ไม่นานข่าวลือได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักด้วยความรวดเร็ว ที่ว่าเฉินหลานได้หาเื่ศิษย์ใหม่ที่เป็ถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา เเต่ท้ายที่สุดได้ถูกศิษย์ใหม่ผู้นั้นตอกกลับด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบจนทำให้อับอาย ยังดีที่กลุ่มของตงหยางและสหายทั้งสามที่ได้เข้ามาห้ามปรามตำหนิชายหนุ่มไปเช่นกัน
เดิมทีเฉินหลานก็ไม่ได้ชอบตงหยางมากเท่าไหร่ ด้วยเพราะบิดาและผู้าุโที่อยู่ในรอบตัวมักจะเปรียบเทียบเขากับตงหยางอยู่เสมอ ยิ่งถูกอีกฝ่ายกล่าวตำหนิต่อหน้าผู้คนมากมาย เขายิ่งรู้สึกโกรธและเสียหน้าเป็อย่างมาก อคติในใจได้โทษว่าเื่ราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็เพราะหนิงอ้ายคนเดียวที่ทำให้ต้องอับอายเช่นนี้ เขาต้องเอาคืนอีกฝ่ายอย่างแน่นอนในสักวัน
"เ้าเด็กสารเลวนั่นหาเื่ตายเสียแล้ว!!"
"ข้าจะจำเอาไว้แล้วในวันหนึ่งข้าจะทำให้เ้าเสียใจที่ทำให้ข้าต้องอับอายเช่นนี้!!!" เฉินหลานเอ่ยสบถอย่างหัวเสีย ครั้งนี้เป็เขาที่เสียหน้าเป็ที่อับอายไปไม่น้อย
เสียงการทำลายสิ่งของดังไปทั่ว แต่ด้วยเพราะเรือนพักแต่ละหลังของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้นั้นมีพื้นที่ส่วนตัวเป็อย่างมาก เสียงดังที่เกิดขึ้นนี้นับว่าไม่ได้แปลกประหลาด ด้วยเพราะศิษย์ในตำหนักนี้มักจะใช้พื้นที่ในอาณาเขตเรือนพักในการฝึกฝนเวทย์ต่าง ๆ และทักษะในเชิงยุทธ์ ดังนั้นเสียงที่เกิดขึ้นนี่นับว่าเป็เื่ปกติที่สามารถเกิดขึ้นนั่นเอง…
ทางฝั่งของหนิงอ้ายกับลู่ซี แน่อนว่ารายชื่อของศิษย์ที่โดดเด่นในสำนักศึกษาเขาย่อมรับรู้มาบ้างเเล้ว จากการที่หวังจิ่งหลงหรือท่านตาของพวกเขาทั้งสองคนได้เตรียมข้อมูลส่วนนี้รวมไปถึงเื่ราวในส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้ปรับตัวและสามารถอยู่ในสำนักอย่างมีความสุข ความปรารถนานี้นี้เด็กหนุ่มทั้งสองคนต่างซาบซึ้งเป็อย่างมากมาก เพราะการที่ท่านตาได้จัดสรรเตรียมทุกอย่างที่จำเป็เช่นนี้ ทำให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตและปรับตัวอยู่ในสำนักศึกษานี้ได้อย่างรวดเร็ว
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ตงหยางผู้เป็ศิษย์สายตรงของท่านเ้าสำนักเจียงเฉิงหรืออีกในฐานะที่ทุกคนรับรู้กันนั้นคือว่าที่เ้าสำนักคนต่อไป ศิษย์พี่จางลี่ศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตราวุธ ศิษย์พี่โม่โฉวศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลและศิษย์พี่ซุนหรานศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ ข้อมูลที่เขารับรู้มาก่อนหน้าเมื่อได้มาพบกับตัวจริงเเล้วนั้นนับได้ว่าไม่ผิดมากไปกว่ากันนัก
เเต่ด้วยเพราะเนตรแห่ง์ที่ถูกเรียกใช้ด้วยระดับพลังจักรพรรดิิญญาขั้นต้นในตอนนี้ จึงทำให้ข้อมูลที่ปรากฎให้รับรู้นั้นถูกเพิ่มรายละเอียดมากขึ้นสมกับชื่อที่หนิงอ้ายได้ตั้งชื่อไว้เสียจริง เเต่ถึงอย่างนั้นด้วยระดับพลังิญญาของเขาในตอนนี้จึงทำให้ยังถูกจำกัดด้วยหตุผลหลายอย่าง หนิงอ้ายคิดว่าในอนาคตหากเขานั้นมีระดับพลังิญญาบ่มเพาะที่สูงขึ้น เนตรแห่ง์นี้ก็จะสามารถเเสดงอานุภาพอย่างที่ควรจะเป็ได้มากกว่านี้
ระหว่างที่ศิษย์พี่ทั้งสี่คนนั้นได้ยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาจัดการกับอันตพาลเ้าแซ่เฉินนั้น เนตรแห่ง์ได้ส่งข้อมูลปรากฎให้เขาได้รับรู้ตรงไปตามสิ่งที่ได้รู้มาก่อนหน้าทั้งสิ้น
เช่นว่าศิษย์พี่จางลี่เเท้ที่จริงเเล้วเป็องค์หญิงรัชทายาทจากแคว้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลไปจากสำนักศึกษามากนัก อีกทั้งยังเป็ผู้ฝึกตนสตรีรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นมากไปด้วยพร์ด้วยวัยเพียงยี่สิบห้าสิบหกปีกับราชทินนามเทวะิญญาขั้นสูงที่คาดว่าอีกเพียงหนึ่งหรือสองปีย่อมสามารถบรรลุไปถึงระดับราชันิญญาขั้นต้นได้อย่างไม่ยากนัก
สิ่งที่น่าแปลกใจสำหรับหนิงอ้าย คือศิษย์พี่จางลี่เป็ถึงว่าที่ผู้ปกครองราชวงศ์ของแคว้นคนต่อไป นี่เเสดงให้เห็นว่าแคว้นปกครองของศิษย์พี่จางลี่ท่านนี้นั้นไม่ได้เเบ่งแยกบุรุษหรือสตรี เพราะหากคนผู้นั้นมากไปด้วยฝีมือที่เเท้จริงย่อมได้รับความเท่าเทียมกัน นับว่าเป็สิ่งที่ก้าวล้ำเกินยุคสมัยไปมากในความคิดของเขาเพราะในโลกนี้ยังมีอยู่ไม่น้อยที่ทุกคนต่างคิดเห็นว่าบุรุษเป็ใหญ่กว่าสตรี
ทางฝั่งของศิษย์พี่โม่โฉวนั้นอย่าได้เห็นว่าภายนอกจะดูเป็เพียงชายหนุ่มเ้าสำราญทั่วไป ความจริงแล้วพยัคฆ์ย่อมไม่เกิดลูกสุนัขฉันใด ศิษย์พี่ผู้นี้ก็ย่อมเป็เช่นนั้นไม่ต่างกัน ด้วยเพราะอีกฝ่ายเป็ถึงบุตรชายเพียงคนเดียวของหนึ่งในสามปรมาจารย์ค่ายกลเเห่งยุคนามว่า ปรมาจารย์โม่ฉีหลิง ท่านเ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลในปัจจุบันหรือท่านกุ้ยเจินนั้นก็เป็หนึ่งในศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ท่านนี้เช่นกัน
ดังนั้นเเล้วความรู้และความสามารถ ที่คาดว่าอาจถูกถ่ายทอดมาจากสายเืหรืออย่างไรก็ตาม ได้หล่อหลอมให้ศิษย์พี่ท่านนี้มากไปด้วยความสามารถที่โดดเด่น มีการคาดเดาว่าในอนาคตตำแหน่งเ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลคนต่อไปอาจจะเป็ศิษย์พี่โม่โฉวผู้นี้ก็เป็ไปได้ สำหรับระดับพลังิญญาบ่มเพาะนั้นของชายหนุ่มก็อยู่ในเขตขั้นราชทินนามเทวะิญญาขั้นสูงเฉกเช่นเดียวกับศิษย์พี่จางลี่นั่นเอง
สำหรับศิษย์พี่ซุนหราน จากกลิ่นอายของอีกฝ่ายที่ได้แผ่ซ่านออกมาอย่างน่าเกรงขามจนผู้ฝึกตนระดับต่ำกว่าขุนพลิญญาก็สามารถสามารถััได้ ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้อย่างเเท้จริง ศิษย์พี่ท่านนี้ถือว่าเป็สุดยอดฝีมืออย่างหาตัวจับได้ยากยิ่งคนหนึ่ง
เนตรแห่ง์ทำให้หนิงอ้ายได้รู้ว่าอีกฝ่ายเคยชนะการประลองของแคว้นด้วยอันดับที่หนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ดังนั้นอีกฐานะที่อีกฝ่ายถือครองอยู่นั่นเ้ายุทธภพรุ่นเยาว์เเห่งมหาทวีปประจิม สิ่งนี้ย่อมการันตรีได้ถึงความเผ็ดร้อนเด็ดขาดของท่วงท่าในเชิงยุทธ์ อีกทั้งปูมหลังของศิษย์พี่นั้นก็นับได้ว่ามาจากหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นที่อยู่ในมหาทวีปทิศประจิม ด้วยวัยเพียงยี่สิบห้าสิบหกปีเช่นนี้กับราชทินนามเทวะิญญาขั้นสูงย่อมเป็ตัวตนที่ได้รับคำยกย่องจากผู้คนทั่วไปเช่นกัน
คนสุดท้ายนั่นคือศิษย์พี่ตงหยางหรือว่าที่เ้าสำนักคนต่อไป เนตรเเห่ง์ได้ส่งข้อมูลที่ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด เพราะว่าข้อมูลในเื่ทั่วไปทั้งราชทินนามเทวะิญญาขั้นสูงด้วยอายุเพียงยี่สิบห้ายี่สิบหกปี ล้วนเป็ข้อมูลที่เขาต่างทราบมาก่อนหน้าเเล้วทั้งสิ้น
ทว่าหมายเหตุตรงด้านล่างที่สะดุดตา เเสดงให้เห็นว่าศิษย์พี่ตงหยางท่านนี้กำลังสวมใส่หนังมนุษย์อยู่ นี่เท่ากับว่าเเท้ที่จริงเเล้วศิษย์พี่ตงหยางตัวจริงไปอยู่ที่ไหน และเป็ใครกันที่เป็ผู้สวมรอยเเทนเช่นนี้ เเต่ถึงอย่างนั้นเนตรแห่ง์ของหนิงอ้ายก็ััไม่ได้ถึงความมุ่งร้ายของศิษย์พี่ตรงหน้า
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ข้องเกี่ยวกันเขาก็ย่อมที่จะไม่เปิดเผยความลับของอีกฝ่าย สิ่งนี้หนิงอ้ายไม่รู้ว่าท่านเ้าสำนักเจียงเฉิงรับรู้ในเื่นี้หรือไม่? หรือท้ายที่สุดนั้นผู้ที่เข้ามาสวมรอยเป็ศิษย์พี่ตงหยางนั้นมีจุดประสงค์อะไร ขอเพียงอีกฝ่ายไม่ข้องเกี่ยวกับพวกเขาอีกเท่านั้นก็เพียงพอเเล้ว...
เหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้านี้จบลงด้วยการที่กลุ่มของเฉินหลานได้จากไป บรรดาศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกชายหญิงที่คอยมุงดูก่อนหน้านี้ต่างแยกย้ายกันจับจ่ายซื้อของเหมือนเดิม ในใจของพวกเราต่างรู้สึกยินดีที่กลุ่มของหนิงอ้ายนั้นกล้าต่อกรกับกลุ่มของเฉินหลาน เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ต่างไปจากอันตพาลที่คอยรังแกผู้อื่นหน้าด้าน ๆ อยู่เสมอ
กลุ่มของหนิงอ้ายและกลุ่มของตงยางได้เดินดูของในตลาดพร้อมกับเหล่าศิษย์พี่ต่างเอ่ยแนะนำสิ่งต่าง ๆ เนื่องจากว่าในสำนักศึกษาแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็การจับจ่ายซื้อของ การซื้อโอสถหรือแม้กระทั่งตำราเคล็ดวิชานั้นไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทองทั่วไปเหมือนข้างนอก เนื่องจากว่าในสำนักจะใช้สิ่งที่เรียกว่าแต้มคะแนนในการใช้จ่าย
การที่จะได้มาซึ่งแต้มคะแนนนอกจากที่ศิษย์ใหม่ในทุกปีจะได้รับกันอย่างเท่าเทียมกันในครั้งแรกอยู่ที่ห้าร้อยคะแนนแล้ว ในทุก ๆ ปีของศิษย์สายนอกจะได้รับแต้มคะแนนเพิ่มขึ้นปีละสองร้อยคะแนน ศิษย์สายในนั้นจะได้รับเพิ่มขึ้นปีละห้าร้อยแต้มคะแนน
นอกจากนี้แล้วการรับทำภารกิจต่าง ๆ ในสำนักก็จะได้มาซึ่งแต้มคะแนนสะสมเช่นกัน ดังนั้นแล้วต่อให้ทางสำนักศึกษาเองจะมีทรัพยากรส่งเสริมในการบ่มเพาะให้กับศิษย์ทุกคนกันอย่างเท่าเทียมก็จริง เเต่ความขยันหมั่นเพียรของศิษย์แต่ละคนย่อมส่งผลให้ระดับพลังิญญาของทุกคนล้วนแตกต่างกันไป การที่จะได้มาสิ่งเหล่านี้ในสำนักย่อมใช้แต้มคะแนนแลกมาด้วยทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วจึงมีศิษย์ในทุกชั้นปีที่มักจะคอยหาทำภารกิจต่าง ๆ เพื่อที่จะได้มาซึ่งแต้มคะแนนเหล่านี้นั่นเอง
กลุ่มของหนิงอ้ายยังคงพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเื่ต่าง ๆ กับเหล่าศิษย์พี่ทั้งสี่คน บรรยากาศการพูดคุยเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ด้วยความที่อี้หลินนั้นเป็คนที่ร่าเริงและเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ยิ่งเมื่อได้จับคู่กับศิษย์พี่โม่โฉวแล้วดูจากหน้าของศิษย์พี่จางลี่ที่คอยห้ามปรามทั้งสองคนให้อยู่สงบนิ่งนั้นไม่ต่างจากมารดาสั่งสอนบุตรสักเท่าไหร่นัก เหล่าศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกคนอื่น ๆ ต่างลอบมองมายังทางนี้ด้วยความสนใจ
ปกติศิษย์พี่ตงหยางที่เป็ถึงว่าที่เ้าสำนักคนต่อไปกับเหล่าสหายในกลุ่มอีกทั้งสามคนล้วนเป็ถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักทั้งสามกันทั้งสิ้น ด้วยฐานะตำแหน่งในสำนักรวมไปถึงชื่อเสียงของทั้งสี่คนนับว่าเป็ตัวตนที่น่าเกรงขามไม่น้อย กลุ่มของหนิงอ้ายที่เป็เพียงศิษย์ใหม่เเต่สามารถพูดคุยและเข้าได้กับกลุ่มของศิษย์พี่ผู้โด่งดังเหล่านี้ช่างเป็เื่ที่น่าอิจฉายิ่งนัก แม้พวกเขาอยากจะทำตามแค่ไหน แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่ากลุ่มของตงหยางทั้งสี่คนนั้นแม้ว่าจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่สุภาพแต่ถึงอย่างไรยังคงไว้ซึ่งการไว้ตัวเป็อย่างมาก
ศิษย์พี่ตงหยางนั้นเป็ศิษย์สายตรงของท่านเ้าสำนักเจียงเฉิง หรืออีกฐานะหนึ่งนั้นคือว่าที่เ้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์คนต่อไป ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลา กริยาท่าทางที่เต็มไปด้วยมารยาท ถึงแม้จะพูดน้อยไปบ้างแต่นั่นยิ่งส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายนั้นมีเสน่ห์เป็อย่างมาก
อีกทั้งชื่อเสียงในด้านต่าง ๆ ล้วนเป็ที่ประจักษ์ทั้งในสำนักศึกษาเองรวมไปถึงผู้ฝึกตนภายนอกนั้นต่างรู้จักชายหนุ่มเช่นกัน ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ย่อมมีสตรีและชายหนุ่มไม่น้อยที่เข้าหาอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยแต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายได้ปฏิเสธไปอย่างนิ่มนวลสมกับสุภาพบุรุษ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนเหล่านี้ถอดใจไป เพราะว่าหากพวกเขาได้เป็คนรักของชายหนุ่มย่อมการันตรีได้ถึงตำแหน่งของฮูหยินของเ้าสำนัก ด้วยสถานะตำแหน่งเช่นนี้นับได้ว่าเย้ายวนใจอยู่ไม่น้อย มีบ้างที่เหล่าผู้าุโระดับสูงในสำนักต่างแนะนำบุตรหลานของตนให้กับชายหนุ่มอย่างเปิดเผย บ้างก็มีตระกูลน้อยใหญ่ต่าง ๆ ที่ตงหยางได้รู้จักในยามออกไปทำภารกิจของสำนัก
กลุ่มคนเ่าั้ล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของชายหนุ่มแล้วจึง้าที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชายหนุ่มกันทั้งสิ้น แน่นอนว่าสตรีเ่าั้ย่อมไม่ปฏิเสธความหวังดีเหล่านี้ เพราะเมื่อพวกนางได้พบเจอกับตงหยางแล้วต่างตกหลุมรักอีกฝ่ายทั้งสิ้น
แม้ว่าเื้ัความเป็มาของตงหยางยังเป็ปริศนาอยู่ในตอนนี้ แต่ถึงอย่างไรการที่สามารถบ่มเพาะรุ่นเยาว์คนหนึ่งออกมาให้มากไปด้วยพร์เช่นนี้ย่อมไม่ใช่ตระกูลธรรมดาสามัญเป็แน่ อีกทั้งตำแหน่งที่อีกฝ่ายมีอยู่ย่อมการันตรีได้ถึงวันข้างหน้าที่ยิ่งใหญ่ แต่จนถึงทุกวันนี้ชายหนุ่มยังคงครองตัวเป็อิสระไม่ผูกมัดกับผู้ใดนี่จึงเป็อีกเหตุผลสำคัญที่คนเ่าั้ไม่ยอมทิ้งความหวังในการเป็คนรักของอีกฝ่ายได้นั่นเอง...
นิงอ้ายไม่พลาดที่จะสอบถามเื่ราวของเฉินหลานไว้เพิ่มเติม เพราะถึงแม้ว่าเนตรแห่ง์จะทำให้เขาได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายในบางเื่ราวแล้ว การมีข้อมูลอยู่ในมือยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งเป็การดีมากเท่านั้น หนิงอ้ายยังถามกลับด้วยความเป็ห่วงว่าการที่เหล่าศิษย์พี่ทั้งสี่คนนั้นออกตัวปกป้องเขาและสหายจะสร้างความเดือดร้อนให้เหล่าศิษย์พี่หรือไม่ ด้วยเพราะเฉินหลานนับได้ว่าเป็ศิษย์สายในอีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงและมีผู้าุโตระกูลเฉินหนุนหลังในสำนักศึกษาแห่งนี้อยู่ไม่น้อยนั่นเอง
ทางฝั่งของจางลี่ได้ตอบกลับมาว่าไม่ต้องเป็กังวล เพราะสำนักศึกษาต่างมีกฎข้อห้ามอย่างชัดเจนในเื่นี้ อีกทั้งผู้าุโตระกูลเฉินบางคนนับว่ายังคงซื่อตรงอยู่บ้างจึงไม่เข้าข้างการกระทำของเฉินหลานในทุกทั้งเสมอไป ถึงอย่างไรหนิงอ้ายคิดอยู่ในใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมจบเื่ราวได้ง่าย ๆ เป็แน่ ด้วยเพราะเขากล้าที่จะต่อคำกับอีกฝ่ายท่ามกลางสายตาของคนมากมาย คนประเภทนี้มักจะหน้าบางและหาทางเอาคืนไม่ยอมจบสิ้น
หนิงอ้ายตั้งใจว่าจะส่งวิหคสอดแนมไปสังเกตความเคลื่อนไหวอีกฝ่าย เพราะถึงอย่างไรชีวิตในสำนักศึกษานี้เขาก็อยากที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแต่หากมีผู้ใดเอาเปรียบหรือมีผู้ใดหาเื่เขาไม่ใช่หนิงอ้ายคนเก่าที่จะยอมให้กระทำต่อเขาแบบนี้โดยง่ายเขาย่อมโต้กลับไปอย่างแน่นอน…
"แล้วนี่พวกเ้าเสร็จธุระกันแล้วใช่หรือไม่? นี่ใกล้เวลาที่ทางตำหนักนัดหมายไว้แล้วศิษย์น้องลู่ซี ศิษย์น้องอู๋ฮั่น เดี๋ยวศิษย์พี่จะไปที่ตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลพร้อมกับพวกเ้า..." โม่โฉ่วเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าสมควรแกเวลาที่ท่านอาจารย์ได้นัดหมายเอาไว้ก่อนที่จะเดินแยกจากไปพร้อมกับรับปากว่าจะดูแลเด็กหนุ่มทั้งสองคนเองไม่ต้องเป็ห่วงอันใด
"ศิษย์น้องจินหั่ว ศิษย์น้องอี้หลิน ศิษย์น้องหลี่ซวงและศิษย์น้องจ้าวหลานพวกเ้าทั้งสี่คนก็ตามศิษย์พี่มาเถอะ ใกล้ถึงเวลานัดหมายของตำหนักของพวกเราแล้วเช่นกัน..." ซุนหรานเอ่ยขึ้นกับเด็กหนุ่มทั้งสี่คนที่พยักหน้ารับรู้ก่อนที่จะเอ่ยลาสหายของตนอีกเล็กน้อยก่อนที่จะแยกย้ายออกไป
"ส่วนข้าก็มีนัดหมายในตำหนักเช่นกัน ตงหยางฝากเ้าดูแลศิษย์น้องหนิงอ้ายด้วยเล่า..." จางลี่เอ่ยขึ้นกับสหายของตนก่อนที่จะเอ่ยลาเด็กหนุ่มอีกเล็กน้อยและเดินแยกตัวออกไปทางฝั่งตำหนักของตนในทันที
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายจะไปที่ใดอีกหรือไม่?" ตงหยางเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
"ไม่รบกวนศิษย์พี่ตงหยางขอรับข้าต้องกลับไปตำหนักของตนแล้วเช่นกัน ลาตรงนี้เลยนะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่มก่อนที่จะประสานมือคำนับเล็กน้อยก่อนที่จะเดินแยกตัวออกมา
ชายหนุ่มมองตามหลังของอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังเดินเเยกไปทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาด้วยความรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าร่างบางได้หายเข้าไปในเขตตำหนักของตนเเล้วชายหนุ่มจึงถอนสายตาออกมาพร้อมกับหันหลังเดินจากไปเช่นกัน
"เสี่ยวไปทู่ตัวน้อยช่างระวังตนเสียจริง ดูท่าเเล้วคงจะล่วงรู้ความลับของข้าเสียแล้วกระมัง?"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้