างดี แต่ร่างกายของเด็กสาวผอมแห้งผู้นี้แทบไม่มีแรงง้าวสายธนู รวมถึงการยืดหยุ่นตัวด้วย นางเคยตีลังกาม้วนตัวได้สบาย ๆ แต่พอมาอยู่ในร่างเหมยซิงแสนน่าสงสารกลับทำอะไรไม่ได้ตามใจคิด เอาเถิด ระหว่างที่นางคิดวิธีกลับไปโลกเดิมก็ต้องหาวิธีใช้ชีวิตในร่างนี้ นางตื่นเช้า หุงหาอาหารทำกับข้าวอย่างง่าย ๆ ระหว่างนี้ก็อาศัย่ที่เด็ก ๆ ยังไม่ตื่นยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังกายฝึกซ้อมให้ร่างกายเข้าที่เข้าทาง เพียงครึ่งเดือนนางปรับตัวเข้ากับสถานที่แห่งนี้ได้ นางหาไม้ไผ่ขนาดพอดีมือเอาไว้เป็ไม้พลองฝึกซ้อมป้องกันตัวเอง เมื่อครั้งที่ยังเป็ ‘พันดาว’ นางชอบใช้ไม้พลองมากที่สุด เคยเป็นักกีฬาระดับเหรียญทองแดงมาแล้ว แม้เด็ก ๆ ดูแปลกใจที่จู่ ๆ เหมยซิงผู้อ่อนแอลุกขึ้นมาจับไม้ไผ่แกว่งไปมา แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ช่างเป็น้องที่เชื่อฟังพี่เสียจริง ทำให้พันดาวหรือเหมยซิงรักเด็ก ๆ เหล่านี้มากยิ่งขึ้น