ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าการปีนเขาในครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ท่านประธานเอาใจเจินเนี้ยนขนาดนี้คงไม่มีทางทิ้งเธอเอาไว้คนเดียวหรอกแต่ว่าเนี่ยเซิงเสี่ยวกำลังเตรียมตัวปีนเขาต่อเธอเข้าใจเหยียนจิ่งจื้อว่าสามารถแยกเื่งานกับเื่ส่วนตัวออก วันนี้มีพนักงานกลุ่มใหญ่ตามมาด้วยเขาไม่สามารถยกเลิกกิจกรรมบริษัทในครั้งนี้ไปแบบนี้
เป็จริงดังคาดเหยียนจิ่งจื้อให้จินเป้ยน่าเฝ้าเจินเนี้ยนและเริ่มปีนเขาใหม่อีกครั้งซึ่งเจินเนี้ยนเองก็ไม่ได้ต่อต้านแต่กลับไปลงที่เนี่ยเซิงเสี่ยวแทน “ให้คุณหนูเนี่ยอยู่กับฉันแล้วกันเราเคยเจอกันแล้ว จะได้คุยกันได้ด้วย”
เหยียนจิ่งจื้อมองเนี่ยเซิงเสี่ยวแล้วส่ายหน้า “เธอทำไม่ได้หรอกเป้ยน่าละเอียดรอบคอบกว่า” พูดจบก็เดินไปเลย
เื่นี้สำหรับคนอื่นที่ได้ยินคือกำลังตัดสินเนี่ยเซิงเสี่ยวว่าเธอนั้นมีความละเอียดรอบคอบไม่พอภาพลักษณ์ท่านประธานที่อ่อนโยนในสายตาพนักงานจึงยังไม่เปลี่ยนไปแต่จินเป้ยน่ากลับหัวเราะเสียงต่ำเนี่ยเซิงเสี่ยวละเอียดรอบคอบขนาดไหนไม่มีใครรู้ดีไปกว่าท่านประธานอีกแล้วเจินเนี้ยนได้ยินเสียงหัวเราะนี้เข้า สีหน้าจึงเปลี่ยนมาย่ำแย่ทันที จึงเผลอชักสีหน้าทันทีไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เหยียนจิ่งจื้อถึงได้ไม่ตามใจเธออีกแล้ว
เนี่ยเซิงเสี่ยวจึงทำได้แค่ตามเหยียนจิ่งจื้อไปเื่นี้ก็เข้าใจง่ายไม่ใช่หรือเขากลัวว่าถ้าอยู่ตามลำพังแล้วจะไปรังแกแฟนสาวของเขาอย่างไรล่ะ
ใต้เท้าของเธอ จู่ๆ ก็มีเงาหนึ่งทอดลงมาเนี่ยเซิงเสี่ยวเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไม่สามารถมองตรงๆ ได้ เพราะแดดส่องเมื่อเห็นใบหน้าด้านข้างของเหยียนจิ่งจื้อที่เดินนำหน้าอยู่กำลังขมวดคิ้วไม่พอใจเธอก็รีบหยิบร่มกันแดดออกมากางด้วยความเร็วที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังใ
เหยียนจิ่งจื้อเพียงแค่ชะงักไปครู่หนึ่งไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากก่อนจะเดินต่อไปเนี่ยเซิงเสี่ยวรู้ว่าในใจของเขาจะต้องกำลังด่าเธอว่าเป็คนเลวแน่ๆ
ไม่ว่าทักษะด้านการออกกำลังกายของเนี่ยเซิงเสี่ยวจะดีแค่ไหนก็ทนกับการปีนเขาไปกางรมให้กับคนที่สูงกว่าครึ่งหัวอย่างเหยียนจิ่งจื้อไม่ไหวผ่านไปไม่นานจึงหอบออกมาเล็กน้อยจนเหยียนจิ่งจื้อทนต่อไปไม่ไหวคว้าร่มเอามาถือเองและพูดเสียงเย็น“มีแต่คนไม่ได้เื่”
คำพูดนี้กระทบไปถึงตัวเจิ้นเนี้ยนด้วย พนักงานที่ตามมาด้านหลังถึงกับตาโตแต่ละคนต่างมองมาที่แผ่นหลังของเนี่ยเซิงเสี่ยวอย่างแอบคาดโทษ
มือที่เข้ามาคว้าร่มไปจากมือของเธอมีนิ้วหนึ่งเกือบจะเกี่ยวเข้าหากันเนี่ยเซิงเสี่ยวที่เหมือนโดนไฟช็อตก็รีบปล่อยร่มออกทันทีก่อนจะถอยหลังห่างจากเขาออกไปหลายก้าวเงียบๆ
การปีนูเาครั้งนี้ทำให้เหยียนจิ่งจื้อยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆอดที่จะคิดถึงหนังสือที่เคยอ่านเล่มนั้นขึ้นมาอีกไม่ได้หรือว่าเขาจะตกหลุมรักเนี่ยเซิงเสี่ยวเข้าแล้วจริงๆ? หลังจากเขาตั้งสมมติฐานนี้เสร็จเขาก็สลัดมันออกไปทันทีการรักใครเพียงแรกพบนั้นไม่ใช่เื่ง่าย และอีกอย่างเธอมีตรงไหนที่น่าดึงดูด?ทั้งๆ ที่รักเจินเนี้ยนอยู่ ทำไมจู่ๆถึงได้มีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้ น่ากลัวเกินไปแล้ว
เหยียนจิ่งจื้อคิด ในขณะที่กำลังหายใจอย่างลำบากอยู่เล็กน้อยในตอนที่อยากจะพูดว่าอยากดื่มน้ำ พอหันหลังกลับไปผู้หญิงคนนั้นก็พุ่งเข้ามาและยัดลูกอมเข้าปากของเขาด้วยความเร็วที่ทำให้เขาถึงกับตกตะลึงเร็วขนาดนี้ทำไมไม่ไปเป็โจรวิ่งราวเสียเลยล่ะ?
แต่จะไม่ยอมรับก็คงไม่ได้ มีลูกอมเม็ดนี้แล้วการหายใจของเขาก็สงบขึ้นเยอะแต่ตัวเขากลับยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกเนี่ยเซิงเสี่ยวคนนี้เป็เทพจากที่ไหนถึงได้เข้าใจร่างกายของเขามากกว่าตัวของเขาเอง!
“เอ่อ…” เนี่ยเซิงเสี่ยวไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเพราะเผลอไปยัดลูกอมเข้าปากเขาพอนึกขึ้นมาได้รวมถึงเห็นเหยียนจิ่งจื้อกำลังมองมาที่เธอในหัวก็เริ่มคิดที่จะอยากลาออกอีกแล้ว ตอนที่ยัดลูกอมเข้าปากเขานั้นเป็การกระทำโดยสัญชาตญาณเท่านั้นคงจะไม่ควรอยู่ต่อไปแล้วจริงๆ
“ผู้ช่วยเนี่ยเคยเรียนปฐมพยาบาลมาก่อนหรือ? อาการภาวะน้ำตาลในเืต่ำของฉันก็มองออกด้วย?”เหยียนจิ่งจื้อพูดประโยคนี้ออกมาก็ทำให้บรรยากาศของทุกคนกลับมาเป็ปกติที่แท้เนี่ยเซิงเสี่ยวก็มองออกว่าท่านประธานภาวะน้ำตาลในเืต่ำถึงได้ทำตัวใกล้ชิดแบบนั้น
“เปล่าหรอกค่ะ” เนี่ยเซิงเสี่ยวส่ายหน้า อาการป่วยของคนอื่นเธอมองไม่ออกแต่อาการป่วยของเขาเธอสามารถมองออกได้ทะลุปรุโปร่งเื่นี้ไม่จำเป็ต้องเรียนปฐมพยาบาลหรอกแต่ว่าปฏิเสธออกไปแบบนี้เหมือนจะทำลายสิ่งที่เหยียนจิ่งจื้อพูดออกไปเมื่อครู่จนหมดเธอจึงรีบพูดเสริมขึ้นมา “แค่เคยอ่านหนังสือพวกนี้บ้าง”
“ผู้ช่วยเนี่ยก็ชอบอ่านหนังสือประเภทนี้?”
“อืม… ใช่ค่ะ”เนี่ยเซิงเสี่ยวฝืนตอบตอนที่คุยกับเขาเหมือนในคอจะมีอะไรมาขัดอยู่ทำให้ไม่เป็ธรรมชาติ
เหยียนจิ่งจื้อมองสำรวจสักพักก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
เมื่อไม่มีเจินเนี้ยนมาถ่วงความเร็วเอาไว้ เพียงครู่เดียวก็ขึ้นมาถึงยอดเขาบนยอดเขามีวัดเล็กๆ อยู่หลังหนึ่ง ได้ยินมาว่าศักดิ์สิทธิ์มากเนี่ยเซิงเสี่ยวจึงตามทุกคนไปอธิษฐานขอพร
ในตอนนั้นก็มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเข้ามาถาม “เซิงเสี่ยวขอพรอะไรหรือ?”
เนี่ยเซิงเสี่ยวมองไปยังแผ่นหลังของเหยียนจิ่งจื้อที่อยู่ไม่ไกลก่อนจะตอบ“ขอให้คนในครอบครัวสุขภาพแข็งแรง”
“คนในครอบครัวสุขภาพแข็งแรง…” หลิวซินน่าครุ่นคิด “เซิงเสี่ยวเธอคงไม่ได้แต่งงานแล้วหรอกใช่ไหม? มีแค่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วถึงคิดอะไรที่เป็แบบนี้ ฮ่าๆ”
เหยียนจิ่งจื้อหันมาว่าอย่างรำคาญใจ “นี่มันยุคสมัยที่พูดถึงประสิทธิภาพกันขอพรเสร็จแล้วก็รีบลงจากเขา”
ความจริงแล้วคุณเป็ห่วงเจินเนี้ยนที่อยู่ตีนเขาใช่ไหมล่ะ? ทุกคนต่างคิดแบบนี้ แต่เมื่อถูกท่านประธานสั่งสอนแล้วทุกคนจึงรีบมาเตรียมตัวลงจากเขา ทว่าจู่ๆ ในกลุ่มก็มีคนเสนอความคิดขึ้นมาว่าขึ้นมาถึงยอดเขาแล้วจะต้องถ่ายรูปรวมด้วย
เหยียนจิ่งจื้อครุ่นคิดก่อนจะพูด “ถ่ายเถอะ”
ความเร็วในการลงเขาไวมากเพียงครู่เดียวก็เห็นเจินเนี้ยนกับจินเป้ยน่ารออยู่ที่เดิมเหยียนจิ่งจื้อเดินเข้าไปถามอาการด้วยความเป็ห่วง ซึ่งทุกคนก็พากันแยกย้ายไปไกลๆ
จากนั้นก็เห็นเหยียนจิ่งจื้อย่อเอวลง สองแขนของเจินเนี้ยนยกขึ้นที่แท้ก็จะอุ้มเธอลงจากเขา ทุกคนต่างร้องโห่ เป่าปากกันออกมา
เนี่ยเซิงเสี่ยวยืนอยู่ระหว่างกลางพวกเขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาสองคนรักกันมากแค่ไหน
หน้าแดงๆ ของเจินเนี้ยนซบลงไปไหล่ของเหยียนจิ่งจื้อกอบโกยความสุขที่ห้อมล้อมไว้อย่างเต็มที่ก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา “จิ่งจื้อ…”
“หืม?”
“คุณไล่เนี่ยเซิงเสี่ยวคนนั้นออกไปเถอะ”เคยมีคนพูดว่าในเวลาแบบนี้ผู้ชายชอบฟังผู้หญิงเสียงอ่อนเสียงหวาน เธอจึงลองดู
เหยียนจิ่งจื้อตัวแข็งไป มองไปยังขั้นบันไดด้านหน้าแล้วเดินไปทีละก้าว
“ได้ อาทิตย์หน้าผมจะให้เธอลาออก”
ความจริงแล้วเจินเนี้ยนอย่างจะถามว่าทำไมต้องอาทิตย์หน้าแต่ว่าพอคิดถึงเื่การส่งต่องานแล้วเหมือนจะสมเหตุสมผลอยู่จึงจุ๊บลงไปที่แก้มขวาของเขาอย่างดีใจ
แต่เหยียนจิ่งจื้อกลับเบี่ยงหลบไปทางซ้ายจนทำให้เจินเนี้ยนชะงักไป“เป็อะไรไป?”
“ไม่มีอะไร แค่ร้อนนิดหน่อยน่ะ”
---
วันต่อมาเนี่ยเซิงเสี่ยวก็ได้รับภาพถ่ายรวมที่ไปปีนเขาเมื่อวานเหยียนจิ่งจื้อยืนอยู่ตรงกลางพอดี คิ้วสวยขมวดเล็กน้อยเหมือนไม่พอใจ
ถ้าหากเป็เมื่อหกปีก่อน เธอคงจะใช้นิ้วมาจิ้มให้มันเป็เส้นตรง จากนั้นก็จูบหนึ่งทีการทำแบบนั้นได้ผลดีมาก ไม่รู้ว่าเจินเนี้ยนในตอนนี้จะทำได้ไหม
เหยียนจิ่งจื้อเองก็ได้ภาพรวมนั้นเพราะว่าตอนนั้นผู้หญิงผมสีลินินคนหนึ่งอยู่ใกล้เขามากดังนั้นในภาพจึงยืนห่างจากเขาเพียงสองคนคั่น เขายกหัวขึ้นน้อยๆ แล้วยิ้มดูเหมือนว่านี่จะเป็กิจกรรมที่ไม่เลว และดูเหมือนว่าพรที่เธอขอจะกลายเป็จริง
“ท่านประธาน ท่านมองรูปภาพมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้วค่ะ”จินเป้ยน่ายกกองเอกสารที่ต้องเซ็นมายืนข้างๆ เขา ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนต้องพูดเตือน
เหยียนจิ่งจื้อถึงรู้สึกตัวว่าเขาเสียอาการแล้ว เป็อะไรไปเหม่อมองผู้หญิงที่คนพูดว่าเคยปลื้มตัวเองมาครึ่งชั่วโมงคิดอะไรไม่เข้าท่า
เขาเอารูปใส่เข้าไปในลิ้นชักแล้วเริ่มทำงาน
ตอนกลางวันเหยียนจิ่งจื้อนั่งอยู่คนเดียวในห้องอาหารเริ่มครุ่นคิดเื่ไล่เนี่ยเซิงเสี่ยวออก หลายวันมานี้อาการปวดหัวของเขาเกิดขึ้นบ่อยครั้งบางทีไล่ออกไปก็อาจช่วยลดเื่ปวดหัวไปได้เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็เรียกจินเป้ยน่าที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกเข้ามา
“ท่านประธานมีธุระอะไรหรือคะ?”
“ไปเรียกเนี่ยเซิงเสี่ยวมา”
“วันนี้เธอไม่ได้กินข้าวในโรงอาหารพนักงานค่ะ”
เหยียนจิ่งจื้อเหลือบตาขึ้นมองเธอ “ทำไมเธอรู้ดีขนาดนั้น?”
จินเป้ยน่าแบมือทั้งสองข้างออก “เมื่อตอนกลางวันมีผู้ชายหล่อมากๆคนหนึ่งมารับเธอไป ฉันก็แค่เห็นเข้าพอดี”
เหยียนจิ่งจื้อวางตะเกียบลง เป็การบอกว่ากินอิ่มแล้ว“เข้างานตอนกลางวันก็เรียกเธอมาหาฉันที่ห้องทำงาน”
แต่ว่าเมื่อถึงเวลาเข้างานตอนกลางวันเจินเป้ยน่าก็เข้ามาตอบเหยียนจิ่งจื้ออย่างรู้สึกผิด“ท่านประธานคะ เสี่ยวเนี่ยขอลางานกะทันหันค่ะ ท่าน้าให้ฉันแจ้งอะไรเธอไหมคะ?”
ออกไปกับผู้ชาย จากนั้นตอนบ่ายก็ลางาน! ออกเดตครั้งหนึ่งถึงขั้นต้องใช้เวลางานเลยหรือบ้าไปแล้ว!
รังสีดุดันที่เหยียนจิ่งจื้อปล่อยออกมาทำเอาจินเป้ยน่าถึงกับใถอยหลังไปหนึ่งก้าวเขาถึงพบว่าตัวเองนั้นเกินเยียวยาแล้ว ก็แค่พนักงานระดับต่ำลางานไปเท่านั้น เขาคิดไร้สาระอะไรหรือว่าสมองในตอนนี้ยังใช้งานไม่มากพอหรือ?
เขาบังคับตัวเองให้สงบลง ก่อนจะเคาะโต๊ะ “ผู้ช่วยจินพรุ่งนี้รบกวนแจ้งผู้ช่วยเนี่ยด้วยว่าเธอถูกไล่ออกอย่างเป็ทางการแล้ว”