งานฉลองของราชวงศ์ที่ราวกับละครตลกนี้ ในที่สุดก็วาดตอนจบได้อย่างสมบูรณ์สวยงาม ตลอดทางที่รถม้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานแล่นกลับจวนเยี่ยน ก็ได้ยินเสียงของผู้คนมากมายสรรเสริญชมเชยและถอนหายใจต่อพวกเขาสามีภรรยา
โอ๊ะ ไม่ใช่สิ พูดให้ถูกคือยกย่องสรรเสริญและถอนหายใจให้กับผู้ที่เป็พ่อสื่อของพวกเขาสามีภรรยา องค์ฮ่องเต้ต่างหาก
“ได้ยินหรือยัง ในที่สุดความสัมพันธ์ของคุณหนูตระกูลเยวี่ยกับคุณชายตระกูลเยี่ยนก็ดีขึ้นมาแล้ว!”
“ไม่ใช่หรอก หากไม่ได้ความปราดเปรื่องของฝ่าาเรา”
“ใช่ๆ ขอบคุณที่ฝ่าาทรงยืนหยัดไม่ล้มเลิกที่จะให้พวกเขาสองคนแต่งงานกัน จนยามนี้สมัครสมานกลมเกลียว แม้แต่ความขัดแย้งระหว่างใต้เท้าเยี่ยนเยวี่ยทั้งสองต่างก็คลี่คลายไปไม่น้อย ช่างเป็พรของชาติบ้านเมืองโดยแท้!”
เยวี่ยเจาหรานปล่อยมือที่เลิกผ้าม่านหน้าต่างเล็กของรถม้าลงอย่างกระดากใจ เขามุ่ยปากบ่นอุบ “แต่ละคนต่างก็ชื่นชมฮ่องเต้ เหตุใดไม่มีใครสงสารขาเรียวยาวที่พิการไปแล้วของข้าเลย?”
“ฮ่าๆๆ ...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหัวเราะลั่นไม่หยุด นางเอ่ยด้วยเสียงขาดๆ หายๆ “สมน้ำหน้าเ้าสิ ใครใช้ให้เ้าเป็ชายมาปลอมเป็หญิงหรือล่ะ ขาพิการก็สมควรแล้ว!”
จู่ๆ ก็หาเื่กันหรือ? เยวี่ยเจาหรานเผยสีหน้าอับอาย ภายในรู้สึกกังวล ตัวเขาก็น่าจะรู้ตั้งนานแล้วนี่ ว่าแต่ไหนแต่ไรเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วผู้นี้เป็อันธพาลหญิงที่เกินเยียวยา!
ตลอดการเดินทาง ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง เมื่อมาถึงจวนเยี่ยนทั้งสองก็ลงจากรถ มองไปยังแผ่นป้ายขนาดใหญ่บนบานประตู เยวี่ยเจาหรานถอนหายใจยาวและบ่นในใจครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าละครน่าขันราวกับเฟิ่งหวง [1] ที่กลับหัวกลับหางนี้ยังต้องดำเนินต่อไปอีกนานแค่ไหน พรหมลิขิตของชายหญิงที่ทิ้งความยุ่งเหยิงอลหม่านเอาไว้ ท้ายที่สุดแล้วเมื่อไรจึงจะสามารถเป็อิสระ ไปทางใครทางมันได้เสียที?!
ในเมื่อเื่งานฉลองของราชวงศ์เสร็จสิ้นลงด้วยดีแล้ว ก็ควรถึงวาระชดเชยการกลับไปคารวะบ้านฝ่ายหญิงของเยวี่ยเจาหรานแล้ว เพื่อเื่นี้ ฮูหยินเยี่ยนจึงได้เรียกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไปอีกหลายรอบ อธิบายถึงความสำคัญของการปกปิดตัวตนของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากนั้นก็ยังย้ำเตือนเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอีกหลายครั้ง ‘พี่ชายของเ้าช้าเร็วย่อมต้องกลับมา เ้าต้องรักษาสะใภ้เอาไว้ให้เขาดีๆ ห้าม… ไว้เองเป็อันเด็ดขาด’
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทนกับอาการคลื่นไส้ แล้วบอกกับตัวเองไม่หยุด ‘ห้ามนึกภาพอีกนะ หากนึกขึ้นมาอีกจะอ้วกแล้ว…’
อีกด้านหนึ่ง ก็โบกมืออำลามารดาผู้มีจินตนาการล้นเหลือของตนไม่หยุด “ไม่เป็เช่นนั้นแน่นอน ท่านวางใจได้ วางใจได้เต็มที่เลย!”
ฮูหยินเยี่ยนที่อยู่ในความยุ่งเหยิงท่ามกลางสายลมมองแผ่นหลังที่ห่างออกไปของลูกสาวตนเอง แล้วะโเสียงดัง “กลับบ้านฝ่ายหญิงพรุ่งนี้ เ้าต้องรักษามารยาทให้ดี พ่อเ้ากลัวถูกสกุลเยวี่ยดูิ่ที่สุด เข้าใจหรือไม่!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่วิ่งอุตลุดกลับห้องของตน พุ่งชนเข้าไปในอ้อมอกของเยวี่ยเจาหราน จนลูกผิงกั่ว [2] สองลูกที่หน้าอกของเยวี่ยเจาหรานส่ายไปมาไม่หยุด เยวี่ยเจาหรานถอยไปข้างหลังสามก้าวอย่างตื่นใ แล้วยกมือขึ้นปกป้องหน้าอกของตน เอ่ยอย่างระวังตัว “เ้าเ้าเ้า เ้าคนผีทะเล!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถือโอกาสทำท่าอ้วกไปด้วย ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะสามารถพูดได้อย่างราบรื่น นางต่อว่า “เยวี่ยเจาหรานเ้าคนไม่ได้เื่ พูดบ้าอะไรของเ้า!?”
เยวี่ยเจาหรานปล่อยมือที่ป้องอกลงอย่างเก้อเขิน ยิ้มพลางเอ่ยอย่างเขินอาย “ขอโทษด้วย ข้าเข้าถึงบทบาทมากเกินไปหน่อย”
แหวะ——! สุดท้ายเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ทนไม่ไหว คราวนี้นางอ้วกออกมาจริงๆ
……
เช้าตรู่วันถัดมา บนท้องฟ้ายังไม่ฉายแสงอรุณแรก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ในห้วงนิทราก็ถูกหลิงหลงปลุก ยัยสาวใช้คนนั้นไม่รู้ไปหาขบวนฆ้องฉาบกลองระบำยางเกอ [3] พื้นเมืองมาจากไหน ทำเสียงโหวกเหวกจนพวกเขาจำต้องตื่นขึ้นมา ทั้งสองคนนั่งจ้องตากันอยู่บนเตียง พร้อมเสียงฆ้องฉาบกลองจากข้างนอกที่ดังอื้ออึงอยู่ในหู
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กลัวว่าอึดใจถัดไปจะมีเสียงประทัดดึงขึ้น จึงรีบดึงเสื้อคลุมตัวหนึ่งมาห่อตัวลวกๆ แล้วถลาไปที่ประตูพลางยกมืออุดหู ก่อนจะคำรามเสียงดัง “แม่นางหลิงหลง ตื่นแล้วๆๆ ข้าตื่นแล้ว เยวี่ย… เยียนหรานเองก็ตื่นแล้ว ไม่ต้องะโ ไม่ต้องร้อง ไม่ต้องเรียกแล้ว!”
ข้างนอกพลันเงียบลงทันใด เหลือเพียง ‘คำพูดดังปืนใหญ่’ ที่ติดกันเป็พรวนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว หลิงหลงหดคอใ เปลือกตากระตุก แล้วเอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็ธรรม “คุณชาย! ท่านเกือบทำคนอื่นเขาใตายแล้ว!”
เ้าเนี่ยนะใตาย?
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจงใจพยักหน้าให้เ้าตัว แล้วเอ่ยปลอบ “ขอโทษด้วยแม่นางน้อย ข้าทำเ้าใอย่างนั้นหรือ?” หลิงหลงกะพริบตาปริบๆ แล้วพยักหน้าอย่างแรง ทันใดนั้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับเพิ่มน้ำหนักเสียง เอ่ยอย่างไม่แยแส “ข้าต่างหากที่ถูกเ้าทำให้ใแทบตายจริงๆ ยังไม่รีบไปให้พ้นอีก!!!”
หลิงหลงนึกไม่ถึงว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะยังมีไม้นี้ คราวนี้นางใจนหนีกระเจิงไปจริงๆ นางและขบวนระบำยางเกอวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปพร้อมกันจนไม่เห็นแม้แต่เงา
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ไล่แม่นางน้อยหลิงหลงไปได้สำเร็จก็กลอกตาใส่เงาหลังของคณะปลุกที่อยู่ไกลออกไป แล้วจึงหมุนตัวกลับไปในห้อง นางยกมือขึ้นดึงผ้าห่มที่พันม้วนตัวเยวี่ยเจาหรานออก เอ่ยอย่างเฉยเมย “ลูกพี่ ตื่นได้แล้ว”
เยวี่ยเจาหรานคุ้นเคยกับการตื่นนอนมาแล้วแต่งหน้าให้สมบูรณ์พร้อม เข้าจึงจัดการตนเองจนกลายเป็หญิงสาวนางหนึ่งอย่างคล่องแคล่วว่องไว ในที่สุดทั้งสองก็ขึ้นนั่งบนรถม้ากลับบ้านฝ่ายหญิงในเช้าอันวุ่นวาย
ระหว่างทางที่โคลงเคลง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจับมือกันด้วยความกังวล นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง นางก็ยกมือขึ้นสะกิดไหล่ของเยวี่ยเจาหรานอย่างลังเล “ข้าว่านะ...เยวี่ยเจาหราน”
“มีอะไรหรือ?” เยวี่ยเจาหรานที่ตกอยู่ในภวังค์ได้สติเพราะความเจ็บที่หัวไหล่ เขาหันไปสบตากับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ดวงตาโตว่างเปล่านั้นเผยความสับสนที่เกือบจะถูกชีวิตกลืนหายไป...
“พ่อของเ้า… ก็คร่ำครึเหมือนเ้าใช่หรือไม่?”
ไม่รู้ว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคิดอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดจึงพูดพล่อยๆ เช่นนี้ต่อหน้าเยวี่ยเจาหรานผู้ที่ถูกประคบประหงมมาทั้งชีวิต? เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้มีความกังวลกับชีวิตครอบครัวของตน และไม่ได้เกรงกลัวอารมณ์ของ ‘ผู้หญิง’ คนหนึ่งเลย น่าจะให้ไปปาสู่ [4] ดูวิถีชีวิตผู้ชายกลัวเมียของทุกบ้านที่นั่นเสียบ้าง
เยวี่ยเจาหรานได้ยินคำถามเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งจนไม่ทันได้ตอบสนอง สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงงัน “เ้า...” เว้นไปครู่หนึ่งจึงเริ่มตอบโต้ มือข้างหนึ่งกำหมัดราวกับจะทุบตีอีกฝ่าย น้ำเสียงเองก็เริ่มวางมาดใหญ่โตขึ้นมา “จะพูดอะไรก็ช่วยคิดก่อนเสียบ้างได้หรือไม่?”
แม้ว่าท่าทางของเยวี่ยเจาหรานจะขึงขังมาก แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมีหรือจะกลัว?
ดังนั้น เมื่อเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจ้องไปยังเยวี่ยเจาหรานเหมือนไม่ได้ตั้งใจ เยวี่ยเจาหรานก็เก็บอารมณ์ไม่พอใจของตนกลับมาอย่างรู้ตัว แล้วบอกกับตัวเองในใจ ‘ถอยหลังหนึ่งก้าว ทะเลกว้างฟ้าใส!’ [5]
ว่ากันตามตรงแล้ว เยวี่ยเจาหรานช่างเป็คนกลัวเมียจริงๆ ...
“ข้าจะถามว่านิสัยของพ่อเ้าเป็อย่างไร”
“เห็นข้าแล้วยังดูไม่ออกหรือ? นิสัยดีกันทั้งตระกูลนั่นแหละ”
“หากเ้าไม่พูดว่าเหมือนพ่อของเ้า ข้าอาจพอจะเชื่อลงว่าพ่อเ้านิสัยดีอยู่หรอก...”
“นี่เ้าพูดบ้าอะไร?”
หลังจากบทสนทนานั้น ทั้งสองก็ได้ก่อาเย็นประชันกันอีกครั้ง อย่างไรเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็รับไม่ได้จริงๆ ที่ผู้ชายรู้ทั้งรู้ว่าสู้คนอื่นเขาไม่ไหวก็ยังเอาแต่ยั่วยุอยากจะลองดีอยู่เรื่อยแบบนี้ ยังกล้าบอกว่าตนนิสัยดี
แน่นอนว่าเยวี่ยเจาหรานเองก็รับไม่ได้เหมือนกัน ที่อันธพาลหญิงไม่สนฟ้าสนดินนั่นจะมากังวลว่าท่านพ่อของเขานิสัยแย่หรือไม่?
หากพูดกันตรงๆ ถึงจะแย่อย่างไรก็ไม่แย่เท่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหรอกกระมัง? และถึงบิดาของตนจะนิสัยเสียกว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ก็คงไม่นิสัยเสียไปกว่าบิดาของนางหรอก?
นี่เป็เื่น่าขำที่สุดที่เยวี่ยเจาหรานเคยได้ยินั้แ่ลงมาจากเขาเลยทีเดียว!
เชิงอรรถ
[1] เฟิ่งหวง (凤凰) หรือ “หงส์” เป็สัตว์ในเทพนิยายของชาวจีน เป็ที่รู้จักในโลกตะวันตกว่า ฟีนิกซ์ (Phoenix) คำว่าหงส์ในภาษาจีนเป็คำเรียกรวมของหงส์ทั้งสองเพศ เฟิ่ง (凤) หมายถึงหงส์ตัวผู้ หวง (凰) หมายถึงหงส์ตัวเมียแต่มักถูกเรียกรวมกันว่า "เฟิ่งหวง"
[2] ลูกผิงกั่ว (苹果) แอปเปิ้ล
[3] ระบำยางเกอ (秧歌) เป็ศิลปะการเต้นรำพื้นเมืองทางภาคเหนือ ที่เป็เอกลักษณ์ของจีนโดยแท้ ท่วงท่าไม่สลับซับซ้อน เต้นระบำตามจังหวะกลอง ฉาบ โหม่ง เป็จังหวะสนุกสนานรื่นเริง พบเห็นในงานเทศกาลเฉลิมฉลองทั่วไป
[4] ปาสู่/รัฐปาสู่ (巴蜀) เป็ชื่อเรียกรวมในอดีตของเมืองฉงชิ่งและมณฑลเสฉวน
[5] ถอยหลังหนึ่งก้าว ทะเลกว้างฟ้าใส อดทนชั่วอึดใจ พายุก็เงียบสงบ(退一步海阔天空,忍一时风平浪静) หมายถึง การประนีประนอมเป็วิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ง่ายที่สุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้