ไม่นานลางสังหรณ์ของเธอก็ได้รับการยืนยัน
เมื่ออาหารมาตั้งบนโต๊ะ สองครอบครัวที่มีสมาชิกรวมแปดคนนั่งล้อมโต๊ะ ในตอนที่หลิวจินเซียงส่งน่องไก่ให้เธอ ซูเล่อก็ทนไม่ไหวจนะเิออกมา
“แม่ นั่นน่องไก่ของหนูนะ!”
ซูเล่อตบโต๊ะก่อนจะยืนขึ้น พร้อมจ้องน่องไก่ในถ้วยข้าวของซูอินด้วยดวงตาเบิกกว้าง
แววตาที่คุ้นเคยนี้…
ถึงแม้ใบหน้าจะเป็คนละคน แต่ซูอินจดจำแววตาที่ “ถลึงใส่เธอ” ได้ดี เมื่อเห็นแววตาคู่นั้นทำให้ซูอินมั่นใจในทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ชอบเธอ
บอกแล้วว่าเธอน่ะไม่ใช่คนที่มีปัญหา
หากเป็ชาติก่อนเธอคงเป็ฝ่ายยอม เพราะอย่างไรก็แค่น่องไก่น่องเดียว ทำไมต้องเสียใจขนาดนั้น
แต่ตอนนี้ ทำไมเธอต้องยอมอยู่ฝ่ายเดียว และคอยเสียใจกับลูกพี่ลูกน้องที่เลือกปฏิบัติ
เธอบอกว่าน่องไก่นี่เป็ของเธอ อ๋อ บนน่องไก่คงเขียนชื่อไว้สินะ
ในใจของซูอินเกิดความคิดเช่นนั้น เธอเงยหน้าเผชิญกับการจ้องมองที่เหมือนกับเป็ศัตรูของซูเล่อ ใบหน้าของซูอินเต็มไปด้วยความสับสนและไร้เดียงสา
เธอมีความสดใสราวกับดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ อยู่แล้ว ยิ่งแสดงสีหน้าแบบนั้นยิ่งทำให้ได้รับความเห็นใจจากคนรอบข้าง
“กินข้าวดีๆ สิ จะะโทำไม ดูซิ อินอินใหมดแล้ว!”
หลิวจินเซียงเอ่ยปราม ถึงกระนั้นด้วยความที่เป็มารดาย่อมเห็นใจบุตรสาวของตนเอง หล่อนรีบหยิบน่องไก่อีกน่องออกมาจากหม้อ
“จะรีบไปทำไม ยังไงก็มีของลูกอยู่แล้ว รีบกินเถอะ”
เมื่อได้น่องไก่ ในใจของซูเล่อก็ยิ่งไม่พอใจ ตอนแรกให้ซองแดง มาตอนนี้ให้น่องไก่อีก ซูอินมีแต่ได้กับได้ แต่ทำไมคนที่มีปัญหาถึงได้กลายเป็ซูเล่อล่ะ
สิ่งที่ทำให้ซูเล่อรู้สึกหดหู่ใจมากกว่าเดิมคือเื่หลังจากนั้น
ซูอินฉีกเนื้อไก่ส่วนที่ดีที่สุดก่อนจะคีบไปใส่ในถ้วยของเด็กชายตัวน้อย
“อันอันก็กินด้วยนะ”
เด็กชายอายุยังน้อย ไม่เหมาะสมที่จะใช้น้ำพุแห่งจิติญญา ความอ่อนแอของร่างกายนั้นเริ่มมาจากกระดูก จำเป็ต้องให้ความสำคัญมากขึ้นกับอาหารการกินในชีวิตประจำวัน
เด็กน้อยคนนักที่จะไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไก่ที่เลี้ยงเองในชนบท โดยเฉพาะเมื่อนำไปตุ๋น รสชาติยิ่งอร่อย สิ่งดีๆ อย่างน่องไก่เมื่อก่อนมักจะถูกหลิงเมิ่งแย่งไปเสมอ น้อยครั้งที่ซูอันจะได้กิน ถึงแม้ผู้ใหญ่จะหยิบยื่นให้ แต่พี่สาวใจร้ายก็อยู่ตรงนั้น เขาจึงทำได้เพียงยอมเสียสละอย่างว่าง่าย
แต่ตอนนี้พี่สาวคนใหม่แบ่งเนื้อจากน่องไก่ให้ ดวงตาที่มืดมนของซูอันจึงเปล่งประกาย ริมฝีปากเล็กที่มันวาวจากน้ำมันเผยรอยยิ้ม
ไม่ใช่แค่เด็กชายตัวน้อย ผู้ใหญ่หลายคนที่มองอยู่ข้างๆ ต่างก็ดีใจเช่นกันที่ได้เห็นภาพบรรยากาศนี้
โดยเฉพาะหลิวจินเซียง เธอเป็คนปากไวมาตลอด และเป็พี่สะใภ้อยู่บ้านติดกันมาหลายปี ทำให้เวลามีอะไรก็มักจะพูดออกไปตรงๆ โดยไม่รู้สึกอาย
“ฉันเคยพูดแล้ว อินอินเป็เด็กที่รู้เื่มากกว่าเมิ่งเมิ่งซะอีก เถียนเฟินเธอดูสิ เด็กคนนี้มีความเป็พี่สาวมากขนาดไหน”
คนที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันอย่างเมิ่งเถียนเฟินจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าระหว่างเมิ่งเมิ่งและอันอันเป็เช่นไร คนนั้นก็ลูก คนนี้ก็ลูก หลายต่อหลายครั้งทำให้เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
แต่หลายต่อหลายครั้งเธอก็กลัวว่าจะถูกนำมาเปรียบเทียบ เพราะตอนที่มีหลิงเมิ่งเป็บุตรสาวเพียงคนเดียว เื่เหล่านี้ยังไม่ค่อยจะแสดงออกมาชัดเจนเท่าไร แต่ในวันนี้มีอินอินเข้ามาเป็ตัวเปรียบเทียบ คนหนึ่งเอาแต่บ่นเื่ที่อันอันป่วย และต้องใช้เงินมากในการรักษา แสดงท่าทีไม่พอใจต่างๆ นานาจนไปถึงขั้นรังแก ในขณะที่อีกคนหนึ่งกลับปฏิบัติต่ออันอันเป็อย่างดี
เธอผู้มีสถานะเป็มารดาไม่ว่าจะพยายามมองว่าหลิงเมิ่งเป็คนดีเพียงใด แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ซูอินไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเมิ่งเถียนเฟิน เพราะตอนนี้เธอกำลังรอดูท่าทีของซูเล่อ
หลังจากที่เธอแบ่งน่องไก่ให้เด็กชายตัวน้อยแล้ว ท่าทีของลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของเธอยิ่งน่าสนใจมากขึ้น
เธอเดาว่าตอนนี้ในใจของอีกฝ่ายคงไม่พอใจมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
คนที่ในใจเต็มไปด้วยความไม่พอใจไม่ได้มีแค่ซูเล่อ ในคฤหาสน์กลางใจเมือง หลิงเมิ่งก็กำลังเศร้าโศกเสียใจอยู่กับตนเองเช่นกัน
ไม่ต้องพูดถึงเื่ความลำบากสิบหกปีที่เจอว่ามันแย่เพียงใด แต่เมื่อเธอได้กลับมาอยู่กับตระกูลหลิง ซูอินก็ให้ยืมชุดนักเรียนที่ชำรุด จนเธอต้องขายหน้า ไม่สามารถเข้าเรียนที่โรงเรียนทดลอง อีกทั้งราดชานมใส่เพื่อนของเธอ ทำให้เธออับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย ไหนจะเื่ที่แจ้งความกับเ้าหน้าที่ตำรวจแล้วไม่ยอมไกล่เกลี่ย จนเธอถูกจับเข้าสถานพินิจ
เื่ก่อนหน้านั้นช่างมันเถอะ แต่งานเลี้ยงฉลองวันเกิดที่เป็โอกาสสำคัญของเธอก็ถูกทำลายจนพัง
ซู อิน!
เธอกัดฟันพ่นชื่อนี้ออกมา หลิงเมิ่งมองปฏิทินที่อยู่บนโต๊ะทำการบ้าน แววตาของเธอจ้องไปยังวันที่ถูกวงเอาไว้
วันนั้นคือวันประกาศผลการสอบขึ้นมัธยมปลาย
คะแนนยังไม่ออก แต่หลิงเมิ่งรู้ดีว่าตนเองทำคะแนนได้ไม่ดี เพราะในวันสอบเธอส่งกระดาษคำตอบเร็ว และมีหลายข้อที่เว้นว่าง
แต่ซูอิน…
จากที่เธอรู้มา ซูอินมีผลการเรียนดีมาตลอดั้แ่เด็ก
แววตาของเธอเป็ประกายเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เธอเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ ก่อนจะปรับอารมณ์ให้กลายเป็บุตรสาวที่เชื่อฟัง จากนั้นจึงเดินไปเคาะประตูที่อยู่ถัดไปจากห้องนอนหลัก
“คุณแม่คะ คุณแม่ไม่รู้หรอกค่ะว่าสภาพการศึกษาในชนบทมันแย่ขนาดไหน มีครั้งหนึ่งที่โรงเรียนเปิดเรียนไปได้ครึ่งเทอมแล้ว แต่หนังสือเรียนเพิ่งจะถูกส่งมา ไหนจะคุณครูที่สอนพวกเราอีก บางคนเรียนจบแค่ชั้นมัธยมต้น…”
หลิงเมิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง และบ่นอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง
ราวกับ้าบอกว่า การที่เธอเรียนไม่เก่ง สาเหตุมาจากสภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนที่ไม่ดี
แล้วใครที่ได้รับสิ่งดีๆ ไป แน่นอนว่าซูอินไงล่ะ
คำพูดนั้นฝังเข้าไปในใจส่วนลึกของอู๋อู๋
หลังจากที่ได้บุตรสาวที่แท้จริงของตนเองกลับมา เธอก็ติดต่อกับคุณครูที่โรงเรียนในชนบท ทำให้รู้ว่าเมิ่งเมิ่งมีผลการเรียนแย่ อู๋อู๋เป็คนเก่งมาโดยตลอด เมื่อรู้ว่าบุตรสาวแท้ๆ ของตนเองมีผลการเรียนแย่ ทำให้เธอรับไม่ค่อยได้
แต่ว่าไม่นานเธอก็คิดออก
สองสามีภรรยาตระกูลซูเป็เพียงชาวนา บุตรสาวที่ให้กำเนิดกลับได้รับชื่อเสียงและเกียรติยศ เธอกับจื้อเฉิงเป็คนฉลาด บุตรสาวที่พวกเขาให้กำเนิดจะไม่ฉลาดได้อย่างไร หากเมิ่งเมิ่งได้รับสิ่งดีๆ ั้แ่ยังเล็ก ต้องทำได้ดีกว่าซูอินแน่นอน
เมิ่งเมิ่งต้องถูกเข้าใจผิดอย่างแน่นอน!
สองแม่ลูกคิดในสิ่งเดียวกัน ไม่นานนักอู๋อู๋ก็ตบโต๊ะและตัดสินใจว่า เมื่อคะแนนสอบขึ้นมัธยมปลายออก เธอจะนำคะแนนของหลิงเมิ่งและซูอินมาสลับกัน
เพราะอย่างไรทะเบียนบ้านและทะเบียนนักเรียนของซูอินก็ยังอยู่ที่พวกเขา
“คุณแม่ดีที่สุดเลยค่ะ!”
แววตาของหลิงเมิ่งแสดงความตื่นเต้น เธอโผเข้ากอดรอบคอของอู๋อู๋และหอมแก้มหนึ่งครั้ง
ความเศร้าหมองตรงหว่างคิ้วของอู๋อู๋คลายลง ก่อนจะกอดตอบบุตรสาว แววตาของเธอไม่ต่างไปจากหลิงเมิ่ง เป็แววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ซูอินที่อยู่ไกลออกไปที่หมู่บ้านตงผิงกำลังจาม เธอหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดจมูก ปรับพัดลมที่อยู่บนหัวนอนลงหนึ่งเบอร์
หลังจบงานเลี้ยงที่บ้านคุณลุง เื่การเรียนก็ถูกพูดถึง
สิ่งที่เกินความคาดหมายคือท่าทีกระตือรือร้นสนใจในการเรียนของเด็กชายตัวน้อย ระหว่างหุ่นยนต์ทรานส์ฟอร์เมอร์สกับเื่การเรียน เขาเลือกให้ความสนใจอย่างหลังมากกว่า
สิ่งที่ซูอินไม่รู้คือหลิงเมิ่งเคยบอกเด็กชายตัวน้อยว่า สุขภาพของเขาไม่ดี เกรงว่าหลังจากนี้คงไม่ได้เข้าเรียน และจะไม่มีเพื่อนเล่น จากนั้นก็จะกลายเป็คนไม่รู้หนังสือ ต้องทำไร่ทำนาแบบบิดามารดา
เมื่อในใจถูกปกคลุมด้วยความทรงจำอันมืดมิด ทำให้เด็กชายตัวน้อยมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะศึกษาเล่าเรียน
แต่สิ่งที่ซูอินยังไม่รู้ชัดเจนนักก็คือ ่ปิดเทอมเด็กนักเรียนส่วนใหญ่มักจะทำเื่เหมือนกันๆ นั่นคือ เที่ยวเล่นอย่างสบายใจ เมื่อใกล้เปิดเทอมก็ปั่นการบ้านอย่างเอาเป็เอาตาย ที่เธอสามารถนั่งอ่านหนังสือใน่ปิดเทอมเป็เพราะในใจของเธอไม่ใช่เด็กอายุสิบหกปี เธอรู้ว่าตนเองต้องทำสิ่งใด และสามารถสงบจิตใจเพื่อทำตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้
แต่หากเธอถามตนเองเมื่อตอนอายุสิบหกปี ก็คงชอบเที่ยวเล่นเหมือนกับซูเล่อ
ในวันนี้เด็กชายตัวน้อยเพิ่งจะมีอายุสี่ขวบ
น่าเหลือเชื่อมาก!
ถึงแม้จะน่าเหลือเชื่อ แต่รักการเรียนถือเป็สิ่งที่ดี เด็กชายตัวน้อยที่ชื่นชอบการเรียนยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่
ครั้งนี้ที่กลับมายังตระกูลหลิง เธอนำโต๊ะเรียนที่ใช้ในโรงเรียนมัธยมทดลองกลับมาด้วย และนำไปไว้ในห้อง วางไว้ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ เพื่อใช้เป็โต๊ะอ่านหนังสือสำหรับเด็กชายตัวน้อย
ทำให้เด็กชายตัวน้อยดีใจมาก
ซูอินหาหนังสือจากหนังสือที่หลิงเมิ่งเหลือทิ้งไว้ เป็หนังสือที่มีตัวอักษรเส้นประ และตัวเลขสีแดงที่มักจะใช้ในโรงเรียนอนุบาลให้เด็กชาย จากนั้นจึงเหลาดินสอและวางเบาะรองนั่งให้ยกสูงขึ้น
หนังสือ ปากกาจดบันทึก แบบเรียน รวมไปถึงกระดาษเปล่าถูกวางไว้บนโต๊ะ ก่อนที่ซูอินจะเริ่มตั้งใจอ่านหนังสือ มีเด็กชายตัวน้อยนั่งอยู่ข้างกาย มือที่ยังไม่คุ้นชินกับดินสอค่อยๆ เขียนทีละขีดอย่างตั้งใจ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันประกาศคะแนนสอบก็มาถึง