ในขณะเดียวกันนั้น เยวี่ยเจาหรานและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ต่างหนีออกมาจากถ้ำเสือได้ พลันมุ่งหน้าวิ่งไปยังเรือนเล็กของตนทันที ในยามนี้มีเพียงที่เรือนเล็กเท่านั้นที่เรียกว่าเป็แดนสุขาวดีเพียงหนึ่งเดียวของทั้งสองได้
เมื่อเยวี่ยเจาหรานผลักประตูเปิดออก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังประคองถ้วยน้ำยกดื่มอีกอึกใหญ่ก่อนจะชะงักแล้วหันไปมอง ทั้งสองจ้องตากันอย่างตะลึงงันอยู่นาน จากนั้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็กรอกชาลงคอไปจนหมด
“มัวยืนอึ้งอะไรอยู่ รีบเข้ามานั่งสิ!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ววางถ้วยในมือลง ยกมือจับแขนเสื้อมาเช็ดคราบน้ำบนปากพลางพาตัวเองไปนั่งลง แล้วโบกมือไปทางเยวี่ยเจาหรานอีกครั้ง
เยวี่ยเจาหรานวิ่งมาตลอดทางจนใบหน้าบิดเบี้ยว ราวกับเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ จอนเบี้ยวไปครึ่งหนึ่ง ปิ่นปักผมก็เกือบจะร่วงอยู่รอมร่อ เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงค่อยได้สติกลับมาจากความตื่นตระหนก เขาถอนหายใจยาว แล้วนั่งลงข้างกายเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว
“ทางเ้าเกิดอะไรขึ้นหรือลูกพี่?”
ั้แ่เยวี่ยเจาหราน ‘แต่งเป็ภรรยา’ ให้กับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจนถึงตอนนี้ สามารถพูดได้เลยว่าคราวนี้เป็ปัญหาใหญ่ที่สุดอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ ปัญหานี้ไม่เพียงเป็การปิดฟ้าข้ามทะเล [1] ดั่งครั้งก่อน แต่เป็ตัวผู้าุโคนหนึ่ง ที่เกี่ยวพันระหว่างเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหราน ซึ่งไม่อาจหลีกหนีได้ง่ายๆ
ด้วยเหตุนี้ใบหน้าของทั้งสองจึงมีแต่ความอึมครึม และรอยยิ้มปลอมๆ ที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
เยวี่ยเจาหรานสงบสติอารมณ์แล้วรินชาให้ตัวเองบ้าง ทว่าเอาแต่ถือไว้ไม่ยอมยกดื่มเสียที ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถอนหายใจอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้น “จุดประสงค์ของเปี่ยวเม่ยอะไรนั่นของเ้า เ้าเองก็น่าจะมองออกใช่หรือไม่?” แม้นี่จะเป็คำถาม แต่ชัดเจนว่าเยวี่ยเจาหรานนั้นไม่ได้รอคำตอบ เขาเอ่ยต่อไปอย่างไม่ได้สนใจอีกฝ่าย “แม่ของเ้าบอกว่า เ้าทั้งสองเป็ดั่งเหมยเขียวม้าไผ่มีใจกันมาั้แ่เด็ก รู้นอกรู้ใน มีนางอยู่ข้างกายเ้า นางก็วางใจได้!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้ยินดังนั้นก็เกือบจะสำลักน้ำชาออกมาเต็มโต๊ะ สวี่ชิวเยวี่ยผู้นี้เป็ลูกพี่ลูกน้องแบบไหนตนเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด นับประสาอะไรกับเหมยเขียวม้าไผ่ รู้นอกรู้ในอะไรนั่นกันล่ะ! เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็อดไม่ได้ที่จะรำพึงถึงความสามารถในการกุเื่ของมารดาตน และความเ้าชู้ของเยี่ยนอวิ๋นเฟยที่ทิ้งะเิเอาไว้แล้วหนีไป...
ถึงอย่างไรสวี่ชิวเยวี่ยก็คือปัญหาในอดีตที่เยี่ยนอวิ๋นเฟยทิ้งเอาไว้ แล้วมาเกี่ยวอะไรกับนางเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกัน?!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหแบมือออกแล้วพลิกข้อมือโยนถ้วยชาในมือทิ้งไป เครื่องเคลือบศิลาดล [2] ตกลงบนกรอบประตูไม้อย่างพอดิบพอดี เสียงดังก้องกังวานไปทั่วบ้าน
แววตาของเยวี่ยเจาหรานสั่นไหวเล็กน้อย มองถ้วยที่น่าสงสารอย่างขลาดๆ เมื่อเห็นว่ามันยังไม่แตก จึงยกมือขึ้นลูบอก ปลอบประโลมสิ่งที่อยู่ข้างใน “เอาเถอะ เ้าเอาความโกรธไปลงกับถ้วยทำไม? ถ้าโยนถ้วยไม่กี่ใบแล้วสามารถแก้ปัญหาเื่นี้ได้ ข้าก็จะโยนด้วยกันกับเ้า โยนให้เละเทะกองสุมเป็ูเากันไปเลย!”
ต้องบอกว่าบุรุษก็คือบุรุษ เมื่อเกิดเื่ขึ้นมักจะค่อนข้างใจเย็นกว่าสตรี เมื่อกลับไปมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แม้ยามปกตินางจะทำท่าไม่ต่างจากบุรุษ แต่เมื่อประสบกับเื่ที่ตนไม่ชำนาญเหล่านี้ ย่อมไม่อาจแก้ไขได้ด้วยการเตะต่อยไม่กี่ครั้ง
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยกมือขึ้นเท้าคาง สองตากะพริบมองเยวี่ยเจาหรานปริบๆ พลันเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ในพริบตาต่อมาก็มลายหายไปหมดสิ้น เหตุผลนั้นก็เพราะเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนึกถึงเื่ซุบซิบที่แพร่กระจายในเมืองหลวงเมื่อก่อนนี้ขึ้นมากะทันหัน ที่ว่ากันว่าเยวี่ยเจาหรานนั้นผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วนจนถูกขนานนามว่า ‘าาxแห่งเมืองหลวง’ น่ะ!
เมื่อคิดเช่นนั้น เื่ที่เยวี่ยเจาหรานจัดการความยุ่งยากระหว่างชายหญิงได้ดีนั้นก็เข้าใจได้ไม่ยากนี่นา? เช่นนั้นจะเคารพนับถือไปทำไม เปลืองแรง! จะว่าไปแล้ว ประสบการณ์ที่เ้าหมอนี่เชี่ยวชาญในตอนนี้ ก็เป็ผลจากการข่มเหงรังแกหญิงสาวไปไม่รู้เท่าไรนี่!
หว่างคิ้วเดี๋ยวย่นเดี๋ยวคลาย เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับลำอย่างรวดเร็ว นางแอบด่าทอเยวี่ยเจาหราน สาปแช่งให้เขาเป็กามโรคอยู่ในใจ
“ฟังความคิดเห็นของแม่เ้าแล้ว เื่ที่สวี่ชิวเยวี่ยจะเข้ามาในบ้านนั้นเป็ความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง แต่ที่ข้ากำลังคิดก็คือ แม่ของเ้าได้บอกตัวตนที่แท้จริงของเ้ากับสวี่ชิวเยวี่ยหรือไม่?”
เยวี่ยเจาหรานไม่รู้เลยว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่อยู่ตรงข้ามยามนี้กำลังด่าทอตนอยู่ในใจอย่างไร จึงช่วยคิดหาวิธีแก้ปัญหาของเื่นี้ให้กับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างจริงจัง ท่าทางน่าชื่นชม ทำเอาอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่หมกมุ่นอยู่กับการก่นด่าสารพัดพลันได้สติกลับมา ครู่หนึ่งนางยังไม่รู้ว่างเยวี่ยเจาหรานเอ่ยอะไรออกมาบ้าง ก่อนเอ่ยถามอย่างเซ่อซ่า “อะไรนะ?” เยวี่ยเจาหรานกลอกตารอบหนึ่ง ทำได้แค่เอ่ยซ้ำอีกรอบหนึ่ง ก่อนจะได้รับคำตอบที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับมา “เื่นั้น ข้าเองก็ไม่แน่ใจ...”
ว่ากันว่าไม่มีใครจะเข้าใจลูกดีไปกว่าแม่ คำพูดนั้นควรให้ผลในทางกลับกันด้วยไม่ใช่หรือ เหตุใดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วผู้นี้ถึงไม่แน่ใจเล่า? เยวี่ยเจาหรานคร้านจะพูดให้มากความ แต่กลับอดสงสัยในใจไม่ได้ว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วใช่ลูกแท้ๆ หรือไม่
อาจเพราะเห็นท่าทีของเยวี่ยเจาหราน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่รู้สึกว่าตัวเองขายหน้าเกินไปแล้วก็อุทานออกมา ก่อนจะรีบร้อนเอ่ยเสริมท้ายเข้าไปอีกครั้ง “ตามที่ข้ารู้จักนาง แปดในสิบส่วน น่าจะไม่ได้บอก”
เยวี่ยเจาหรานที่ได้รับข้อมูลที่พอจะเป็ประโยชน์มาอย่างยากลำบาก ย่อมไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ เขารีบแสร้งทำท่าทางสนอกสนใจอย่างมาก แล้วเอ่ยต่อ “คำพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร?”
ในที่สุดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็เริ่มมีรู้สึกตัวขึ้นมา พลันนั่งตัวตรง รู้สึกว่าตนเองสูงส่งองอาจไม่น้อย นางวางมาดเอาจริงเอาจังอย่างไม่ได้เห็นบ่อยนัก “เ้าดูสิ เื่ที่ข้าไม่ใช่พี่ชาย เกี่ยวพันถึงชีวิตของคนในตระกูลเรา เช่นนั้นสวี่ชิวเยวี่ยถึงจะเป็ลูกพี่ลูกน้องของข้า แต่อย่างไรก็ไม่อาจนับว่าเป็คนในบ้านใช่หรือไม่?”
“ฉะนั้น ท่านแม่คงไม่บุ่มบ่ามเสี่ยงอันตรายบอกความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลในตอนนี้กับคนนอกคนหนึ่งหรอกน่า!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอ่ยอย่างตั้งใจ แล้วตบลงที่โต๊ะอย่างแรง รู้สึกว่าตนนั้นช่างปราดเปรื่องเสียนี่กระไร แม้แต่เื่นี้ก็มองออกได้!
เยวี่ยเจาหรานเองก็พยักหน้าตาม แล้วเอ่ยเสริม “ก็มีเหตุผลนะ”
“ยังมี ยังมีอีก...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรีบเอ่ยแทรกเยวี่ยเจาหราน ด้วยกลัวว่าตนจะเสียโอกาสในการพูดไป “ข้าคะเนว่าที่ท่านแม่พานางมา ก็เพื่อที่จะสั่งสอนบทเรียนอันร้ายกาจให้เ้า...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วปราดมองแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะทำท่าทางกระแนะกระแหน “หากไม่ใช่เพราะเ้าไม่เคารพให้เกียรติท่านแม่ขนาดนั้น แล้วนางจะพาเปี่ยวเม่ยจากแดนไกลมาหรือ? ตามความเห็นข้า เื่นี้ต้องโทษเ้า!”
“โทษข้า?!” เยวี่ยเจาหรานหัวแทบะเิ โมโหจนวางถ้วยในมือลงทันที ถ้วยชาที่น่าสงสารเอียงกระเท่เร่ น้ำชาหกเต็มโต๊ะ “อ๊ะ! เื่วันนี้ก็นับว่าเป็ความผิดของเ้า เ้าเองก็ต้องมารับผิดชอบด้วยกันกับข้า!”
เวลาเพียงพริบตา จากานอกที่รวมใจเป็หนึ่ง ก็กลายมาเป็าภายในระหว่างสามีภรรยาไปแล้ว เ้ามาข้าตาม เถียงกันจนน้ำลายกระเซ็นว่อน ไม่มีใครยอมถอยให้ใครก่อน
“พอแล้วๆ ! พักรบ! พักรบก่อน!”
ทะเลาะกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเยวี่ยเจาหรานก็ยอมแพ้ก่อน… คิดว่าเขาด่าไม่ชนะเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วงั้นหรือ? ผิดแล้ว! เขากลัวว่าหากตนด่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมากเข้าแล้วจะโดนนางต่อยสวนต่างหากล่ะ!
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเก็บกำปั้นที่ชูขึ้นกลับมา ส่งเสียงเฮอะอย่างเ็า ในที่สุดาภายในครั้งนี้ก็ยุติ
เชิงอรรถ
[1] ปิดฟ้าข้ามทะเล (瞒天过海) หมายถึง สิ่งที่ตนคิดว่าได้ตระเตรียมไว้อย่างพร้อมมูลแล้ว ก็มักจะมึนชาและประมาทศัตรูได้ง่าย
[2] เครื่องเคลือบศิลาดล (青瓷) เป็เครื่องปั้นดินเผาที่สร้างขึ้นโดยการพยายามเลียนแบบหยก เครื่องเคลือบศิลาดล มีลักษณะเป็เคลือบใสสีเขียวหยกมองทะลุเนื้อดินได้