ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล
ณ หอตำราหลวง
ฮ่องเต้เฉิงเต๋อยังไม่ได้พักผ่อน
เพราะยังอ่านฎีกาไม่จบ
เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดด้วยวิธีการที่น่าอับอาย แต่เขาไม่ได้ใช้ชีวิตแบบเดียวกับฮ่องเต้องค์ก่อน ซึ่งทรงพระวิริยะอุตสาหะและทรงให้ความสำคัญกับเื่การเมืองมาโดยตลอด เมื่อเทียบกันแล้วฮ่องเต้เฉิงเต๋อคิดว่าตนเองยังห่างไกลนัก
เขาจดจ่ออยู่กับกองฎีกาภายใต้โคมไฟ
ทันใดนั้นเสียงแ่เบาของสตรีก็ดังขึ้น
‘สนมคนใดมาที่นี่ในเวลานี้?’ เขาคิด
ปรากฏว่าเป็สนมเซี่ย
ขณะที่นางกำนัลคนสนิทของสนมเซี่ยกำลังจัดเรียงอาหาร สนมเซี่ยก็กล่าวว่า “เห็นฝ่าาทรงงานอย่างเหน็ดเหนื่อย หม่อมฉันจึงต้มอินทผลัมแดงและน้ำแกงเห็ดหิมะมาให้พระองค์ ทรงเสวยในขณะที่ยังร้อนอยู่เถิดเพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าและตรัสว่า “สนมรักของข้าช่างมีน้ำใจ”
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองนางอย่างอ่อนโยน สนมเซี่ยแต่งเข้าจวนเสนาบดีใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต่อมานางก็ติดตามเขาเข้ามาในวัง
ถ้าดูจากวัยของนาง ที่นี่อาจเปรียบได้กับคุก ไม่มีใครที่นางสามารถพึ่งพาได้ เขาให้นางติดตามเขาเข้ามาเป็สนมก็เพราะเห็นแก่ใต้เท้าเซี่ยผู้เป็บิดาของนาง
สนมเซี่ยตักแบ่งน้ำแกงใส่ชามใบเล็กด้วยความตั้งใจ แสดงถึงความพิถีพิถัน ความอ่อนหวาน และความนุ่มนวลอันเป็เอกลักษณ์ของสตรีที่ได้รับการอบรมมาเป็อย่างดี แม้แต่ฮ่องเต้เฉิงเต๋อผู้ไม่เคยขาดสตรีข้างกายยังรู้สึกว่าหัวใจของตนเองสั่นไหวเล็กน้อย
อันที่จริงในชีวิตนี้หญิงสาวเพียงคนเดียวที่เขารักด้วยความจริงใจคือคุณหนูเล็กแห่งจวนแม่ทัพเจิ้นหนาน ตอนนั้นนางเป็หญิงสาวผู้งดงามอ่อนหวาน
หลังจากได้แต่งงานกับหญิงสาวที่พึงพอใจ เขากลับพบว่าหลายสิ่งหลายอย่างไม่เหมือนเดิม ทุกสิ่งที่เขาคิดก่อนหน้านี้พังทลายลงอย่างรวดเร็ว มันทำลายความรู้ความเข้าใจของเขา และเปลี่ยนแปลงชายหนุ่มผู้มากพร์จากเมืองเย่เฉิงไปตลอดกาล
ในปีนั้นเขาเป็ต้นแบบให้กับคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่รอนแรมเดินทางมายังเมืองอวิ๋นเมิ่งเพื่อทำความฝันของตนเองให้เป็จริง เขาประสบความสำเร็จั้แ่ยังหนุ่ม เขากลายเป็บัณฑิตอันดับหนึ่งในราชสำนัก ทั้งยังได้แต่งงานกับบุตรีคนสุดท้องของแม่ทัพเจิ้นหนานและกลายเป็ขุนนางที่อายุน้อยที่สุดในเมืองอวิ๋นเมิ่ง
การประสบความสำเร็จทั้งในด้านหน้าที่การงานและครอบครัวล้วนเป็เหตุการณ์สำคัญในชีวิตของเขา ทั้งสองอย่างนี้เกิดขึ้นในปีเดียวกัน ผู้คนล้วนรู้สึกอิจฉาริษยาในความโชคดีของเขา
แต่เขายอมรับในความโชคดีเพียงครึ่งเดียว เพราะนอกจากจะโชคดีแล้วเขาก็ใช้ความพยายามด้วย นอกจากนี้ เขายังต้องเผชิญกับการอิจฉาริษยา รวมถึงการดูถูกจากคนร่ำรวยและคนมีอำนาจส่วนใหญ่ในเมืองอวิ๋นเมิ่ง
เดิมทีเขาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน แม้แต่อ๋องอวิ๋นเมิ่งคนก่อนก็ยังชื่นชม
ตอนได้พบท่านอ๋องเขาตื่นเต้นมาก เพราะเขาเป็หนึ่งในผู้ที่ชื่นชมท่านอ๋องเป็อย่างมาก เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเข้าถึงง่ายและเป็กันเอง อันที่จริงเขาตั้งใจไว้ั้แ่ยังเยาว์วัยแล้วว่าจะอุทิศชีวิตให้กับท่านอ๋อง
อย่างไรก็ตาม ราชสำนักได้กำหนดอย่างชัดเจนว่าเชื้อพระวงศ์และข้าราชบริพารไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกันเป็การส่วนตัว เขาและท่านอ๋องจึงมักพบปะกันอย่างลับๆ และแลกเปลี่ยนจดหมายลับเพื่อปรึกษาหารือกัน วันเวลาที่ได้เฝ้ารอจดหมายลับของท่านอ๋องช่างมีความสุขเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม ในปีที่สามสิบแปดของรัชศกเทียนโหย่ว ข่าวร้ายก็มาถึงหน้าบัลลังก์ ท่านอ๋องสิ้นพระชนม์ในสนามรบ
ก่อนหน้านั้นเขาได้รับจดหมายลับจากท่านอ๋อง พวกเขาปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับการวางแผนกำจัดองค์ชายรอง และเขาก็เขียนจดหมายไปถามอีกฝ่ายเกี่ยวกับแผนการ
แต่ก่อนจะได้รับคำตอบ เขากลับได้ข่าวว่าท่านอ๋องสิ้นพระชนม์ในสนามรบ
ก่อนหน้านั้นเขาคิดมาตลอดว่าท่านอ๋อง้าสร้างกองกำลังของตนเองในพื้นที่ชายแดน เขาจึงไม่ลังเลที่จะทำลายภาพลักษณ์บิดาที่ดีของตนเองด้วยการส่งบุตรชายไปประจำการที่ชายแดน
อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านอ๋องสิ้นพระชนม์ ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป
ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่าความตายอีกแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา อวิ๋นเมิ่งหวังเฟยกลายมาเป็ไท่จือเฟย ส่วนตระกูลซูในเมืองฉินโจวก็ย้ายออกจากเมืองอวิ๋นเมิ่ง
อำนาจขององค์ชายรองค่อยๆ แผ่ขยายออกไป เขาไม่รู้เลยว่าองค์ชายผู้นี้ได้เข้าไปแทรกแซงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามรบหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เถ้ากระดูกของท่านอ๋องยังไม่ทันเย็น องค์ชายรองก็ลงมือกำจัดผู้ที่สนับสนุนท่านอ๋องจนหมด ก่อนหน้านี้ขุนนางทั้งสองฝ่ายที่ไม่ค่อยลงรอยกันก็ะเิความขัดแย้งออกมาราวกับพายุ
อำนาจในมือของฮ่องเต้เฉิงกวงค่อยๆ ลดน้อยลง ในปีที่สามสิบเก้าของรัชศกเทียนโหย่ว ฮ่องเต้เฉิงกวงก็ต
จากนั้นองค์ชายรองก็ขึ้นครองราชย์
สิ่งที่เกิดขึ้นในปีสุดท้ายของรัชศกเทียนโหย่วและใน่ปีแรกๆ ของรัชศกเฉิงกวงเปรียบได้กับภาพที่ฉายซ้ำๆ อยู่ในใจของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำลายหลักฐานเกือบทั้งหมดที่บ่งบอกว่าเขาติดต่อกับท่านอ๋อง เกรงว่าเขาคงไม่อาจมีชีวิตรอดมาได้!
ขุนนางเก่าแก่และผู้มีความสามารถมากมายต่างถูกลดตำแหน่งหรือไม่ก็ลาออกโดยสมัครใจ สถานการณ์ในราชสำนักเปลี่ยนแปลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนเื่เหลือเชื่อคือเขาก้าวสู่ตำแหน่งเสนาบดี
ในรัชศกเทียนโหย่วเขาเป็บัณฑิตอันดับหนึ่งด้วยวัยเพียงแค่สามสิบสามปี ใน่ปลายของรัชศกเทียนโหย่ว เขาเป็เพียงขุนนางชั้นผู้น้อย ดังนั้นการได้เลื่อนตำแหน่งเป็เสนาบดีภายในระยะเวลาไม่กี่ปีย่อมเป็เื่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
ในปีที่สองของรัชศกเฉิงกวง เขาได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดี
คำว่ารวดเร็วคงไม่สามารถใช้กับสถานการณ์นี้ได้ ต้องใช้คำว่าพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในครั้งเดียวแทน
เมืองเย่เฉิงที่ถูกทำลายเนื่องจากาในอดีต ตอนนี้หลังจากผ่านไปกว่ายี่สิบปี ในที่สุดมันก็ค่อยๆ ฟื้นคืนชีพและกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ในฐานะหนึ่งในไม่กี่คนที่รอดชีวิตจากาครั้งนั้น ตอนนี้เขาได้กลายเป็ผู้อุปถัมภ์ของเมืองเย่เฉิง แม้กระทั่งตอนนี้ในใจของของเขาก็ยังมีความคิดที่จะย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองเย่เฉิง
แน่นอนว่านี่เป็ความคิดที่เห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง
ในอนาคตจะมีรูปปั้นของเขาตั้งอยู่ในศาลบรรพชนของตระกูลเย่ หรือไม่?
เขาจะไม่มีวันปล่อยให้สุสานหลวงของตระกูลอวิ๋นแปดเปื้อนอย่างแน่นอน ถ้าราชวงศ์เดิมยังอยู่ สิ่งต่างๆ จะวิเศษเพียงใด?
ไม่เป็ไร ภาระของเขาจะได้เบาลง
อาจเป็ไปได้ว่าคนที่สามารถยืนอยู่ในตำแหน่งนี้ได้คือลูกหลานของท่านอ๋อง
น่าเสียดายที่เขาไม่มีทายาท
แต่บุตรชายคนโตของเขาเป็ศิษย์น้องของท่านอ๋อง
ดังนั้น เย่เช่อจะถือเป็ผู้สืบทอดได้หรือไม่?
ค่ำคืนอันมืดมิดเต็มไปด้วยเื่ราวที่สุดจะคาดเดา
แต่สิ่งที่คาดเดาได้ยากที่สุดคือความคิดของผู้เป็ใหญ่
สนมเซี่ยััได้ถึงความผิดปกติของบุรุษที่อยู่ตรงหน้า นางจึงเอ่ยถามว่า
“ฝ่าาชอบหรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้เฉิงเต๋อพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและตรัสว่า “อร่อยมาก สนมรักลำบากเ้าแล้ว”
สนมเซี่ยกล่าวว่า “ตราบใดที่พระองค์ชอบ หม่อมฉันเต็มใจเพคะ”
“เ้าอยู่ในจวนเสนาบดีมากี่ปีแล้ว?” ฮ่องเต้ถามอย่างกระทันหัน
สนมเซี่ยคำนับและกล่าวว่า “หม่อมฉันแต่งเข้าจวนเสนาบดีในฤดูใบไม้ผลิปีที่สิบเอ็ดของรัชศกเฉิงกวง จู่ๆ เหตุใดฝ่าาถึงถามเื่นี้ล่ะเพคะ?”
ปีที่สิบเอ็ดของรัชศกเฉิงกวงหรือ?
ปีนั้นเป็ฤดูใบไม้ผลิแรกหลังจากซูฮองเฮาสิ้นพระชนม์ เขาจำได้ว่าซูฮองเฮาสิ้นพระชนม์่ฤดูหนาวในปีที่สิบของรัชศกเฉิงกวง
ฮ่องเต้เฉิงเต๋อถามอีกครั้ง “เ้าอยู่เคียงข้างข้าปีนี้เป็ปีที่หกแล้วหรือ?”
สนมเซี่ยตอบรับเบาๆ
“ข้าจำได้” ฮ่องเต้เฉิงเต๋อตรัส “ปีแรกที่เ้ามาที่จวนเป็่ไว้อาลัยพอดี ข้าจึงไม่ได้เข้าหอกับเ้า หลังจากนั้นข้าก็หลงลืมเ้าไปเสียสนิท การที่ข้าละเลยเ้าในตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้เ้าโกรธเคืองข้าหรือไม่?”
‘หกปีสำหรับหญิงสาวนั้นช่างยาวนานเหลือเกิน ตอนอยู่ที่จวนเสนาบดีข้าควรใส่ใจนางให้มากกว่านี้แม้ว่าข้าจะไม่ได้ร่วมหอกับนางก็ตาม เด็กคนนี้อายุไล่เลี่ยกับเช่อเอ๋อ ใต้เท้าเซี่ยคงไม่คิดว่าข้าจะปฏิบัติต่อบุตรีของเขาเช่นนี้’
เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางมีอายุไล่เลี่ยกับบุตรชายของตนเอง อย่างไรก็ตามถ้านางไม่้าอยู่กับเขา เหตุใดถึงไม่ส่งนางกลับไปที่ตระกูลเซี่ยหรือจัดพิธีแต่งงานใหม่ให้นางล่ะ?
เมื่อพูดเื่นี้กับสตรี บุรุษคนใดจะไม่รู้สึกอึดอัดบ้าง ฮ่องเต้เฉิงเต๋อเองก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่เขารู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล แม้จะไม่ได้เข้าหอกันเลยถึงแม้จะแต่งงานมาเกือบหกปี แต่นางก็ใช้ชีวิตในฐานะอนุของเขาแล้วไม่ใช่หรือ?
เขารู้สึกผิดต่อนางเล็กน้อย
แต่หากมีคนล่วงรู้ความคิดของฮ่องเต้เฉิงเต๋อ คนผู้นั้นย่อมรู้สึกว่าสิ่งที่เขาคิดฟังดูสมเหตุสมผลแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้