“ท่านพ่อบอกว่าเสื้อผ้าและแพรพรรณเหล่านี้ล้วนไม่ดี จึงให้คนนำไปเปลี่ยนใหม่เ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงยิ้มงดงามอ่อนหวาน ชวนให้คนมองรู้สึกดีอย่างยิ่ง
ยามนี้บ่าวาุโหญิงที่หอบชุดกระโปรงและแพรต่วนเต็มมือยิ้มเจื่อนๆ ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู จะไปก็ไม่ได้ จะไม่ไปก็ไม่ได้ เดิมทีคิดจะแอบย่องออกไป แต่ถูกโม่ฮว่าเหวินมองด้วยสายตาเย็นเยียบ ไหนเลยจะกล้าขยับเท้าไปไหนอีก นึกโกรธเคืองอยู่ในใจ หากไม่ใช่โม่ซิ่วสาวใช้ในเรือนคุณหนูใหญ่บอกไว้ว่าขอฝากของมาให้คุณหนูสามด้วย หากคุณหนูสามพึงพอใจจะต้องมีรางวัลให้เป็แน่
โชคร้ายจริงๆ! คิดไม่ถึงว่าไม่เพียงทำให้คุณหนูสามะเืใจ ยังทำให้นายท่านโมโหโทโสอีกด้วย นางเจ็บแค้นโม่ซิ่วยิ่งนัก เพราะนังเด็กกีบเท้าสุกร[1] นั่นทีเดียว ทำให้นางต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หากครั้งหน้ายังมีเื่เช่นนี้อีก จะไม่รับฝากของสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้อีกเด็ดขาด
สวี่เยียนไม่รู้เื่ราวเบื้องลึก นางคิดว่าหากนั่งอยู่แบบนี้ก็มีแต่ยิ่งเขินอายจนทำตัวไม่ถูก ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าว หัวใจกระเด้งกระดอนจนแทบหลุดจากอก ไม่กล้ามองโม่ฮว่าเหวินมากไปกว่านั้น จึงลุกขึ้นเดินไปอยู่เบื้องหน้าของบ่าวาุโหญิง ยื่นมือไปหยิบชุดกระโปรงตัวหนึ่งออกมาดู แล้วเอ่ยวาจาด้วยรอยยิ้ม “อาภรณ์ชุดนี้ไม่ดีหรือ ดูไปก็สวยดีนี่นา”
ชุดกระโปรงย่อมงดงามไม่ด้อย แต่น่าเสียดายที่เป็ของเก่าที่โม่เสวี่ยิ่ไม่ใส่แล้ว โม่เสวี่ยถงมั่นใจว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ไม่ใช่ของที่โม่เสวี่ยิ่้าส่งมา ด้วยความคิดที่ล้ำลึกของอีกฝ่ายย่อมมองทิศทางลมก่อน ไม่ใช้เื่เล็กๆ เหล่านี้มาจัดการกับตนเองแน่ ผู้ที่ชอบใช้อุบายตื้นๆ แบบนี้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นก็คือฟางอี๋เหนียง
ฟางอี๋เหนียงคงเสียดายเสื้อผ้าแพรพรรณดีๆ ที่โม่เสวี่ยิ่ส่งมาให้นางที่นี่ จึงใช้ให้คนแอบสับเปลี่ยนเป็การลับ คาดไว้ว่าตนเองจะต้องไม่ยอมรับของเหล่านี้แน่นอน บุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกจะรับชุดกระโปรงของบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาจริงๆ ได้อย่างไร เพียงแค่ใช้ลูกไม้นี้ ก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองของดีโดยใช่เหตุ
ฟางอี๋เหนียงย่อมคิดไม่ถึงว่าชุดกระโปรงเก่าของโม่เสวี่ยิ่ที่ตนเองส่งมาจะถูกสวมใส่แล้วมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าโม่ฮว่าเหวิน เขามองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่านี่คืออาภรณ์เก่าของบุตรสาวคนโต แล้วจะไม่ให้โม่ฮว่าเหวินโกรธเป็ฟืนเป็ไฟได้อย่างไร บุตรสาวคนที่สามที่ตนเองรักและทะนุถนอมยิ่งกลับต้องมาสวมชุดเก่าของบุตรอนุภรรยา หากมีใครรู้เื่นี้เข้า ไม่ต้องเอ่ยถึงเื่หน้าตา แม้แต่ในราชสำนักคงมีการตั้งสอบสวนเขาเป็แน่ ่นี้ฝ่าาทรงให้ความสำคัญกับตนเอง จะให้ชื่อเสียงที่เพียรสั่งสมมาต้องพังพินาศเพราะโม่เสวี่ยิ่ได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็รักโม่เสวี่ยถงสุดหัวใจ ยิ่งเห็นร่างน้อยซึ่งมีส่วนคล้ายภรรยาถึงสามสี่ส่วน ก็หวั่นเกรงว่านางจะถูกข่มเหงรังแก ยามนี้ของที่โม่เสวี่ยิ่ส่งมาก็ยิ่งเป็สิ่งยืนยันแน่ชัด แล้วจะยังอารมณ์ดีได้อย่างไร
เดิมทีโม่ฮว่าเหวินก็ชมชอบฟางอี๋เหนียงมากอยู่ เขารู้สึกว่านางเป็คนเก่งรู้กาลเทศะ จัดการภายในจวนได้ละเอียดรอบคอบ ทั้งยังคลอดบุตรชายเพียงคนเดียวให้ตนเอง แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์วันเซ่นไหว้บรรพชน ได้เห็นถงเอ๋อร์อดทนต่อความเ็ปคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ฟางอี๋เหนียงยังกล้าเถียงข้างๆ คูๆ ว่านางไม่รู้เื่ ความคิดที่จะยกฐานะให้นางขึ้นมาเป็ภรรยาเอกจึงจืดจางลงไป
เขาควรจะแต่งสตรีที่ดีต่อถงเอ๋อร์อย่างแท้จริงเข้ามาเสียทีกระมัง!
“ถงเอ๋อร์ไม่ชอบแพรพรรณสีฉูดฉาดเหล่านี้เ้าค่ะ เมื่อครู่ก็ยังตื๊อให้ท่านพ่อซื้อให้ใหม่อยู่เลย ทำให้ท่านน้าเล็กเห็นเื่ตลกขบขันเสียแล้ว” เห็นสวี่เยียนถามขึ้น โม่เสวี่ยถงย่อมไม่ชี้ความผิดของโม่เสวี่ยิ่ต่อหน้าบิดา บางเื่นางก็ไม่สะดวกจะเอ่ยออกมา ให้ท่านพ่อเห็นด้วยตาของตนเองย่อมดีกว่า ยามนี้ตนเองตัดโม่เสวี่ยิ่ออกไปแล้ว เอ่ยถึงแต่ความไม่ถูกต้องของตนเอง
ดวงตาทอประกายวิบวับ ยื่นมือไปจับชายผ้าด้านหนึ่งด้วยท่าทางรู้สึกผิด
โม่ฮว่าเหวินเห็นบุตรสาวไม่เอ่ยถึงเื่ของโม่เสวี่ยิ่ แต่กลับกล่าวว่าเป็ความผิดของตนเอง หัวใจพลันอ่อนยวบ มองโม่เสวี่ยถงด้วยแววตารักใคร่โปรดปรานยิ่ง คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวจะมีจิตใจกว้างขวางถึงเพียงนี้ เห็นแก่หน้าตาและศักดิ์ศรีของผู้เป็บิดา ยอมรับเอาความผิดมาเป็ของตนเอง บุตรสาวคนนี้ช่างรู้ความเหลือเกิน
ยิ่งคิดต่อไปหัวใจยิ่งคล้ายถูกบีบรัด ยามที่นางอยู่อวิ๋นเฉิงตัวคนเดียว ข้างกายไร้ญาติมิตร การใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวจึงทำให้นางเป็ผู้ใหญ่เช่นนี้เองกระมัง เป็เขาเองที่ทำร้ายถงเอ๋อร์ หากตนเองตัดสินใจเร็วกว่านี้ ถงเอ๋อร์ก็คงไม่ต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวที่อวิ๋นเฉิง ได้ยินบ่าวไพร่ที่กลับมาเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้าที่จะกลับมาไม่นาน ถงเอ๋อร์จมน้ำในทะเลสาบจนเกือบเสียชีวิต อยู่ดีๆ คุณหนูคนหนึ่งจะตกน้ำจนเกือบตายได้อย่างไร
โม่ฮว่าเหวินจัดการคดีความต่างๆ มาเนิ่นนาน จะไม่นึกแคลงใจข้อนี้ได้อย่างไร
“ที่แท้ถงเอ๋อร์ก็ไม่ชอบสีสันฉูดฉาดนี่เอง พอดีน้าได้ผ้าต่วนผืนใหม่มาสองสามพับ สีเรียบสะอาดตา เดิมทีก็คิดจะหยิบมาให้ถงเอ๋อร์ดูอยู่แล้ว” สวี่เยียนยิ้มพราย หันไปขยิบตาให้สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอก หลังจากสาวใช้ไปแล้ว ไม่ช้าก็กลับมา ด้านหลังมีหญิงรับใช้าุโตามหลังมาด้วยสองคน แต่ละคนถือผ้าต่วนมาคนละสองผืนมีทั้งสีเทา สีขาว สีเขียวน้ำทะเลและสีฟ้าอ่อน
หญิงรับใช้ทั้งสองคนหัวเราะคิกคัก หลังจากนำของเข้ามาวางไว้บนโต๊ะด้านข้างของโม่เสวี่ยถงแล้วก็ถอยไปยืนอีกด้านหนึ่ง
“ถงเอ๋อร์มาดูเร็วว่าชอบหรือไม่” สวี่เยียนจูงโม่เสวี่ยถงเดินไปข้างแพรพรรณเ่าั้ โม่เสวี่ยถงไปยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของโม่ฮว่าเหวิน ก่อนสวี่เยียนจะเข้าไปกลับหันมาเชิญโม่ฮว่าเหวินด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย “พี่เขยมาช่วยถงเอ๋อร์เลือกด้วยกันดีหรือไม่”
โม่ฮว่าเหวินกำลังหงุดหงิด เมื่อคิดว่าโม่เสวี่ยิ่อาจจะมีเจตนากลั่นแกล้งน้องสาวจริงๆ ภายในใจก็กระสับกระส่ายไม่เป็สุข แต่เมื่อเห็นท่าทางสุภาพมีมารยาทของสวี่เยียน กลับรู้สึกละอายใจที่ตนเองแสดงความโมโหให้นางเห็น อีกทั้งถูกโม่เสวี่ยถงกระตุกแขนเสื้อรบเร้าไม่หยุด จึงไม่อาจบ่ายเบี่ยง ยอมเสียมารยาทเดินเข้าไปดู
“ท่านพ่อ ท่านว่าถงเอ๋อร์ใส่เสื้อผ้าสีแบบนี้ดีหรือไม่” ยามนี้โม่เสวี่ยถงดวงตาเป็ประกาย ใบหน้างดงามแสดงรอยยิ้มบริสุทธิ์สดใสออกมาได้อีกครั้ง ไม่ถือสาเื่ราวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่แม้แต่น้อย
เมื่อเห็นบุตรสาวดูมีความสุข จึงไม่วางท่าถมึงทึงเช่นก่อนที่สวี่เยียนจะเข้ามาอีก โม่ฮว่าเหวินกล่าวขอบคุณสวี่เยียนด้วยน้ำใสใจจริง อารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน ชี้ไปที่แพรต่วนสีฟ้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผืนนี้งามนัก ถงเอ๋อร์ก็ขอแพรผืนนี้จากท่านน้าของเ้าเถิด” โม่ฮว่าเหวินมองออก เมื่อครู่อาภรณ์ของิ่เอ๋อร์ที่ถงเอ๋อร์ชื่นชอบก็เป็สีฟ้าอ่อนเช่นนี้
โม่เสวี่ยถงมุ่ยปากจู๋หันไปทำแลบลิ้นให้บิดาทีหนึ่งไม่รับคำ แต่กลับหันไปหาสวี่เยียน “ท่านน้าเล็ก หากถงเอ๋อร์สวมอาภรณ์สีนี้จะสวยหรือไม่”
สวี่เยียนยกชายด้านหนึ่งของแพรผืนนั้นขึ้น มาทาบบนอาภรณ์ของโม่เสวี่ยถงเพื่อเปรียบเทียบ แพรสีฟ้าอ่อนขับผิวให้ขาวกระจ่างน่ามองยิ่ง จึงอดชื่นชมออกมาไม่ได้ “ถงเอ๋อร์ผิวพรรณดี เข้ากับสีนี้ที่สุด นอกจากใช้แพรผืนนี้ตัดกระโปรงแล้วยังใช้ตัดเสื้อคลุมกันหนาวได้อีกด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่สีสันสดใส แต่เมื่อถึง่ปีใหม่ก็ไม่อาจสวมเสื้อผ้าสีจืดชืดอย่างตอนนี้”
สวี่เยียนชี้ไปที่ชุดที่โม่เสวี่ยถงสวมอยู่เวลานี้ อาภรณ์สีขาวเรียบมีเพียงคอเสื้อที่ปักลายบุปผาด้วยเส้นไหมสีอ่อน ขาวสะอาดจนไม่มีสีสันแม้แต่น้อย นางเป็คนรูปร่างผอมบาง สีหน้าขาวซีดจนคนมองรู้สึกปวดใจอยากทะนุถนอม ใจของโม่ฮว่าเหวินก็เห็นด้วยกับความคิดของสวี่เยียน จึงเอ่ยปากกับโม่เสวี่ยถงอย่างรักใคร่ “ถงเอ๋อร์เชื่อฟังน้าของเ้าเถิด เอาผ้าต่วนผืนนี้แหละมาตัดชุด พรุ่งนี้พ่อจะส่งผ้าแพรสีไม่เข้มเกินไปมาให้เ้าอีก”
“ไฉนท่านพ่อกับท่านน้ามีความคิดเหมือนกับเลย หรือว่าสีนี้จะเหมาะกับข้าจริงๆ หนอ...” ดวงตากลมโตของโม่เสวี่ยถงทอประกายวิบวับ ย่นจมูกอย่างไร้เดียงสาคล้ายว่าไม่อยากเชื่อ
“แน่นอน”
“เหมาะสมแน่นอน”
โม่ฮว่าเหวินและสวี่เยียนโพล่งตอบออกมาพร้อมกันอย่างน่าประหลาด กล่าวจบจึงพบว่าฝ่ายตรงข้ามก็เอ่ยปากในเวลาเดียวกัน ยามนั้นสวี่เยียนเขินจนหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าลงทันที ท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่อาจเอ่ยวาจาต่อจากนั้นได้ แต่ลอบกวาดตามองไปที่โม่ฮว่าเหวิน ซึ่งหน้าแดงยิ่งกว่า
โอ้... แบบนี้ก็เข้าทางน่ะสิ!
โม่เสวี่ยถงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างชัดเจน ริมฝีปากเผยรอยยิ้มพึงพอใจ จากนั้นก็คว้ามือของสวี่เยียนมากุมไว้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “แต่นี้เป็ผ้าต่วนที่ท่านน้าชอบที่สุด หากมอบให้ถงเอ๋อร์ ท่านน้าก็ไม่มีแล้วน่ะสิ”
สวี่เยียนหลุดออกจากภวังค์ ความเคอะเขินลดลงมากแล้ว ใบหน้าทอยิ้ม ยื่นมือไปลูบศีรษะของเด็กสาวตัวน้อย เอ่ยด้วยความรู้สึกแท้จริง “ไม่เป็ไร ถงเอ๋อร์ชอบก็ดีแล้ว น้าเป็ผู้ใหญ่ ไม่นำพากับของเหล่านี้หรอก ขอเพียงถงเอ๋อร์ชอบ น้าก็ดีใจแล้ว”
แม้ว่าวันนี้ที่นางมาเพราะโม่ฮว่าเหวิน แต่เมื่อเห็นความน่ารักเฉลียวฉลาดของโม่เสวี่ยถงเช่นนี้ ก็เกิดความเวทนาสงสารจับใจ เมื่อเห็นว่านางชอบจริงๆ ไหนเลยจะไม่พึงพอใจเล่า เดิมทีแพรเหล่านี้นางก็ตั้งใจจะมอบให้หลานสาวผู้นี้อยู่แล้ว เมื่อได้ยินว่านางชอบสีเรียบๆ จึงเลือกแพรพรรณสามสี่ผืนนี้มามอบให้ ทำให้โม่เสวี่ยถงพึงพอใจได้ นางย่อมรู้สึกยินดีมีความสุข
หางตาเผยแววยิ้มชัดเจน ใครๆ ต่างก็เห็นว่าสวี่เยียนรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างแท้จริง
โม่ฮว่าเหวินที่อยู่ด้านข้างย่อมเก็บทุกอย่างอยู่ในสายตา ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มขึ้นหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว ยามนี้รู้สึกดีต่อสวี่เยียนไม่น้อย รู้สึกว่าน้าสาวผู้นี้รักถงเอ๋อร์ของเขาด้วยใจจริง เมื่อพิศมองสวี่เยียนอีกครั้ง ก็พบว่านางมีส่วนคล้ายลั่วเสียอยู่หลายส่วน ราศีความนุ่มนวลอ่อนโยนเหนือหน้าผากหากมองดีๆ จะรู้สึกว่าเหมือนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ใบหน้าแดงระเรื่อ รอยยิ้มในยามเขินอายเช่นนี้ก็คล้ายกับลั่วเสียยิ่งนัก ชั่วขณะนั้นก็เผลอมองตาค้างโดยไม่รู้ตัว
ฝ่ายสวี่เยียนก็รู้สึกได้ว่าโม่ฮว่าเหวินจ้องนางอยู่ ใบหน้าก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่านางจะมีความรู้สึกพิเศษกับบุรุษผู้นี้ แต่นางก็เป็คุณหนูผู้หนึ่ง ไหนเลยจะให้เขามาจ้องมองตาเยี่ยงนี้ได้ ทว่าตอนนั้นนางกลับไม่เอ่ยคำใดกับเขา เพียงแต่หันมาคุยกับโม่เสวี่ยถง
“ท่านพ่อ ท่านน้าช่างดีกับถงเอ๋อร์ยิ่งนัก แม้แต่ผ้าต่วนที่ตนเองชอบก็ยังยกให้ ท่านพ่อจะไม่แสดงสิ่งใดหน่อยหรือเ้าคะ” โม่เสวี่ยถงกระตุกแขนเสื้อของโม่ฮว่าเหวิน กล่าวอย่างฉอเลาะ โดยไม่สนใจว่าสวี่เยียนฟังคำพูดของนางแล้วจะใบหน้าร้อนผ่าวแดงก่ำเป็ลูกตำลึงสุก ก้มหน้างุดจนแทบจะมุดลงหน้าอก นิ้วมือละจากชายผ้าผืนนั้นมาบีบผ้าเช็ดหน้าในมือตนเองแน่น
โม่ฮว่าเหวินถูกโม่เสวี่ยถงกระตุกเรียก จึงได้สติรีบเก็บสายตาอุกอาจคืนมาทันใด อับอายจนหน้าแดง ที่จริงเขามัวแต่ใจลอยจนไม่ได้ฟังคำพูดของโม่เสวี่ยถงให้ชัดเจน แต่ก็เออออสมอ้างไปตามสถานการณ์ “ถงเอ๋อร์กล่าวมีเหตุผล พรุ่งนี้พ่อจะส่งแพรต่วนสองสามผืนมาให้ท่านน้าของเ้าด้วย พวกเ้าสองคนก็ค่อยเลือกด้วยกันว่าจะใช้ผืนไหนตัดอาภรณ์”
คำพูดนี้ทำให้สวี่เยียนไม่อาจทนยืนอยู่ต่อได้อีก นางเอ่ยคำอำลาเสียงแ่เบาด้วยความเขินอายกับโม่ฮว่าเหวิน แล้วหมุนตัวพาสาวใช้เดินลิ่วออกไป แม้ใบหน้าจะแดงก่ำ แต่หัวใจกลับเป็สุขยิ่ง คิดไม่ถึงว่าพี่เขยผู้สุภาพอ่อนโยนคนนี้จะคิดส่งแพรต่วนมาให้นางด้วย ไม่เสียแรงที่นางตั้งใจคัดเลือกแพรพรรณเหล่านี้มามอบให้หลานสาว
เมื่อเห็นสวี่เยียนหน้าแดงหนีออกไป โม่ฮว่าเหวินจึงเพิ่งตระหนักถึงคำพูดของตนเอง ครานี้จึงเก้อเขินกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาจริงๆ
พี่เขยมอบแพรต่วนให้น้องสาวภรรยา? นี่มันเื่อะไรกัน พลันคิดว่าจะปล่อยให้คำพูดนั้นผ่านๆ ไป เขาชี้ไปที่ผ้าแพรสี่ผืนที่วางอยู่ กระแอมกระไอเบาๆ แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมเป็ทางการ “ถงเอ๋อร์ เดี๋ยวพ่อต้องกลับก่อนแล้ว หากตัดชุดเสร็จเรียบร้อยก็แจ้งให้รู้ด้วย พรุ่งนี้พ่ออาจติดธุระมาไม่ได้”
ที่แท้เขาคิดจะปล่อยให้คำพูดนั้นผ่านไปเฉยๆ พรุ่งนี้ไม่มา ให้เื่จบลงแค่นี้ โม่เสวี่ยถงย่อมไม่พอใจ กระดกหางตาขึ้น เดินมาดึงเสื้อของโม่ฮว่าเหวิน รบเร้าไม่ยอมง่ายๆ “เมื่อครู่ท่านพ่อรับปากกับถงเอ๋อร์และท่านน้าแล้วนี่นา แล้วจะทำนิ่งนอนใจได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไร ถงเอ๋อร์กับท่านน้าจะรอให้ท่านพ่อส่งแพรต่วนมา ท่านพ่อคงไม่คิดผิดคำพูดที่ให้ไว้กับสตรีถึงสองคนหรอกกระมัง หรือว่าท่านพ่อนึกเสียดายผ้าแพรเพียงไม่กี่ผืน จึงไม่อยากหาผ้ามาตัดชุดให้ถงเอ๋อร์กับท่านน้าแล้ว”
กล่าวจบก็กะพริบตาปริบๆ อย่างคนที่ไม่ได้รับความเป็ธรรม ไม่มีทีท่ายอมลดราวาศอกง่ายๆ แต่ละประโยคไม่ได้มีเพียงแต่นางเท่านั้น ยังเอ่ยอ้างถึงสวี่เยียนอีกด้วย ความหมายย่อมไม่ใช่ให้เขารู้สึกผิดกับนางเพียงคนเดียว แต่ยังหมายรวมไปถึงสวี่เยียนด้วย ขณะที่กล่าวประโยคสุดท้ายยังทำหน้ามุ่ยกล่าวกับโม่ฮว่าเหวินด้วยความโมโห ดวงตาดำขลับกะพริบปริบๆ
เมื่อถูกบุตรสาวมองเช่นนี้ โม่ฮว่าเหวินก็ยังคงพึงพอใจอยู่ ริมฝีปากคลี่ยิ้มแล้วยื่นมือมาลูบศีรษะของนาง เห็นแววตาของบุตรสาวเต็มไปด้วยการตัดพ้อต่อว่า ก็นึกเพียงอยากให้นางมีความสุข ไหนเลยจะคิดเป็อื่นได้
“ได้ แค่ให้ถงเอ๋อร์ชอบใจก็พอ พรุ่งนี้พ่อจะให้คนส่งแพรต่วนมาให้ เ้ากับท่านน้าก็เลือกเอาตามชอบได้เลย จะได้ตัดหลายๆ ชุดหน่อย”
โม่ฮว่าเหวินไตร่ตรองอย่างรอบคอบและระมัดระวัง หากพรุ่งนี้ตนเองไม่มา แพรพรรณส่งมาจะมอบให้ใครก็ให้ถงเอ๋อร์เป็คนจัดการ ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
“แล้วท่านพ่อไม่มาหาถงเอ๋อร์แล้วหรือ” โม่เสวี่ยถงไม่คิดปล่อยเขาไปง่ายๆ จึงถามหยั่งเชิง แพขนตายาวกะพริบถี่ๆ เอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา
“มาสิ ไม่มาได้อย่างไร” ท่าทางอาลัยอาวรณ์ของบุตรสาวทำให้โม่ฮว่าเหวินอิ่มเอมใจอย่างยิ่ง หัวเราะเสียงดังและตบศีรษะนางเบาๆ อย่างเอ็นดู
“หากท่านพ่อมาพรุ่งนี้ ถงเอ๋อร์อยากออกไปตลาดเลือกซื้อแพรพรรณด้วยตนเองได้หรือไม่” ถงเอ๋อร์เขย่าแขนของเขาเบาๆ ถามแบบได้คืบจะเอาศอก หลังจากนั้นก็มุ่ยหน้า “ั้แ่ถงเอ๋อร์เข้าเมืองมา ยังไม่เคยออกไปเดินเที่ยวที่ไหนเลย ท่านพ่อพาถงเอ๋อร์ไปเดินเล่นได้หรือไม่เ้าคะ” ดวงตากลมโตเป็ประกายวิบวับจ้องมองโม่ฮว่าเหวินอย่างมีความหวัง ทำให้เขากล่าววาจาปฏิเสธไม่ลง
เมื่อคิดได้ว่าั้แ่ถงเอ๋อร์กลับมาก็ไม่เคยออกไปไหนเลยจริงๆ ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสาร จึงรีบรับปากทันที ทำให้รอยยิ้มปานบุปผากลับมาเบ่งบานบนใบหน้าน้อยๆ อีกครั้ง ภายในใจของเขาทั้งรู้สึกยินดีและเวทนาสงสารในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกหลากหลายอัดแน่นอยู่ในอก
หากลั่วเสียยังอยู่ ถงเอ๋อร์ก็คงไม่ต้องอยู่ในสภาพที่แม้แต่คนไปเดินเล่นเป็เพื่อนก็ยังไม่มีเช่นนี้!
..........................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] เด็กกีบเท้าสุกร เป็คำด่าที่ใช้เรียกสตรีอายุน้อยที่มีฐานะต่ำต้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้