“จะรีบร้อนไปไหนกันล่ะ นั่งต่ออีกหน่อยเถอะ กินข้าวเย็นเสร็จแล้วค่อยกลับก็ได้” เหลียงซื่อเอ่ยทัดทานเพราะยังไม่อยากให้บุตรสาวกลับไป
“พวกเรากลับบ้านแล้วก็ยังมีธุระต้องทำเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวตอบ “อีกอย่างบ้านพวกเราก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ อยากจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ ท่านแม่ว่างเมื่อใดก็แวะไปเยี่ยมบ้านลูกบ้างนะเ้าคะ”
“อืม เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นว่างๆ ก็แวะมาบ่อยๆ นะ” เมื่อได้ยินอันซิ่วเอ๋อร์ว่าดังนั้น เหลียงซื่อจึงจำต้องปล่อยให้บุตรสาวกลับไป
จางเจิ้นอันก็ลุกขึ้นยืนเพื่อกล่าวลาเช่นกัน พ่อเฒ่าอันเองก็รั้งแล้วรั้งอีก จนกระทั่งอันซิ่วเอ๋อร์ต้องเอ่ยปากอยู่ข้างๆ เขาถึงยอมปล่อยจางเจิ้นอันไป
จางเจิ้นอันคารวะพ่อเฒ่าอันครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินมาอยู่ข้างกายอันซิ่วเอ๋อร์ รับตะกร้าใส่ลูกไก่ในมือของนางมาถือไว้อย่างเป็ธรรมชาติ แล้วหันไปกล่าวว่า “ท่านพ่อตา ท่านแม่ยาย ไม่ต้องไปส่งแล้วขอรับ พวกเราสองคนขอตัวกลับก่อน”
แม้เขาจะกล่าวเช่นนั้นแล้ว แต่สองสามีภรรยาสูงวัยก็ยังคงเดินตามออกมาส่งทั้งคู่จนพ้นประตูรั้ว รอจนกระทั่งเงาหลังของคนทั้งสองลับหายไปตรงหัวมุมถนนแล้ว ทั้งสองจึงได้หันหลังกลับเข้าบ้านไป
พอกลับเข้าไปในบ้านแล้ว เหลียงซื่อก็ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหางตาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปพูดกับพ่อเฒ่าอันที่อยู่ข้างๆ ว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเ้าซิวเอ๋อร์ไปอยู่บ้านนั้นแล้วเป็อย่างไรบ้าง เ้าเด็กคนนี้นิสัยดีแต่เื่ดีไม่ดีไม่เคยบอก พอจะให้เงินก็ไม่เอา ข้าคะยั้นคะยอจะให้ นางก็เลยขอแค่ลูกไก่ไม่กี่ตัวไปแทน”
“เ้าอย่าคิดมากไปเลย ซิวเอ๋อร์น่ะเป็เด็กมีความคิดเป็ของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ข้าดูแล้วจางเจิ้นอันก็นับว่าเป็คนไม่เลว น่าจะพอพึ่งพาได้อยู่” พ่อเฒ่าอันเอ่ยปลอบใจอยู่ข้างๆ แต่ในใจของเขาเองก็อดห่วงไม่ได้เช่นกัน
วันนี้สองสามีภรรยามาเยี่ยมเยือน ก็ดูไม่ออกว่าชีวิตความเป็อยู่ดีร้ายประการใด สิ่งเดียวที่ทำให้ทั้งสองประหลาดใจก็คงเป็หน้าตาของจางเจิ้นอันที่นับว่าหล่อเหลาไม่เลว ทั้งยังดูองอาจกล้าหาญ ที่ได้ยินจากปากบุตรสาวก็เหมือนจะดีอยู่หรอก แต่แท้จริงเป็เช่นไรคงมีเพียงนางที่รู้ พ่อแม่ทำได้แค่เป็ห่วงอยู่ในใจ ไม่อาจช่วยอะไรนางได้เลย
เหลียงซื่อถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังกลับเข้าห้องไป
อันซิ่วเอ๋อร์กับจางเจิ้นอันเดินเลี้ยวอีกหัวมุมก็ถึงบ้านของตน จางเจิ้นอันผลักบานประตูที่แง้มอยู่ให้เปิดออกกว้าง ให้อันซิ่วเอ๋อร์เดินเข้าไปก่อน จากนั้นจึงปิดประตูลง
“ที่บ้านไม่มีเล้านี่นา แล้วลูกไก่พวกนี้จะเลี้ยงไว้ที่ไหนกัน” อันซิ่วเอ๋อร์เกาศีรษะเบาๆ พลางมองจางเจิ้นอัน
วันนี้นางดื่มเหล้าไปนิดหน่อย ตอนนี้ฤทธิ์เหล้ากำลังเริ่มออกฤทธิ์ แม้ระหว่างทางเดินกลับจะโดนลมเย็นพัดจนสร่างไปบ้างแล้ว แต่ใบหน้าก็ยังคงแดงระเรื่อ ฉายแววสับสนงุนงงอยู่เล็กน้อย
“แล้วแต่เ้าเถอะ” จางเจิ้นอันกวาดตามองไปรอบๆ ลานบ้านแล้วกล่าว “จะปล่อยเลี้ยงไว้ในลานนี่ก็ได้”
“ไม่ได้หรอกเ้าค่ะ ถ้าปล่อยเลี้ยงไว้ในลานแบบนี้ มีหวังทำให้ลานสกปรกไปหมด หาทำเลเหมาะๆ ตรงมุมไหนสักมุม สร้างเพิงเล็กๆ ล้อมรั้วไว้จะดีกว่า” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าว
จางเจิ้นอันนึกอยากจะแบมือยอมแพ้ เขาจะไปหาที่ไหนมาสร้างเล้าไก่กัน ไม่ใช่ว่าเขาเป็คนอยากจะเลี้ยงเสียหน่อย เขาบอกไปแล้วว่าแค่หาปลาก็พอกินแล้ว
แต่ตอนนี้ไก่ก็เอามาแล้ว อันซิ่วเอ๋อร์ก็เอ่ยปากแล้ว ขาดก็แต่เล้าไก่เท่านั้น เขาจึงใช้สายตามองอันซิ่วเอ๋อร์ รอให้นางพูดต่อ
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นแววตาจนใจของเขาแล้วก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย จึงเอ่ยถาม “ท่านไม่เคยทำงานไร่ไถนามาก่อนเลยหรือเ้าคะ สร้างเพิงเป็หรือไม่เ้าคะ?”
แม้การยอมรับว่าทำไม่เป็ต่อหน้าสตรีจะเป็เื่น่าอายอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังพยักหน้ายอมรับตามตรง “ไม่เป็ ข้าเป็แต่หาปลาอย่างเดียว อย่างอื่นทำไม่เป็เลย”
บอกนางให้ชัดเจนไปเลยก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องคอยจัดการกับความคิดใหม่ๆ ของนาง
“ทำไม่เป็ก็ไม่เป็ไร ท่านทำไม่เป็ ข้าสอนให้ก็ได้นี่เ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์กลับยิ้มออกมาอย่างร่าเริง การที่สามารถช่วยเขาได้ทำให้นางรู้สึกยินดี นางเอ่ยต่อ “วันนี้ฝนตกอยู่ รอให้ฟ้าโปร่งก่อน พวกเราค่อยขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่มาใช้ทำรั้วกันนะเ้าคะ”
“ได้” จางเจิ้นอันพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
อันซิ่วเอ๋อร์จึงไปหยิบข้าวฟ่างกำหนึ่งมาจากในครัว โปรยลงไปในตะกร้า ไม่นานลูกไก่เ่าั้ก็ส่งเสียงเจี๊ยบๆ จิกกินข้าวฟ่างกันใหญ่ อันซิ่วเอ๋อร์นั่งยองๆ ลงข้างตะกร้า พลางป้อนข้าว พลางพูดว่า “เ้าลูกไก่ โตไวๆ นะ พอโตแล้ว แม่จะจับกินให้หมดเลย!”
นางทำท่าทางดุร้าย แต่ลูกไก่เ่าั้ดูเหมือนจะไม่รับรู้ถึงอารมณ์ของนาง ยังคงส่งเสียงร้องเจี๊ยบจ๊าบมองข้าวในมือนาง อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะออกมา โปรยข้าวฟ่างที่เหลือในมือลงไปจนหมดพลางกล่าวว่า “เอาล่ะๆ ถ้าพวกเ้าขยันออกไข่ในวันหน้า ข้าอาจจะยังไม่ฆ่าพวกเ้าก่อนก็ได้ ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักสองสามปี”
แม้นางจะพูดจาดุร้าย แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยน หลังจากให้อาหารลูกไก่เสร็จ นางก็เงยหน้าขึ้น เห็นจางเจิ้นอันยังคงยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล เหมือนต้นสนต้นหนึ่ง ั์ตาลุ่มลึกคู่นั้นจ้องมองมาที่นางตรงๆ
“หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง
“ไม่มี” จางเจิ้นอันส่ายหน้า เขาก้าวเข้ามาหานางสองก้าว พอเห็นเขาเข้ามาใกล้กะทันหัน อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา เกร็งตัวเล็กน้อย แต่เขากลับยื่นมือมาปัดผมที่โดนลมพัดจนยุ่งเล็กน้อยระหว่างทางกลับบ้านไปทัดไว้ที่หลังหูให้นาง
อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มให้เขา ยกมือขึ้นเสยผมตัวเองอีกครั้ง แล้วจึงเอ่ยถาม “วันนี้ท่านดื่มไปตั้งเยอะ ไม่พักผ่อนหน่อยหรือเ้าคะ”
“ไม่ต้อง” จางเจิ้นอันส่ายหน้า
อันซิ่วเอ๋อร์จึงกล่าวต่อ “วันนี้ท่านพ่อดีใจมาก รินเหล้าให้ข้าตั้งหลายจอก ตอนนี้ข้ารู้สึกมึนหัวนิดหน่อย อยากจะไปนอนพักบนเตียงสักครู่ ท่านอยู่คนเดียวจะเบื่อหรือไม่เ้าคะ”
“ไม่เป็ไร ข้าหาปลาทุกวันก็อยู่คนเดียวอยู่แล้ว” จางเจิ้นอันตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“นั่นไม่เหมือนกันนี่เ้าคะ ตอนหาปลา ท่านกำลังทำงาน ในใจก็คงกังวลว่าทอดแหครั้งนี้จะได้ปลาสักกี่ตัว จะมีเวลาที่ไหนมาเบื่อกัน”
อันซิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดว่าหากนางไปนอน เขาคงจะเหงามากเป็แน่ จึงกล่าวว่า “วันนี้ท่านนั่งอยู่คนเดียวต้องเบื่อแน่ๆ ไม่อย่างนั้นข้าไม่นอนแล้วก็ได้ พวกเราไปขุดดินกันเถอะเ้าค่ะ บางทีได้ทำงานกลางแจ้ง โดนลมสักพัก ข้าอาจจะหายมึนหัวก็ได้”
จางเจิ้นอันได้ยินดังนั้นก็อดรู้สึกพูดไม่ออกไม่ได้ ตอนเขาหาปลา ไม่เคยคิดเลยว่าทอดแหครั้งหนึ่งจะได้ปลามากน้อยเท่าใด มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่ได้ สุดแท้แต่ธรรมชาติ ทุกครั้งที่เหวี่ยงแหออกไปแล้ว ก็จะนั่งจิบเหล้าอยู่บนเรือ ปล่อยให้เรือลอยเอื่อยไปตามกระแสน้ำ รอจนถึงเวลาค่อยไปเก็บแห กลับกลายเป็ว่าได้ปลาเยอะแทบทุกครั้ง
พอเห็นว่านางคิดเผื่อไปถึงว่าเขาจะเหงาหรือเบื่อหรือไม่ แววตาของเขาก็พลันฉายประกายอ่อนโยนขึ้นมา เอ่ยว่า “หรือว่าวันนี้ไม่ต้องนอนงีบก่อนเถอะ รอให้ตื่นแล้วค่อยมาขุดดินกันก็ได้”
“อื้อ ก็ได้เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าหงึกๆ เหมือนลูกไก่ในตะกร้าที่กำลังจิกข้าว ดูราวกับว่าข้อเสนอของจางเจิ้นอันเป็ความคิดที่ดีเลิศอะไรอย่างนั้น
ทั้งสองเดินตามกันเข้าห้องไป อันซิ่วเอ๋อร์ดึงปิ่นไม้เรียบๆ สองอันออกจากมวยผม ปล่อยเรือนผมดำขลับสยายลงราวกับน้ำตกคลุมแผ่นหลัง นางเป็คนขี้หนาวมาก พอถอดเสื้อคลุมกับถุงเท้าออก ก็รีบมุดเข้าไปในผ้าห่มทันที พอจางเจิ้นอันล้มตัวลงนอนข้างๆ มือเล็กๆ คู่หนึ่งก็เอื้อมมากอดเขาไว้แน่นทันที
เมื่อเห็นเขามองมา อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย กล่าวว่า “เมื่อวานตกลงกันแล้วนี่เ้าคะ ว่าท่านจะให้ข้ากอด”
“ข้ารู้สึกเหมือนโดนเ้าหลอกเสียแล้ว” จางเจิ้นอันกล่าว น้ำเสียงเจือความเอ็นดูที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวอยู่หลายส่วน เขาคิดว่าจริงๆ แล้วนางไม่ใช่กังวลว่าเขาจะเบื่อ แต่กลัวว่าตัวเองนอนคนเดียวแล้วจะไม่มีใครให้ความอบอุ่นมากกว่า
“ข้าไม่สนหรอกเ้าค่ะ อย่างไรท่านก็รับปากแล้ว ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ” อันซิ่วเอ๋อร์ยกขาขึ้นพาดบนตัวเขา แทบจะเรียกได้ว่าทั้งตัวเกาะติดอยู่บนร่างเขาแล้ว
“ตัวท่านอุ่นจังเลย หากข้าได้แต่งกับท่านเร็วกว่านี้ ฤดูหนาวก็ไม่ต้องใช้กระเป๋าน้ำร้อนแล้วสิ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวอย่างร่าเริง ราวกับว่าในสายตาของนางตอนนี้ จางเจิ้นอันเป็เพียงเตาผิงเคลื่อนที่ หรือกระเป๋าน้ำร้อนขนาดใหญ่เท่านั้น
คำพูดของนางปราศจากนัยทางชู้สาวแม้แต่น้อย ทั้งท่าทางก็ดูใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งนัก จางเจิ้นอันถูกนางพูดใส่จนไม่เกิดความคิดอกุศลอื่นใดขึ้นมาเลย ทำเพียงยื่นมือไปโอบกอดนางไว้ ลูบไล้เรือนผมของนางเบาๆ แล้วกล่าว “ไหนว่ามึนหัวไม่ใช่รึ อย่าเพิ่งพูดเลย นอนเถอะ”
“เ้าค่ะ” นางดึงแขนเขามาใช้ต่างหมอน ดูเหมือนจะเมาจริงๆ แล้ว ไม่นานก็มีเสียงหายใจแ่เบาดังออกมา
แต่จางเจิ้นอันไม่มีความเคยชินกับการนอนกลางวัน อย่างไรก็นอนไม่หลับ โดยเฉพาะเมื่อมีร่างนุ่มนิ่มเบียดชิดอยู่ข้างกาย ยิ่งทำให้จิตใจว่อกแว่กว้าวุ่น เขาทำได้เพียงเกร็งร่างไว้ ไฟปรารถนาที่เพิ่งสะกดข่มลงไปเมื่อครู่ พลันลุกโชนขึ้นมาในใจอีกครั้ง
เขาก้มลงมองคนในอ้อมแขน นางซบหน้าอยู่กับอกเขา ดวงตาปิดสนิท แพขนตายาวงอนราวกับปีกผีเสื้อ ขยับไหวเบาๆ ตามจังหวะหายใจสม่ำเสมอ ริมฝีปากเล็กแดงระเรื่อโดยไม่ต้องแต่งแต้ม ใบหน้าขาวผ่องเพราะฤทธิ์สุราจึงปรากฏรอยเืฝาดจางๆ ดูน่ามองชวนหลงใหล แม้จะดูใสซื่อ แต่ก็แฝงไว้ด้วยเสน่ห์เย้ายวนอีกแบบหนึ่ง
จางเจิ้นอันอดใจไม่ไหว โน้มตัวลงไปประกบริมฝีปากเข้ากับปากของนาง ััได้ถึงเพียงความอบอุ่นเนียนนุ่ม ละมุนละไมเกินกว่าจะบรรยายได้ สองมือของเขาไม่อาจหยุดยั้ง เสื้อในตัวบางถูกเลิกขึ้น ก่อนที่ร่างสองร่างจะโอบตระกอง
แนบชิดสนิทสนมเกินจะหาช่องว่างใด...
